สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่านครับ กลับมาเจอกันอีกแล้วกับรีวิวมือถือจากผม Laruku ช่วงนี้มีเครื่องส่งมาให้ทาง Droidsans รีวิวค่อนข้างเยอะ ทาง Moderator ของเราก็คิวงานรัดตัวพอสมควรทั้ง 3 คนเลย ผมเลยได้มีโอกาสหยิบเอาบางรุ่นมารีวิวช่วยงานทางเว็บด้วย ตอนนี้ก็มีรีวิวไปแล้ว 2 ตัวคือ LG G2 mini กับ Huawei Honor 3C ดังนั้นคงจะได้เจอกับผมบ่อยขึ้นนะครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวกับเพื่อนสมาชิกทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง คาราวะหนึ่งจอก!

กลับมาเรื่องรีวิวของเราวันนี้กับเจ้า Huawei Ascend Y600 ที่วางจำหน่ายในเมืองไทยไปได้สักพักแล้วด้วยราคา 3,990 บาท มีสองสีให้เลือกคือ ขาวและดำ โดยจุดเด่นของรุ่นนี้คือ เป็นแอนดรอยด์ราคาประหยัดในตลาดผู้ใช้ระดับเริ่มต้น แต่มีหน้าจอใหญ่ถึง 5 นิ้ว พร้อมกล้องหน้าและกล้องหลังครบ เราลองมาดูกันว่าเจ้า Y600 จะคุ้มกับค่าตัวหรือเปล่านะครับ


มีอะไรอยู่ในกล่องบ้าง…

ในกล่องของ Huawei Ascend Y600 มีอุปกรณ์มาตรฐานทั่วไปดังนี้

  1. Huawei Ascend Y600
  2. สาย USB
  3. Adaptor สำหรับชาร์จ ขนาด 5V1A
  4. หูฟัง Smalltalk
  5. คู่มือเริ่มต้นการใช้งาน (Quick Start Guide)

พูดถึงเรื่อง Quick Start Guide แล้วคันปาก ผมสังเกตผู้ผลิตหลายๆเจ้า แปลคำว่า Quick Start Guide ไปในแนวทางเดียวกัน เช่น คู่มือการใช้งานด่วน, “คู่มือการเริ่มต้นการใช้งานด่วน”, “คู่มือการเริ่มต้นใช้งานแบบด่วน” คือว่า ผู้ผลิตเค้าคิดว่าเรารีบใช้มือถือกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ อ่านแล้วแบบว่า ต้องด่วน! ต้องใช้เป็นเดี๋ยวนี้เลย! ต้องใช้ให้ได้ตอนนี้เลย! จริงๆแล้วคำฝรั่งเค้าเขียนว่า “Quick” ซึ่งแปลว่า “รวดเร็ว” หรือ “ว่องไว” อะนะ แต่อารมณ์มันไม่ต้อง “ด่วน” ขนาดนั้น แปลแค่ว่า “คู่มือเริ่มต้นการใช้งาน” หรือ “คู่มือการใช้งานแบบรวดเร็ว” ก็ได้ พอแค่นี้ก่อนดีกว่า ชักไร้สาระ ว่าแล้วไปดูสเปกของเจ้า Y600 กันครับ


ว่ากันด้วยเรื่องสเปก…

สเปกของ Huawei Ascend Y600 นั้นก็ถือว่าค่อนข้างดีสำหรับมือถือราคา 3,990 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • สัดส่วน: 144.5 x 74.5 x 10.8 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก: 160 กรัม
  • หน้าจอ: TFT ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 480 x 854 พิกเซล หรือ FWGA รองรับ Multitouch 5 จุด
  • เครือข่าย: 2G แบบ Quad-band 850 / 900 / 1800 / 1900 ส่วน 3G นั้นเป็บแบบ Dual-band รองรับคลื่น 900/2100 พร้อมการใช้งาน 2 ซิมการ์ด stand by พร้อมกัน
  • CPU : Mediatek MT6572 Dual core ความเร็ว 1.3 GHz
  • RAM : 512 MB
  • หน่วยความจำภายใน : 4 GB เพิ่ม microSD ได้ถึง 32GB
  • กล้องหน้า : 640×480 พิกเซล หรือ VGA
  • กล้องหลัง : 5 ล้านพิกเซล แบบ Fixed focus ไม่มี Flash
  • แบตเตอรี่ : 2,100 มิลลิแอมป์
  • OS : Android 4.2 Jelly Bean

