เฮ้ยยยยยย มาได้ยังไง!! เสียงอุทานนี้น่าจะดังขึ้นมาแทบจะทันทีในหมู่สาวก เพราะงงกันไปตามๆกัน เมื่ออยู่ดีๆ Google ก็เปิดตัว Android N Developer Preview มาก่อนงาน Google I/O แบบหมดเปลือก บอกรายละเอียดทุกอย่างแบบที่ถ้าใครจะลุ้นว่า Android เวอร์ชั่นใหม่จะมีอะไรบ้าง ไม่ต้องรอดูกันเลย ซึ่งแน่นอนว่าถ้าใครอยากรู้ความเปลี่ยนแปลงใน Android N ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น เราสรุปมาให้เรียบร้อยแล้วครับ

      สำหรับการเปลี่ยนแปลงใน Android N Developer Preview ผมจะขอแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

  1. ในมุมมองผู้ใช้ ความเปลี่ยนแปลงหรือฟีเจอร์ใหม่ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ใช้
  2. ส่วนของนักพัฒนา นักพัฒนาจะสามารถสร้างสรรค์อะไรขึ้นมา เพื่อให้ตัวแอพดีขึ้นกว่าเดิมได้บ้าง หรือความสามารถใหม่ที่ต้องทำให้แอพรองรับ

 

Multi Window มาแล้วววว

      หลายๆคนก็คงรู้กันอยู่แล้วว่าใน Android 5.0 ได้มีการแอบใส่ฟีเจอร์ Multi Window ไว้มาพักใหญ่ๆแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน (แต่รูทเครื่องแล้วเข้าไปสั่งเปิดใช้งานได้นะ) ล่าสุดก็สามารถใช้งานได้เต็มตัวเสียทีใน Android N สามารถแบ่งหน้าจอให้เปิดแอพพร้อมกันได้ สามารถปรับได้ว่าจะให้หน้าจอฝั่งไหนกว้างมากกว่า และสามารถลากข้อมูลจากอีกหน้าจอไปยังอีกหน้าจอได้ด้วย 

      แต่ฟีเจอร์นี้นักพัฒนาแอพสามารถกำหนดได้ว่าจะให้แอพรองรับหรือไม่ ดังนั้นอย่าแปลกใจที่บางแอพจะรองรับและบางแอพไม่รองรับ แต่จากที่ลองดูก็พบว่ามีแอพบางตัวยังมีปัญหาอยู่เวลาที่หมุนหน้าจอหรือปรับขนาดหน้าจอ ทำให้เกิดปัญหาแอพเด้งหรือข้อมูลไม่โหลดบ้าง

ถ้าไม่เห็นภาพ มาดูตัวอย่างกันเลย

Play video

 

Notification เปลี่ยนใหม่ ทำอะไรได้มากขึ้น

      ในเวอร์ชันนี้มีการเปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลของ Notification ไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด และสามารถปรับแต่งรูปแบบการตอบในแถบแจ้งเตือน (Notification) ได้มากขึ้น ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะทำได้อยู่แล้ว แต่หลายๆอย่างก็ยังไม่สะดวกมากนัก ซึ่งในเวอร์ชันนี้ก็เพิ่มความสามารถขึ้นไปอีกครับ ให้ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับ Notification แต่ละตัวได้มากขึ้น ไม่ว่าจะตอบข้อความในทันทีโดยไม่ต้องเปิดแอพหรือจัดการกับเมลล์แต่ละฉบับที่ส่งมาได้ 

 
พิมพ์ตอบข้อความได้ทันที หรือจะเลือกมาดูเมล์ได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่ฉบับเดียว

 

Screen Zoom ปรับทุกสิ่งอย่างบนหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น เพื่อคนมีปัญหาทางสายตา

      ฟีเจอร์นี้อยู่ใน Accessibility เหมือนกับการปรับ Font Size เลย ซึ่งใน Settings จะเป็นเมนูชื่อ Display Size เอาไว้ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาทางสายตาที่ใช้งานอุปกรณ์แอนดรอยด์แล้วรู้สึกว่าตัวหนังสือหรือภาพในแอพมันเล็กไปหมด

      ซึ่งการซูมก็จะเป็นการขยายขนาดหน้าจอใหม่ให้เลย ไม่เหมือนกับซูมหน้าเว็ปหรือซูมภาพที่ต้องคอยปัดนิ้วเลื่อนไปมาเพื่อดูให้ทั่วถึงนะ โดย Screen Zoom จะเป็นการขยายทุกส่วนของหน้าจอให้คงอยู่ในกรอบหน้าจอเหมือนเดิมครับ เช่นจากเดินไอคอนบนหน้าจอเรามีอยู่ 5 ไอคอนต่อแถว แต่เวลาซูมจะขยายจนกลายเป็น 4 ไอคอนต่อแถวแทน ซึ่งมีข้อจำกัดครับว่าซูมได้ไม่เกิน 320dp (หน่วยวัดขนาดที่นักพัฒนาแอนดรอยด์ใช้กัน) 

 
เลือกปรับทุกสิ่งอย่างบนหน้าจอให้ใหญ่ขึ้นได้ ไม่ใช่เพียงแค่ฟอนท์ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ต้องสรรเสริญ!

