สวัสดีเพื่อนสมาชิก Droidsans ทุกท่าน วันนี้ผมขออนุญาตมาแนะนำมือถือเจ้าใหม่ดั้งเดิมจากแดนมังกรที่เพิ่งเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก ผมกำลังพูดถึง Meizu (เม่ยจู) นั่นเอง โดยรุ่นที่ Meizu นำเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเป็นรุ่นแรกก็คือ “Meizu m2 note” สมาร์ทโฟนระดับ Mid-range ที่จัดสเปกมาดีพอสมควร แต่จำหน่ายในราคาเพียง 5,990 บาท ผ่านทาง Lazada เท่านั้น โดยมี 2 สีมาตรฐานคือ ขาวและดำ เปิดราคามาก็เรียกว่า “คุ้มเลย” แต่จะคุ้มแค่ไหน เจอกันได้หลังเบรก

หากใครเคยได้อ่าน รีวิว Meizu MX4 Pro ของผมมาก่อน จะได้รู้ประวัติอย่างคร่าวๆของบริษัท Meizu ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า Meizu เป็นผู้เล่นที่อยู่ในสนามแข่งขันสมาร์ทโฟน Android มานานพอสมควร ออกมือถือมาแล้วก็หลายรุ่น แต่ส่วนใหญ่จะจำหน่ายในบ้านเกิดที่ประเทศจีนเกือบทั้งหมด แต่ในที่สุด Meizu ก็ตัดสินใจ go inter ขายของนอกประเทศบ้าง และก็เข้ามาลองตลาดในประเทศไทยด้วย โดยการส่งเจ้า Meizu m2 note เข้ามาแนะนำตัวกับคนไทยเป็นรุ่นแรก เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของมือถือจาก Meizu คือสเปกต่อราคานั้นคุ้มค่าทุกรุ่น จริงๆมือถือแนรนด์จีนก็มาแนวนี้กันหมดอะนะ ดังนั้นเรามาดูงานของ Meizu ว่ามีอะไรแตกต่างและน่าสนใจกันบ้างครับ

 

แกะกล่อง Meizu m2 note

สำหรับกล่องของ Meizu m2 note ถือว่ามีขนาดใหญ่และใช้กระดาษแข็งให้อารมณ์พรีเมียมพอสมควร คือกล่องสวนกระแสมือถือจากค่ายใหญ่หลายๆเจ้าที่ตอนนี้กล่องมือถือจะหดเหลือเกือบเท่าขนาดตัวเครื่องไปแล้ว หน้าตากล่องของ m2 note ก็เป็นแบบนี้เลย

 meizu-m2-note-review-unbox01.jpg

ขาวสะอาดหมดจด มีตัวหนังสืออยู่ตรงกลางใหญ่ว่า “m2 note”

 

meizu-m2-note-review-unbox02.jpg

แกะฝากล่องออกมาก็จะพบเจ้า m2 note นอนรออยู่เลย

 

meizu-m2-note-review-unbox03.jpg

สำหรับอุปกรณ์ที่มีมาให้ก็ตามมาตรฐานทั่วไป ได้แก่ คู่มือการใช้งาน, สาย USB, หัว Adapter สำหรับชาร์จ และหูฟะ.. เอ๊ะ นั่นอะไร?

 

meizu-m2-note-review-unbox04.jpg

“Earphone not included” = “ไม่ได้แถมหูฟังมาให้นะ” ขอบคุณครับที่บอก! มารยาทดีจริงๆ

 

meizu-m2-note-review-unbox05.jpg

สำหรับ Adapter ของ m2 note นั้นเป็นแบบ 5V 2A ชาร์จไม่ช้า โอเคเลยครับ

 