 

มองดูรอบๆ

ขนาดของ Y600 นั้นต้องบอกว่าจับถือพอได้สำหรับมือถือที่มีขนาดหน้า 5 นิ้ว ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก แต่มีน้ำหนักพอสมควร ส่วนเรื่องความหนานั้นถือว่า หนาแต่ไม่มากเกินไป เพราะด้านหลังของตัวเครื่องจะโค้งรับกับอุ้งมือ โดยตรงขอบซ้ายขวาจะบางกว่าตรงกลางที่หนากว่าชัดเจน การใช้งานมือเดียวก็ไม่ถนัดนิดหน่อย เพราะต้องปรับตำแหน่งการถือเพื่อยืดนิ้วไปแตะในส่วนที่เอื้อมไม่ถึง ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วสำหรับมือถือจอใหญ่และเครื่องใหญ่นิดๆแบบนี้ คราวนี้มาดูรอบตัวเครื่องว่ามีอะไรบ้าง

ด้านบนของตัวเครื่องไม่มีอะไรนอกจากช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร

 

ด้านขวาจะมีปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด และปุ่ม Volume Control สำหรับเพิ่มลดเสียงตามมาตรฐานมือถือแอนดรอยด์ทั่วไป

 

ด้านล่างของตัวเครื่องจะมีช่องไมค์สำหรับสนทนาและช่องเสียบสาย MicroUSB สำหรับชาร์จและโอนข้อมูล

 

ด้านหน้าของตัวเครื่องนอกจากหน้าจอแล้ว ด้านบนจะมีลำโพงสำหรับสนทนาและกล้องหน้าความละเอียด VGA ส่วนด้านล่างจะเป็นปุ่มสัมผัสแบบ Capacitive ไล่ตามลำดับเป็นปุ่ม Back, ปุ่ม Home และปุ่มเมนูครับ แต่ก็แปลกที่ไม่มีไฟสำหรับปุ่มสัมผัสเหมือนกับ Huawei Honor 3C เลย เวลาใช้ตอนมืดอาจจะมองลำบากหน่อย

 

ด้านหลังประกอบด้วย กล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล แต่ไม่มี Flash มาให้ ส่วนที่อยู่ข้างๆ กล้องจะเป็นลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้าและเสียงเตือนครับ

 

พอแกะฝาหลังออกมาเราจะพบช่องใส่ SIM ขนาดปกติ 2 ช่อง โดย SIM 1 นั้นจะเป็น SIM หลักในการใช้งาน 3G ส่วน SIM 2 จะใช้งาน 2G นะครับ นอกจากนั้นก็ช่องเสียบ microSD เพิ่มเติม ซึ่งรองรับความจุสูงสุด 32GB

 

 

สุดท้ายคือแบตเตอรี่ขนาด 2100 มิลลิแอมป์ ซึ่งต้องบอกว่ายิ่งกว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วๆไปครับ

 

 

ระบบสแตนบายด์ 2 SIM

Huawei Ascend Y600 นั้นรองรับการใช้ 2 SIM โดยสามารถรอรับสายได้พร้อมกันทั้ง 2 SIM เหมือนกับทั่วๆไป แต่ถ้ามีการใช้งานสายใดสายหนึ่งอยู่ แล้วมีคนโทรเข้าอีกสายจะกลายเป็นเป็นสายไม่ว่างนะครับ เข้าใจตรงกันนะ สำหรับเครือข่ายที่รองรับโดย Y600 นั้น ถ้าเป็น 2G สามารถใช้งานได้ทุกเครือข่าย เพราะเป็นแบบ Quad-band (850 / 900 / 1800 / 1900) แต่ถ้าเป็น 3G นั้นจะรองรับ Dual-band บนคลื่น 900/2100 เท่านั้น ใครสนใจรุ่นนี้แต่ไม่ได้ใช้ 3G บนเครือข่าย 900/2100 ก็ลองช่างน้ำหนักดูว่า จะเปิดเบอร์ใหม่หรือจะย้ายค่ายนะครับ SIM ที่จะใช้งาน 3G นั้นต้องเสียบในช่อง SIM1 ส่วน SIM2 นั้นจะรองรับการใช้งานแบบ 2G เท่านั้น ดังนั้นอย่าลืม เสียบให้ถูกรู ด้วย