      ในการซูมไม่ใช้ On-time zoom ที่จะปรับซูมเข้าออกเท่าไรก็ได้ แต่จะเป็นการเลือกระดับสเกลว่าอยากได้ขนาดไหน ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่ Small, Default, Large, Larger และ Largest 

      ถ้ายังนึกไม่ออกว่ามันซูมยังไงให้นึกถึง iPad ที่มีโหมดขยายหน้าจอสำหรับแอพที่ออกแบบให้ใช้งานกับ iPhone นั่นแหละ ซึ่ง Screen Zoom ผมถือว่าเป็นฟีเจอร์หนึ่งที่ไม่ได้แปลกใหม่ แต่จะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่อยากให้หน้าจอขยายใหญ่ขึ้นกว่าปกติหน่อย ในขณะที่เดิมทีทำได้แค่ขยายตัวหนังสือเท่านั้น

 

Accessibility Menu ที่หน้า Welcome Screen

      ในหน้าจอตอนที่เปิดใช้งานครั้งแรก (ที่ต้อง Setup Google Account, ตั้งค่า WiFi, นู่น นั่น นี่ บลาๆ) ในตอนนี้สามารถเปิดโหมดผู้พิการ (Accessibility) ที่หน้านี้ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Magnification gesture, Font size, Display size และ TalkBack ซึ่งเดิมทีต้องผ่านขั้นตอนจนเสร็จก่อนถึงจะเปิดใช้งานได้

 
เข้ามาปุ๊บก็เลือกก่อนได้ว่าจะปรับแต่งส่วนไหนก่อนใช้งานรึเปล่า

 

Direct Boot เปิดให้เครื่องใช้งานได้บางส่วน แม้จะไม่ได้ปลดล็อคหลังเปิดเครื่อง

      ส่วนนี้ User จะไม่ค่อยเห็นผลซักเท่าไร เพราะเป็นส่วนการทำงานของฝั่งนักพัฒนาซะมากกว่า โดยปกติแล้วนักพัฒนาสามารถกำหนดให้แอพสามารถเริ่มทำงานได้ทันทีหลังจากที่เครื่องบูทเสร็จ แต่ทว่า Android N นั้นได้โฟกัสไปที่ความปลอดภัยด้วย ดังนั้นถ้าเครื่องไหนที่มีการใส่รหัสไว้เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมาแอพที่สั่งให้ทำงานของบูทเครื่องเสร็จจะยังไม่ทำงานในทันทีจนกว่าจะมีการปลดล็อคหน้าจอ ดังนั้นทาง Android จึงเปิดช่องทางที่เรียกว่า Direct Boot ให้ เพื่อที่ว่าแอพตัวไหนที่ไม่ได้เข้าถึงข้อมูลที่สำคัญแต่อยากจะทำงานทันทีหลังจากบูทเครื่องเสร็จแล้วที่ไม่ต้องปลดล็อคหน้าจอก่อน สามารถใช้ความสามารถของ Direct Boot ช่วยได้ครับ

 

Doze Level Up!! โหมดประหยดแบตที่เก่งมากขึ้น

      เรารู้กันอยู่แล้วว่าในแอนดรอยด์ 6.0 ได้เพิ่มฟีเจอร์ Doze เข้ามาเพื่อช่วยให้อุปกรณ์แอนดรอยด์อยู่ได้อึดและทรหดมากขึ้น โดยจะช่วยลดพลังงานในเวลาที่ไม่ได้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพโคตรๆ ซึ่งผู้ใช้หลายๆคนที่ได้ Doze ก็คงชอบกันไม่น้อย

ภาพการทำงานของ Doze ตัวเก่า

ภาพการทำงานของ Doze ตัวใหม่ที่จะแบ่งการทำงานเป็น 2 ระดับ

      แต่สำหรับ Android N นั้นกลับเพิ่มพลังความสามารถของ Doze ให้มากขึ้นไปอีก เมื่ออยู่ในสถานะที่ไม่ได้ทำงานอยู่พักใหญ่ๆ จาก Doze เดิมที่ถูกเรียกว่าเป็น Level 1 ก็จะเข้าสู่ Doze Level 2 แทน ซึ่งจะปิดการทำงานที่ไม่จำเป็นให้มากขึ้นเข้าไปอีก ไม่ว่าจะเป็น GPS, WiFi Scan หรือ Wake Lock ซึ่งเรียกได้ว่าเตรียมพบกับการ Standby ของเครื่องแอนดรอยด์ที่นานมากกว่าเดิมอีกได้เลยครับ