สำหรับของที่ให้มาในกล่องของ Meizu m2 note ก็ประมาณนี้แหละ ส่วนเรื่องหูฟังที่ไม่ได้แถมนั้นก็เพื่อลดต้นทุน จะได้ขายราคาถูกลง และคนส่วนใหญ่ก็มักจะมีหูฟังตัวเก่งของตัวเองอยู่แล้ว แถมใครสนใจหูฟังของ Meizu ก็สามารถสั่งซื้อผ่าน Lazada ได้เช่นกัน หูฟังของ Meizu นั้นเสียงดีเชียวล่ะ เพราะเค้าทำเครื่องเล่น MP3 มาก่อนนั่นเอง ดูของในกล่องเสร็จแล้ว เรามาดูสเปกของตัวเครื่องกันดีกว่า

 

สเปกของ Meizu m2 note

อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า Meizu m2 note นั้นเป็นสมาร์ทโฟนระดับ Mid-range สเปกโดยรวมจึงเป็นระดับกลางๆ แต่ก็จัดว่าเป็นที่สเปกที่สูงในมือถือระดับกลางด้วยเช่นกัน สำหรับสเปกของ Meizu m2 note เป็นดังนี้

meizu-m2-note-review-spec.jpg

ภาพจาก Meizu Thailand Official

 

  • ชื่อและรหัสเครื่อง: Meizu m2 note

  • สัดส่วน: 150.9 x 75.2 x 8.7 มิลลิเมตร

  • น้ำหนัก: 149 กรัม

  • หน้าจอ: Sharp IGZO IPS LCD 5.5 นิ้ว ความละเอียด FullHD 1920 x 1080 พิกเซล

  • เครือข่ายที่รองรับ:

    • 4G : LTE band 1(2100), 3(1800), 7(2600), 38(2600), 39(1900), 40(2300), 41(2500)

    • 3G : HSPA 850/900/2100

    • 2G : GSM 850/900/1800/1900

  • SIM : 2 SIM แบบ Nano SIM

  • CPU : MediaTek MT6753 1.3GHz octa-core

  • GPU : Mali T720 MP3/450MHz

  • RAM : 2GB LPDD3 800 MHz

  • หน่วยความจำภายใน : 16 GB ( รองรับ MicroSD ความจำสูงสุด 128 GB )

  • กล้องหน้า : 5 ล้านพิกเซล OV5670 F/2.0

  • กล้องหลัง : 13 ล้านพิกเซล F/2.2

  • แบตเตอรี่ : 3,100 mAh (ถอดเปลี่ยนไม่ได้)

  • OS : Flyme 4.5 UX บน Android 5.1 Lollipop

  • NFC : ไม่มี

  • OTG : มี

  • การเชื่อมต่ออื่นๆ:

    • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n

    • Bluetooth 4.0 BLE, A2DP

    • A-GPS, GLONASS, Digital compass

    • USB 2.0

    • หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

 

งานออกแบบตัวเครื่อง

Meizu m2 note นั้นเลือกใช้วัสดุเป็นพลาสติกทั้งหมด แต่ด้วยงานออกแบบที่เน้นความโค้งมน ด้านหลังตัวเครื่องนั้นเคลือบสารบางอย่างที่ทำให้รู้สึกด้าน ไม่ลื่นมาก จับกระชับมือได้ดี งานประกอบก็ทำได้แน่นหนา ไม่กรอบแกรบ การจัดวางส่วนประกอบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง,แฟลช หรือปุ่มต่างๆก็นับว่าดีเช่นกัน โดยรวมทำให้ไม่รู้สึกว่ามือถือรุ่นนี้เป็นมือถือราคาถูกทั่วไป และสำหรับเครื่องรีวิวที่เป็นสีดำเทานั้น ยิ่งทำให้ดูเหมือนว่าเป็นโลหะได้เลย

meizu-m2-note-review-design01.jpg

 