การเข้าไปจัดการ SIM นั้นให้เข้าไปที่ Settings แล้วเลือกเมนู “SIM management” ซึ่งเราสามารถเปิด-ปิด SIM และเลือก SIM ที่จะใช้งานในเรื่องต่างๆ ทั้งการโทร, การส่งข้อความ และการเชื่อมต่อข้อมูลได้ในหน้านี้ จากรูปด้านบนผมใส่ SIM ของ AIS เป็น SIM1 และ TrueMove H เป็น SIM2 ลองมาดูว่าผมตั้งค่าต่างกันยังไงในรูปทางซ้ายและทางขวานะครับ

การตั้งค่าทางด้านซ้าย ผมตั้งค่าให้ โทรออก AIS , ส่งข้อความด้วย AIS และใช้อินเตอร์เน็ตของ AIS โดยจะเห็นว่ามีสัญลักษณ์ H ขึ้นบนขีดสัญญาณของ SIM1 ซึ่งหมายถึง 3G นั่นเอง ดังนั้นหมายความว่าผมใช้ TrueMove H ในการรับสายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

การตั้งค่าทางด้านขวา ผมตั้งค่าให้ ตอนโทรออกต้องถามว่าผมจะใช้ SIM ไหนทุกครั้ง , ส่งข้อความด้วย AIS และใช้อินเตอร์เน็ตของ TrueMove H โดยจะเห็นว่ามีสัญลักษณ์ E ขึ้นบนขีดสัญญาณของ SIM2 หมายความว่า ได้ความเร็วเป็น EDGE เท่านั้น

ในทางกลับกัน ผมลองสลับเอา SIM ของ TrueMove H มาใส่เป็น SIM1 และใช้ SIM เดียว ปรากฎเป็นคำว่า “E” อยู่ตรงขีดสัญญาณ แสดงว่าตอนนี้เป็นการใช้งานข้อมูลแบบ EDGE นะ เพราะรุ่นนี้รองรับ 3G ที่ 900/2100 เท่านั้น

 

ว่ากันด้วยเรื่อง Software …

ในส่วนของซอฟท์แวร์นั้น Ascend Y600 มาพร้อมกับ Android 4.2.2 Jelly Bean โดย Huawei แทบจะไม่ได้ปรับแต่ง UI ของระบบเลย จริงๆ ถ้าจะพูดไป มันก็คือ Pure Android หรือ Stock Android ที่เปลี่ยน Icon ของ App บางตัวแค่นั้นเองครับ ตัว Launcher ยังคงเป็น Launcher พื้นฐานของ Android และ Settings ทุกอย่างเป็นของ Stock ทั้งหมดเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าจะเรียกให้มันเท่ห์หน่อยมันก็ Nexus ดีๆนี่เองครับ อิอิ

เนื่องจากเป็น Stock Android ดังนั้นจึงมาพร้อมกับบริการพื้นฐานของ Google อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Google Now, Gmail, Google Maps, Chrome, Google+, Hangouts, Youtube และบริการของ Google Play ทั้งหมด นอกจาก App ที่เป็นบริการพื้นฐานจาก Google ทาง Huawei ก็ยังให้ App บางอย่างเพิ่มเติมมากับ Y600 อีกนิดหน่อย ได้แก่ Backup, Sound Recorder และ ระบบเปิด-ปิดเครื่องอัตโนมัติ

Backup นั้นเป็น App ที่เอาไว้สำรองข้อมูลเก็บไว้ใน SD Card โดยตอน backup แต่ละครั้งเราต้องตั้งรหัสผ่านไว้ด้วย ตอนที่เรา restore หรือคืนค่าข้อมูลกลับมาก็จำเป็นต้องใส่รหัสผ่านอีกครั้งเพื่อความปลอดภัย