 

Project Svelte ปรับปรุงการทำงานเบื้องหลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

      การทำงานเบื้องหลังหรือที่รู้จักกันในนามของ Background Process/Service จะเป็นส่วนที่เราได้เห็นว่ากิน RAM อยู่ตลอดเวลาและต่อให้ล้างทิ้งยังไงก็จะไม่สามารถดึงแรมคืนกลับมาได้ Project Svelte เป็นส่วนที่ช่วยปรับแต่งให้ตัวระบบ Android มันเองให้ใช้ Memory น้อยลงและประหยัดแบตมากขึ้น ซึ่งโปรเจกต์นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะทำมาตั้งแต่ Android 4.4 KitKat แล้ว ซึ่ง ณ ตอนนั้นทีมงานพัฒนาต้องทำให้ Android สามารถทำงานบนเครื่องแรม 512MB ให้ได้ จนเป็นที่มาของ Android One ที่เครื่องให้แรมมาเพียง 1GB  แล้วยังพอรันใช้งานได้อย่างลื่นไหลนั่นเอง

      ซึ่งคุณสมบัตินี้จะเป็นหน้าที่ของนักพัฒนาต้องที่ทำแอพให้รองรับครับ

android one ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอานิสงค์โดยตรงจาก Project Svelte แรม 1GB ก็ยังรันได้สวยๆ

 

รองรับ Java 8 และย้ายไปใช้ OpenJDK แล้ว

      ในที่สุด Android N ก็ได้ใช้ Java 8 และย้ายไปใช้ OpenJDK เสียที หลังจากที่ใช้ JDK ของ Oracle มาตั้งแต่แรก ซึ่ง OpenJDK เป็นโครงการ Open Source ที่เปิดให้ทั่วโลกสามารถเข้ามาร่วมพัฒนาได้ ก็ยังอยู่ภายใต้การดูแลของ Oracle น่ะแหละ แต่เจ้าใหญ่ๆก็สามารถเข้ามาร่วมพัฒนาได้ เช่น Apple กับ IBM

ภาพต่างๆจากการลองเล่น Android N

      เปิดเครื่องมาปุปก็เจอปั๊ปกับหน้าจอแจ้งว่า ตัวนี้เป็น Pre-release version นะจ๊ะ

 

      มีความแตกต่างเล็กน้อยจาก Android Marshmallow (หรือผมคิดไปเองนะ?)

 

      สำหรับบน Nexus 9 แอบมีหลุดภาพหน้าจอไม่เต็มพอดีจอ ดูเหมือนจะเป็นของ 16:9 แต่พอดี Nexus 9 เป็น 4:3 ภาพที่ได้ก็คือเหลือขอบอยู่ที่เห็น

 

      ผมค่อนข้างแฮปปี้มากกับ Quick Settings ที่โผล่ข้างบนโดยไม่ต้องดึงลงมาจนสุดแล้ว เพราะของเดิมเป็นอะไรที่แอบเสียอารมณ์เหมือนกัน

 

      ที่น่าสนใจคือมันสามารถย้ายตำแหน่งไปมาได้เสียที แถมทำเป็น 2 หน้าได้ด้วยนะ และแอบสังเกตเห็นไอคอน Data Saver เลยลองกดดูก็พบว่า UI Launcher เกิด Force Close ครับ…คงยังไม่สมบูรณ์จริงๆแหละ

 

        หน้า Settings ก็ยังคงเป็นแบบแถวเดียวที่รู้สึกว่าเปิดบน Nexus 9 แล้วเสียดายพื้นที่ที่เสียเปล่า.. แต่จะเห็นว่าในแต่ละเมนูมีการแสดงรายละเอียดการตั้งค่าไว้ให้ด้วยนะ ไม่ต้องเสียเวลากดเข้าไปดู และมี Suggestion ให้ด้วย 

 

      และมีการแอบใส่ Side Bar (Navigation Drawer) มาใน Settings ให้ด้วย ซึ่งรู้สึกดูขัดใจยังไงก็ไม่รู้ เพราะปุ่มเมนูก็ไม่มีบอก ต้องปัดนิ้วถึงจะโผล่ขึ้นมา แถมไปทับซ้อนกับหน้าหลักด้วย ทาง Google เค้าจะลองทดสอบอะไรหรือป่าวนะ