หน้าจอของ Meizu m2 note มีขนาดใหญ่ถึง 5.5 นิ้ว แต่ด้วยขอบด้านข้างที่ค่อนข้างบางจึงทำให้ตัวเครื่องดูไม่ใหญ่มาก นอกจากนั้นยังมีน้ำหนักเบามากเพียง 149 กรัมเท่านั้น ความหนาของตัวเครื่องหากมองด้วยตาอาจจะดูหนา แต่จริงๆแล้วมีความหนาเพียง 8.7 มิลลิเมตร ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ m2 note เป็นมือถือที่มีขนาดค่อนข้างดี สามารถจับถือใช้งานได้สะดวก

meizu-m2-note-review-design02.jpg

 

ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบด้วยไมค์สนทนา, พอร์ต USB และลำโพงสำหรับเสียงเรียกเข้า

meizu-m2-note-review-design03.jpg

 

ด้านบนของตัวเครื่องประกอบด้วยไมค์ตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องเสียงหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร

meizu-m2-note-review-design04.jpg

 

ด้านขวาจะมีช่องใส่ซิมเพียงอย่างเดียว

meizu-m2-note-review-design05.jpg

 

ด้านซ้ายจะมีปุ่มปรับเสียงและปุ่ม Power อยู่ ซึ่งถือว่าอยู่คนละด้านกับมือถือ android ทั่วไป หรือว่าคนออกแบบถนัดมือซ้ายกันนะ 😛

meizu-m2-note-review-design06.jpg

 

เอาจิ้มถาดซิมออกมาก็จะเป็นดังรูป

meizu-m2-note-review-design08.jpg

 

ลองซูมดูถาดซิมชัดๆ จะเห็นว่าสามารถรองรับได้ 2 ซิม โดยช่องซิม 1 จะใช้เป็นช่องใส่ microSD card แทนได้ ซึ่งจะใช้ในกรณีเล่นซิมเดียว พร้อม microSD

meizu-m2-note-review-design07.jpg

 

พลิกมาดูด้านหน้าของมือถือดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

meizu-m2-note-review-design09.jpg

 

ส่วนบนของหน้าจอจะมีช่องลำโพงสำหรับสนทนาและกล้องหน้าอยู่ทางด้านขวา ด้านซ้ายของลำโพงดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่เป็นจุดรวมเซ็นเซอร์ต่างๆ เช่น เซ็นเซอร์วัดระดับความสว่าง และ Proximity sensor เป็นต้น

meizu-m2-note-review-design10.jpg

 

ส่วนล่างของหน้าจอจะมีปุ่มอยู่ปุ่มเดียวตรงกลางเรียกว่า ปุ่ม “mBack” โดยจะรองรับ input 2 แบบด้วยกันคือ การสัมผัสแบบ capacitive และการกดปุ่มลงไปจริงๆ ซึ่งการสัมผัสหรือแตะ 1 ครั้งจะทำหน้าที่เป็นปุ่ม Back ส่วนการดกปุ่มลงไปจะกลับไปหน้า Home

meizu-m2-note-review-design11.jpg

 

พลิกมาด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้าง ดูเรียบๆ แต่ก็สวยดี

meizu-m2-note-review-design12.jpg

 

ส่วนบนของด้านหลังจะเป็นกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชแบบ Dual-tone

meizu-m2-note-review-design13.jpg

 

ด้านล่างมีโลโก้ของ Meizu พร้อมสโลแกน “Designed by Meizu Made in China”

meizu-m2-note-review-design14.jpg

 

สำหรับงานออกแบบของ Meizu m2 note โดยรวมก็อย่างที่ได้เห็นและแนะนำไป โดยส่วนตัวผมว่ารุ่นนี้ออกแบบมาให้ดูพรีเมียมดี ทั้งที่ใช้วัสดุเป็นพลาสติกธรรมดา งานประกอบก็ทำได้แน่นหนาดี ยกเว้นถาดใส่ซิมโดยเฉพาะบริเวณพลาสติกด้านนอกที่ใช้ดึงเข้าดึงออกนั้นดูเหมือนจะหลุดได้ง่าย เพราะเครื่องรีวิวก็เริ่มหลวมๆแล้วเหมือนกัน