 

Source Recorder หรือ เครื่องบันทึกเสียง เอาไว้อัดเสียงจากภายนอกผ่านทางไมโครโฟนของโทรศัพท์มือถือ เหมาะสำหรับเอาไว้อัดเสียงอาจารย์เวลาเลคเชอร์หรืออัดเสียง Trainer ตอนไปฝึกอบรม หรือจะบันทึกเสียงเราเองเพื่อช่วยจำก็ได้ครับ

 

Scheduled power on & off หรือ การตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่อง นี่เป็นมือถือ Android เครื่องแรกที่ผมเห็นว่ามีแบบนี้ด้วย เราสามารถตั้งเวลาเปิด-ปิดเครื่องตามวันและเวลาที่ต้องการได้ ซึ่งผมก็ลองแล้วก็ทำได้จริงๆ เหมือนตั้งเวลาเปิด-ปิดแอร์ที่บ้านเลยครับ จากที่ลองสังเกตตอนที่ตั้งเวลาปิดไม่แน่ใจว่าปิดจริงๆหรือเข้าสู่โหมด Hibernate เพราะตอนที่ลองก็สั่งปิดเครื่องไปแล้วทิ้งไว้สักพักให้เปิดกลับขึ้นมาเอง แบตเตอรี่ก็ไม่ลดแฮะ หรือว่าเครื่องมันปิดไปจริงๆ?

 

รองรับภาษาไทยหรือเปล่า?

บางคนอาจจะสงสัยว่ามือถือ Android ราคาประหยัดจากประเทศจีน มันจะมีปัญหาในการใช้งานภาษาไทยหรือเปล่า? ไม่มีปัญหาเลยครับ เพราะ Y600 มีทั้งเมนูที่เป็นภาษาไทยและคีย์บอร์ดภาษาไทยมาให้ในตัวเรียบร้อย สำหรับคนที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษสามารถเลือกใช้งานภาษาไทยได้เลยครับ

 

 

กล้องและภาพถ่าย…

 

กล้องหลัง ของ Y600 นั้นถ่ายภาพนิ่งได้ที่ความละเอียดสูงสุด 5 ล้านพิกเซลแบบ Fixed Focus คุณภาพของภาพถ่ายที่ได้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ถือว่าได้มาตรฐานทั่วไป มี mode ถ่ายรูปให้เล่น 3 อย่างในหน้า UI ของกล้อง

  • Normal : ถ่ายแบบปกติ
  • Panorama : ถ่ายแบบพาโนรามา
  • Smile Detection : ถ่ายอัตโนมัติเมื่อเห็นคนแสยะยิ้ม

แต่ถ้าเข้าไปปรับเพิ่มเติมใน Settings ของกล้องก็จะมีค่ามาให้เราปรับเล่นได้หลายๆอย่างตามรูปเลย แต่ที่ผมเห็นว่าควรเปิดไว้เลยคือ “Zero shutter delay” หรือที่หลายๆคนรู้จักกันชื่อ “Zero shutter lag” นั่นเอง พอเปิดแล้วก็ถ่ายรูปได้ทันใจมากขึ้นอีกนิดหน่อย เพราะเราไม่ต้อง focus ก่อนถ่ายอยู่แล้ว

 

ลองมาดูตัวอย่างภาพถ่ายของ Huawei Ascend Y600 กันครับ ทุกภาพแค่ผ่านการ resize มาอย่างเดียว

ส่วนแบบเต็มๆ เข้าไปดูได้ที่ Google+ 

 

  

สำหรับการถ่ายวิดีโอสามารถได้ที่ความละเอียดสูงสุด 720p และ framerate ที่ 25 fps ภาพวิดีโอที่ได้ถือว่านี่คือตัวอย่างวิดีโอครับ การถ่ายวิดีโอสามารถ Pause กลางทางแล้วถ่ายต่อเนื่องได้เลย ไม่ต้อง Stop เพื่อขึ้นคลิปใหม่

Play video

 