 

        หน้าจอเวลา Force Close หรือแอพเด้ง มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ครับ รู้สึกว่าโอเคขึ้นเยอะ แต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่ามันเป็นแอพ Google Play ซะงั้น…(เด้งตอนหมุนหน้าจอใน Multi Window)

 

      Multi Window เป็นอะไรที่นักพัฒนาเสียวรอลุ้นกันมากๆ เพราะไม่รู้ว่าลองเปิดแอพแล้วจะอยู่รอดมั้ย แต่จากการลองแอพของผมกับแอพ NuuNeoI ก็ไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าแอพนั้นๆออกแบบมาถูกต้องตั้งแต่แรกแล้วหรือป่าว (แต่ทำไม Google Play มันเด้งได้ละเนี่ย!?)

 

      Easter Eggs ยังไม่ได้ใส่อะไรเข้ามานอกจากตัวอักษร N ที่เห็นตอนแรกแล้วนึกว่าเป็นโลโก้ของ Medium ซะอีก

 

      ส่วนเกมใน Easter Eggs ก็ยังคงเป็นเกมเดิมเช่นกัน

 

      และนี้ก็เป็นฟีเจอร์ทั้งหมดของ Android N ที่เปิดเผยออกมา ณ เวลานี้ และเปิดให้นักพัฒนาโหลดเอาไปลองเล่นกันก่อนใคร โดยเครื่องที่ทาง Google ทำ firmware ให้โหลดไปใช้ทดสอบได้ ได้แก่

  • Nexus 6

  • Nexus 5X

  • Nexus 6P

  • Nexus Player

  • Nexus 9

  • Pixel C

      แต่เมื่อถึงเวลาปล่อยจริง ต้องรอลุ้นต่อไปว่า Nexus 5 จะยังรองรับรึเปล่า เพราะไม่แน่ว่า Google อาจจะใจดีทำลงไปให้ต่อก็เป็นได้ ซึ่งใครที่ใช้เครื่องข้างต้นอยู่นั้น สามารถไปดาวน์โหลด Android N Developer Preview เพื่อไปแฟลชได้ทันทีที่ http://developer.android.com/preview/download.html และถ้าหากว่ายังแฟลชไม่เป็น ก็สามารถไปดูวิธีการได้จาก https://droidsans.com/how-to-flash-nexus-device-with-factory-image

       **คำเตือน** สำหรับมือใหม่ และมีเครื่องเพียงเครื่องเดียว คิดให้ดีดีก่อนแฟลชนะ เพราะว่าเวอร์ชั่น Developer Preview จะยังไม่ค่อยเสถียรอย่างแรง และอาจมีบั๊กให้เห็นบ้างประปราย หากต้องใช้งานตลอด อาจจะเจอปัญหาจุกจิกต่างๆจนทำให้หงุดหงิดได้นะ

      ตามกำหนดการ Android N จะมีการอัพเดททุกๆ 4 – 6 สัปดาห์ รวมๆแล้วจะมี Preview อยู่ราวๆ 5 ครั้งก่อนที่จะถูกปล่อยเข้า AOSP และส่งให้เหล่า OEMs ในช่วงไตรมาส 3 ของปี (ก.ค. – ก.ย.) ซึ่งก็จะเป็นช่วงเวลาเดิมที่ Google ปล่อย Android รุ่นใหม่พร้อมเปิดเผยชื่อขนมอย่างเป็นทางการนั่นเอง

 

      หลายคนอาจจะมองว่า Android N Developer Preview เปิดออกมาแล้วไม่เห็นจะมีอะไรว้าวเลย เอาของเก่ามาทำใหม่ เห็นอะไรแบบนี้มาหลายปีก่อนหน้าแล้ว แต่หากมองมุมกลับว่าเพราะทีม Android เค้าก็เห็นไม่ได้ต่างกัน เลยจับเอามาปล่อยก่อนเวลา มันซะเลย ทำให้เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า Google จะเอาเวลาในงาน Google I/O ไปทำอะไรบ้าง? Keynote จะเอาเรื่องไหนมาพรีเซนต์เป็นหลัก? หรือเพราะว่า AlphaGo ชนะนัดแรกเมื่อวาน Google ก็เลยฉลองด้วยการปล่อย Android N ให้ไปลองกันก่อนสินะ!!! #ผิด เพราะการตัดเอาส่วนสำคัญอย่าง Android ออกไปแล้วนั้น เท่ากับว่า Google ต้องมีของใหม่ที่น่าสนใจกว่า Android รออยู่แน่นอนนนนนนนน~

      เพื่อนๆคิดว่าสิ่งๆนั้นคืออะไร? มาคอมเม้นท์กันได้เลย