 

ระบบปฏิบัติการ Flyme OS

Meizu m2 note นั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการของตัวเองที่ชื่อว่า Flyme OS พัฒนาบนพื้นฐานของ Android 5.1 Lollipop สำหรับเวอร์ชันที่ทำการรีวิวนี้จะเป็น Flyme OS 4.5.4I ซึ่งมีการแก้ปัญหาเรื่อง Google services เรียบร้อย

meizu-m2-note-review-software01.jpg

 

Homescreen

หน้า Homescreen ของ Flyme OS จะไม่มี App Drawer หรือ “หน้ารวมแอพ” ที่คนใช้ Android มาก่อนจะคุ้นเคยกันดี แต่สำหรับ Flyme OS แอพทุกแอพจะเรียงอยู่บนหน้า Homescreen คอนเซ็ปท์เดียวกับ iOS และมือถือของจีนอีกหลายๆยี่ห้อ ตรงนี้แล้วแต่ความชอบและถนัดของแต่ละคน บางคนอาจจะชอบ App Drawer มากกว่า ในขณะที่บางคนจะชินและติดมาจาก iOS หรือมือถือจีนรุ่นอื่นก็มี

 

เริ่มต้นหน้าจอจะมีให้ 2 หน้าแต่ก็เพิ่มได้เองเรื่อยๆ แล้วแต่ว่าลงแอพมากน้อยแค่ไหน รวมไปถึงการเอา widget มาวางรวมกับแอพด้วย

meizu-m2-note-review-software02.jpg

meizu-m2-note-review-software05.jpg

 

Notification

ในส่วนของแถบแจ้งเดือนหรือ Notification shade เมื่อเราลากลงมาจากด้านบนของหน้าจอ จะมีวงกลม 5 วงเป็นสวิตช์หรือ toggle ให้เปิดปิดฟีเจอร์ต่างๆ เช่น WiFi, 3G, Bluetooth หรือ Auto brightness นอกจากนั้นถ้าเราเอานิ้วแตะบริเวณวงกลมแล้วลากลงมาหรือแตะรูปตารางจุดด้านบนขวา จะเป็นการขยาย toggle เพิ่มเติมออกมาให้เลือกใช้ได้อีก ส่วนด้านล่างของ toggle จะเป็นรายการของการแจ้งเตือนเหมือนกัน android มาตรฐานทั่วไป

meizu-m2-note-review-software06.jpg

 

Recent apps

สำหรับหน้าจอ Recent apps ที่เอาไว้สลับแอพใช้งานนั้น ใน Flyme OS จะไม่เหมือนกับ Android รุ่นอื่นๆที่มีปุ่มและหน้าเฉพาะสำหรับ Recent apps เลย สำหรับของ Flyme OS จะเรียกใช้ Recent apps ได้ด้วยการเอานิ้วลากจากขอบล่างของหน้าจอขึ้นมาด้านบน เสมือนดึงแถบ Recent apps ขึ้นมา

meizu-m2-note-review-software07.jpg

จากนั้นเราสามารถเอานิ้วแตะที่แอพแล้วลากขึ้นหรือลากลงเพื่อปิดแอพนั้นๆได้ นอกจากนั้นยังสามารถล็อคแอพไว้ไม่ให้โดนปิดจากระบบได้ โดยการแตะค้างไว้ที่แอพนั้นจนขึ้นรูปตัวล็อคกุญแจขึ้นมา เท่านี้ตัวแอพก็จะค้างอยู่ในหน่วยความจำแล้วครับ แต่ไม่แนะนำให้ใช้หรอกนะ ให้มันเป็นไปตามที่ระบบจัดการดีกว่า

 