กล้องหน้านั้นเป็นแบบ Fixed focus ความละเอียด VGA คุณภาพของภาพถ่ายก็ถือว่าตามมาตรฐานไม่มีอะไรพิเศษเช่นกัน ส่วน UI ไม่มี mode อะไรให้เล่น ถ้าใครชอบถ่าย Selfie แนะนำว่าให้ลง App ถ่ายรูปเพิ่มเติม เช่น Cymera หรือ Camera360 ครับ

 

สมรรถภาพและความอึด

จากการวัดประสิทธิภาพของตัวเครื่องด้วย App ยอดนิยมอย่าง Antutu Benchmark X และ Basemark OS II ได้ผลออกมาดังภาพ

จากผลคะแนนที่ได้ออกมาจากทั้ง 2 App ต้องบอกว่าประสิทธิภาพของ Huawei Ascend Y600 นั้นไม่สูงมากนัก แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป ส่วนการเล่นเกมส์คงยังไม่เหมาะ เน้นเอาไว้ใช้เป็นโทรศัพท์และเล่นอินเตอร์เน็ตกับ Social Network เป็นหลัก ส่วนพื้นที่ความจุ 4 GB นั้นใช้งานได้จริงไม่เยอะเท่าไหร่ตามภาพด้านล่างนี้ ยังไงควรจะเตรียมซื้อ microSD มาใช้ด้วย

มาในส่วนของแบตเตอรี่นั้น ต้องบอกว่าประทับใจเพราะสามารถใช้งาน 1 วันได้แบบสบายๆ ผมทดลองใช้งาน 1 วัน ครึ่งวันเช้าเปิดเป็น Wifi Hotspot ซึ่งถือเป็นฟังก์ชันที่กินแบตมากของมือถือ นอกนั้นเป็นการใช้งานทั่วไปคือเล่นอินเตอร์เน็ต, Social Network และ ถ่ายรูป ปรากฎว่าผ่านไป 10 ชั่วโมง แบตก็ยังเหลืออยู่ที่ถึง 44% ถึงแม้ว่าความจุแบตเตอรี่จะไม่เยอะเพียง 2100 mAh แต่ก็อึดมากเลยทีเดียว

 

สรุปข้อดีและข้อเสีย…

ข้อดี

  • ใช้งานได้ 2 SIM
  • ราคาประหยัด
  • แบตเตอรี่อึด
  • ได้ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง

ข้อเสีย

  • ยังไม่ใช่ Android 4.4.2 KitKat
  • ความจุน้อยเพียง 4GB
  • ไม่มีไฟสำหรับปุ่ม capacity เวลามืดจะมองไม่เห็นปุ่ม


บทส่งท้าย…

Huawei Ascend Y600 นั้นเป็นมือถือ Android สำหรับมือใหม่หัดขับใช้งานสมาร์ทโฟน ราคาประหยัด แต่ได้หน้าจอขนาดใหญ่ถึง 5 นิ้ว รองรับการใช้งาน 2 SIM แถมยังมีทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังอีกต่างหาก ราคา 3,990 บาทถือว่าค่อนข้างคุ้ม จะว่าไปก็คงเป็นไปตามกลุ่มเป้าหมายของรุ่นนี้ที่ตั้งใจให้เป็นมือถือสำหรับคนงบน้อยแต่อยากจะเริ่มต้นใช้สมาร์ทโฟน Android สักเครื่องหรือคนที่อยากได้มือถือไว้ใช้เป็นเครื่องสำรองสักเครื่องจอใหญ่ในราคาไม่แพงนัก ไม่ได้ต้องการอะไรจุกจิกมากมาย ใช้โทรเข้าโทรออกและเล่นอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก แต่จะว่าไปถ้ากัดฟันเพิ่มตังค์อีก 1,600 บาท ไปซื้อ Huawei Honor 3C ผมว่าก็น่าลองเหมือนกัน เพราะสเปกต่างกันลิบลับ ก็แล้วแต่จะพิจารณากันนะครับ มี Zenfone 4 และ Zenfone 5 ให้เปรียบเทียบด้วยในราคาใกล้เคียงกัน วันนี้ลากันแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