Lockscreen

หน้าจอ lockscreen ของ m2 note นั้นออกแบบมาแบบเรียบง่าย ไม่มี shortcut ของแอพใดๆบนหน้า lockscreen เลย การใช้งานอาศัยทิศทางในการปัดเพื่อทำให้เกิดรูปแบบต่างๆกัน โดยการปัดขึ้นจะเป็นการปลดล็อคหน้าจอ, การปัดไปทางขวาจะเป็นการเลือกเปิดแอพอะไรก็ได้ 1 แอพ และการปัดไปทางซ้ายจะเป็นการเปิดหน้ากล้องพร้อมถ่ายรูปทันที meizu-m2-note-review-software03.jpg

 

นอกจากนั้นยังมีระบบ Gesture Wakeup ที่ให้เราสามารถตั้งค่าการสัมผัสหน้าจอตอนที่ดับอยู่เพื่อเปิดหน้าจอหรือเปิดแอพต่างๆได้ เช่น Double-tap แตะสองครั้งเพื่อเปิดหน้าจอ หรืแ Slide upward ลากนิ้วขึ้นเพื่อปลดล็อคหน้าจอ สำหรับการเปิดแอพสามารถใช้การวาดเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ เช่น c, e, m, o และอื่นๆ เพื่อเปิดแอพที่ต้องการได้

meizu-m2-note-review-software04.jpg

 

Themes

FlymeOS นั้นมาพร้อมกับระบบ theme ที่สามารถเปลี่ยนหน้าตาของ UI ในเครื่องได้หลากหลายรูปแบบ โดยการเข้าถึงส่วนนี้จะอยู่ในแอพที่ชื่อว่า “Personalize” ซึ่งพอเปิดขึ้นมาจะมีคำเตือนก่อนว่า “เนื้อหาเป็นภาษาจีนนะ ภาษาอื่นกำลังตามมา” แต่นั่นไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร มั่วๆไปก็หาเจอ

meizu-m2-note-review-software08.jpg

 

Theme ที่มีให้เลือกใช้งานมีทั้งแบบที่ต้องจ่ายเงินซื้อและแบบฟรี ซึ่งเอาจริงๆของฟรีก็เยอะมากพอแล้ว โดยแต่ละ Theme จะมีการปรับหน้าตา UI ของเครื่องมากน้อยไม่เท่ากัน ซึ่งเราก็เลือกเองได้ด้วยว่า อยากใช้หรือไม่ใช่ส่วนไหน (module) เช่น เปลี่ยนแค่ Homescreen ไม่ต้องเปลี่ยน Lockscreen หรือหน้า Dialer เป็นต้น

meizu-m2-note-review-software09.jpg

 

ตัวอย่างของ Theme ที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ซื้อ

meizu-m2-note-review-software10.jpg

 

meizu-m2-note-review-software11.jpg

 

meizu-m2-note-review-software12.jpg

 

meizu-m2-note-review-software13.jpg

 

Gallery

สำหรับ Gallery หรืออัลบั้มภาพของ Flyme OS นั้นจะแบ่งเป็น 2 มุมมองด้วยกันคือ Photo และ Gallery ในมุมมอง Photo นั้นจะเป็นการดูรูปถ่ายแบ่งตามเดือนที่ถ่ายภาพ โดยสามารถเปลี่ยนเป็นดูตามสถานที่ที่ถ่ายรูปก็ได้ ส่วน Gallery จะเป็นการดูตาม Folder ที่เก็บรูปเหล่านั้น ซึ่งสามารถเพิ่ม Folder หรือ search หารูปที่ต้องการได้

meizu-m2-note-review-software14.jpg

 

Music

แอพสำหรับฟังเพลงภายในเครื่อง โดยจะมีการแบ่งเพลงตามมาตรฐานของแอพเล่นเพลงทั่วไปคือ เรียงตามชื่อเพลง, ชื่อศิลปิน, ชื่ออัลบั้ม หรือตามชื่อ folder

meizu-m2-note-review-software15.jpg

 

หน้าตาเครื่องเล่นเพลงก็จะมีการโชว์รูปอัลบั้มหรือศิลปินพร้อมข้อมูลของเพลงนั้นๆ

meizu-m2-note-review-software16.jpg

 

ตัวแอพ Music ยังมีระบบ Equalizer มาให้ด้วย โดยจะมี Equalizer แบบ 5 band มาให้ปรับเองหรือจะใช้ preset ที่ให้มาก็ได้เช่นกัน นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์ Dirac HD Sound ที่เป็นการปรับปรุงเสียงตามรุ่นหูฟังของ Meizu ที่ใช้

meizu-m2-note-review-software17.jpg

 

Videos

สำหรับแอพดูวิดีโอที่ให้มานั้นก็ใช้งานง่าย โดยเริ่มจะแบ่งตาม folder ที่เก็บไฟล์วิดีโอ ซึ่งจริงๆแล้วเราก็สามารถกดเล่นวิดีโอจาก File explorer หรือ Gallery ก็ได้เหมือนกัน แต่การเข้ามาที่ Videos จะเป็นการคัดเฉพาะวิดีโอทั้งหมดในเครื่องมาให้เลือกดูได้ง่ายขึ้น

meizu-m2-note-review-software18.jpg

 

สำหรับตัว Player ระหว่างที่ดูวิดีโอนั้นก็มีฟีเจอร์พิเศษที่สามารถทำให้ video กลายเป็นหน้าต่างเล็กๆลอยบนหน้าจอได้ ทำให้เราสามารถทำอย่างอื่นเวลาที่ดูวิดีโอได้

meizu-m2-note-review-software19.jpg

meizu-m2-note-review-software20.jpg

 

โดยรวมแล้ว FlymeOS ทำออกมาได้ดีในหลายๆส่วนเลย ถึงแม้อาจจะต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยสักพัก โดยเฉพาะปุ่ม Back เนี่ย แต่เมื่อคุ้นเคยแล้วก็สามารถใช้งานได้ลื่นไหลดี ถือว่า Meizu ปรับจูนตัว UI มาดีด้วย ทำให้การใช้งานทั่วไปใช้ได้ง่ายดีไม่มีอะไรสะดุด

 

ประสิทธิภาพและความอึดของแบตเตอรี่

Meizu m2 note เลือกใช้หน่วยประมวลผล MediaTek MT6753 octa-core ความเร็ว 1.3GHz ซึ่งเป็น CPU สำหรับมือถือระดับ mid-range มาพร้อม GPU Mali-T720MP3 ซึ่งถือว่าไม่สูงมาก แต่ด้วยหน้าจอเพียง Full HD 1080p ทำให้เครื่องไม่ต้องรับภาระประมวผลมากนัก ซึ่งผลการทดสอบ benchmark ด้วย Antutu, Geekbench และ 3DMark ได้ออกมาดังนี้

meizu-m2-note-review-performance01.jpg

Antutu Benchmark

 

meizu-m2-note-review-performance02.jpg

Geekbench 3

 

meizu-m2-note-review-performance03.jpg

3DMark : Ice Storm Extreme

 

สำหรับประสิทธิภาพของ Meizu m2 note นั้นเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป เท่าที่ลองใช้งานมานั้นลื่นไหลไม่มีสะดุด รวมไปถึงการเล่นเกมส์ก็พอได้ แต่ข้อสังเกตคือหลังจากที่ใช้งานไปสักพัก 2-3 ชั่วโมงเครื่องจะหน่วงลงอย่างเห็นได้ชัด ต้นเหตุน่าจะมาจากปัญหาการจัดการ RAM ที่ยังไม่ดีพอ รวมถึงปัญหา RAM รั่วด้วยเช่นกัน เพราะถึงแม้จะพยายาม clear แอพออกจากหน่วยความจำแล้วก็ยังหน่วงอยู่ ต้อง reboot เครื่องถึงจะกลับมาลื่นอีกครั้ง

 

ในส่วนความอึดของแบตเตอรี่รุ่นนี้ถือว่า ทำได้ดี เลยทีเดียว จากการใช้งาน 2 รูปแบบคือ ใช้งานน้อย และ ใช้งานหนัก สำหรับในวันที่ใช้งานน้อยนั้น m2 note อยู่ได้ยาวนานเกือบ 2 วัน นั่นแสดงว่า standby time ของมือถือรุ่นนี้ใช้งานพลังงานน้อยมาก สำหรับวันที่มีการใช้งานหนักก็อยู่ได้ข้ามวันสบายๆเช่นกัน นับว่าไม่เสียแรงที่มีแบตใหญ่ถึง 3100mAh

meizu-m2-note-review-performance04.jpg

 

ปล. สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพนั้นผมทำในโหมด High Performance นะครับ ซึ่งปกติ m2 note จะทำงานในโหมด Balance ที่ประหยัดพลังงานมากกว่า

meizu-m2-note-review-performance05.jpg

 

กลัองและตัวอย่างภาพถ่าย

meizu-m2-note-review-design13.jpg

Meizu m2 note มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล โดยเป็นภาพสัดส่วนใน 4:3 ใช้เซ็นเซอร์ของ Samsung เลนส์มีค่า Aperture f/2.2 สำหรับค่า default นั้นตัวกล้องตั้งมาที่ 8 ล้านพิกเซล สัดส่วนกว้าง 16:9 สำหรับการถ่ายภาพโหมด Auto เราสามารถเปิดฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ เช่น HDR, เส้นตาราง (Gridlines) และ Level gauge ที่เอาไว้เช็คว่าเราตั้งกล้องเแนวนอนเบี้ยวหรือไม่เบี้ยว นอกจากนั้นก็ตั้งเวลา (Timer) ถ่ายรูปได้ด้วย

meizu-m2-note-review-camera01.jpg

 

โหมดการถ่ายรูปที่ให้มาก็ถือว่ามีให้ใช้งานกันหลากหลายทั้ง Auto, Manual, Beauty, Panorama, Light field และ Slowmotion แต่โหมดที่น่าสนใจของมือถือรุ่นนี้ก็คือ Manual นี่แหละครับ

meizu-m2-note-review-camera02.jpg

 

ตอนแรกผมคิดว่ามือถือราคา 5000 นิดๆไม่น่าจะมีโหมด Manual มาให้ แต่ Meizu m2 note ให้มาครับ! แถมปรับค่าได้เยอะกว่ามือถือหลัก 20,000 บาทซะด้วยสิ โดยโหมด Manual นั้นจะให้เราตั้งค่าได้ 4 อย่างด้วยกันคือ

  • Shutter speed ตั้งแต่ 1/5000 วินาทีไปจนถึง 10 วินาที

  • ISO ตั้งแต่ 100 จนถึง 1600

  • Exposure ตั้งแต่ -3 ถึง 3

  • Focal length ตั้งแต่ Macro ถึงระยะอนันต์

ด้วยการปรับค่าขนาดนี้น่าจะถูกใจขาถ่ายรูปแต่งบน้อย เพราะ Manual ปรับได้เยอะจริงๆ

meizu-m2-note-review-camera03.jpg

 

ร่ายยาวฟีเจอร์กล้องมาเยอะ ได้เวลามาดูภาพตัวอย่างกันแล้วครับ

 

สภาพแสงปกติ

 

สภาพแสงน้อย

 

 

HDR ย้อนแสง

 

Light trail

 

Slowmotion

Play video

 

สำหรับวิดีโอนั้นถ่ายได้สูงสุดที่ความละเอียด Full HD 1080p เสียงที่อัดเป็นสเตริโอ คุณภาพพอใช้ เสียงไม่อู้อี้ ตัวอย่างมีดังนี้

Play video

Play video

Play video

 

ในส่วนของกล้องหน้าถ่ายภาพได้สูงสุด 5 ล้านพิกเซล ซึ่งก็นับว่าเพียงพอแล้วสำหรับการถ่าย Selfie โดยจะมีโหมด Beauty มาช่วยปรับหน้าตาให้ดูดีขึ้นอีกจมเลย

โดยรวมกล้องของ Meizu m2 note ถือว่าทำได้ดีมากในมือถือราคาระดับนี้ ภาพที่ได้นั้นคมชัด เก็บรายละเอียดได้ดีพอสมควร noise ก็ไม่ค่อยเห็นมากนัก ส่วนที่ทำได้ไม่ดีนักน่าจะเป็นตอนสภาพแสงน้อยหรือตอนกลางคืนที่ภาพติดเบลอได้ง่ายมาก มือต้องนิ่งจริงๆถึงจะไม่เบลอ แต่ผมก็คงไม่เรียบร้องอะไรมากกว่านี้สำหรับมือถือในช่วงราคา 5,000 บาท

 

บทสรุปและข้อสังเกตเพิ่มเติม

Mezu m2 note นับเป็นมือถืออีกรุ่นที่คุ้มค่าเงินที่สุดในตลาดตอนนี้ ด้วยสเปกที่นับว่าเทียบชั้นกับมือถือในช่วงราคาระดับ 9,000-10,000 บาท แต่กลับขายเพียงแค่ 5,990 บาทเท่านั้น (แอบเห็นว่ามีลดลงมาเหลือ 5,490 บาทด้วยช่วงนึง) นี่น่าจะเป็นมือถือสำหรับคนที่มองหาความคุ้มค่าในราคาไม่แพงมาก แต่ได้มือถือที่มีคุณภาพทั้งงานประกอบและใช้งานทั่วไปได้เพียงพอ แถมมีกล้องที่ดีและฟีเจอร์การถ่ายภาพที่น่าสนใจ โดยเฉพาะโหมด Manual นี่เซอร์ไพรส์จริงๆ

อย่างไรก็ตาม Meizu m2 note ยังมีจุดที่ไม่สมบูรณ์บางอย่างอยู่เหมือนกัน เท่าที่สังเกตจากการใช้งานมาร่วม 2 เดือนมีดังนี้

  • หลังจากใช้งานไปสักพักเครื่องจะหน่วงเหมือนกับ RAM ไม่พอใช้ ตรงนี้ต้อง reboot ถึงจะกลับมาเร็วเหมือนเดิม

  • วิดีโอที่ถ่ายมาไม่สามารถอัพโหลดขึ้น Instagram ได้ (แต่ถ้าถ่ายจาก Instagram เองจะอัพได้)

  • การจับสัญญาณ WiFi ยังไม่นิ่ง มีสัญญาณ drop เป็นบางครั้ง

  • การเปิดเข้าใช้งานกล้องยังช้าอยู่ และตอนที่เปิดดูรูปที่ถ่ายเสร็จก็ช้าเหมือนกัน

  • GPS หลุดบ่อย ไม่เหมาะใช้นำทาง

สำหรับผู้ที่สนใจ Meizu m2 note ตอนนี้ทาง Meizu จะขายแบบ Flash sale ผ่านทาง Lazada เท่านั้น ในราคา 5,990 บาท มี 2 สีคือ ขาวและดำ ซึ่งแว่วๆว่าจะมีการขาย Meizu MX5 มือถือตัวแรงตามมาด้วยเร็วๆนี้ โดยหลังจาก Deal ระหว่าง Meizu กับ Lazada จบแล้วก็จะเริ่มวางจำหน่ายตามร้านทั่วไปครับ ผมขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ สวัสดีครับ

meizu-m2-note-review-end.jpg