ถ้าพูดถึงชื่อ Meizu แล้วเชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะยังไม่รู้สึกคุ้นกันสักเท่าไหร่นัก ถึงแม้ค่ายนี้จะผลิตสมาร์ทโฟนออกมาโดนๆ หลายรุ่นแล้วก็ตาม เพราะในตลาดประเทศไทยยังถือว่า Meizu เป็นแบรนด์น้องใหม่และมีรุ่นวางจำหน่ายในบ้านเราแค่ 3-4 รุ่นเท่านั้น แต่การมาของ Meizu M3 Note นั้นถือว่าปังกว่ารุ่นอื่นๆ ก่อนหน้าทั้งหมดเลยก็ว่าได้ นั่นก็เพราะ dtac เป็นคนไปดีลเอารุ่นนี้มาขาย ทำให้คนที่สนใจสามารถหาเครื่องลองได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ และวันนี้เราก็ได้เครื่อง Meizu M3 Note dtac edition มารีวิวให้ได้เห็นความสามารถแบบเต็มๆ ของมันกัน

 

อุปกรณ์ภายในกล่อง

Meizu M3 Note dtac edition นั้นถือเป็นตัวท็อปของรุ่น ทั้งหน่วยความจำ 32GB และ RAM 3GB ภายในกล่องนั้นมีอุปกรณ์มาให้แค่สายชาร์จและหม้อแปลงเท่านั้น ไม่มีหูฟังแถมมาด้วยนะจ๊ะ

และในแพ็คขายก็ยังมีฟิล์มกันรอยแถมมาให้ด้วย ไม่ต้องไปหาซื้อให้ลำบาก

 

สเปคและดีไซน์

 

สเปค Meizu M3 Note dtac edition

  • Android 5.1 Lollipop + Flyme OS 5
  • หน้าจอ IPS 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD
  • CPU Mediatek MT6755M Helio P10
  • GPU Mali-T860 MP2
  • ROM 32GB ­(เหลือให้ใช้งาน 23.6GB) รองรับ microSD สุงสุด 128GB
  • RAM 3GB (เปิดเครื่องเหลือให้ใช้งาน 1.8GB)
  • กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, f/2.2, PDAF, LED แฟลช, บันทึกวิดีโอ Full HD
  • กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f/2.0, บันทึกวิดีโอ Full HD
  • เซนเซอร์ Accelerometer, Gyroscope, Proximity
  • แบตเตอรี่ความจุ 4100 mAH
  • รองรับการใช้งาน 2 ซิม (nano + nano)
  • ราคาเปิดตัว 7,490 บาท

Meizu M3 Note นั้นต้องบอกเลยว่าทั้งดีไซน์ วัสดุ และงานประกอบถือว่าเกินราคาถ้าเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ ที่ราคาใกล้ๆ กัน ส่วนนึงก็เพราะเลือกใช้ดีไซน์จากรุ่นท็อปมาผลิตด้วยละมั้ง เลยจะเห็นว่าสมาร์ทโฟนของ Meizu หน้าตาจะค่อนข้างคล้ายกัน โดยเฉพาะด้านหน้าตัวเครื่องนี่บางทีแยกรุ่นไม่ออกเลย

ฝาหลังนี่เก็บรอยต่อระหว่างชิ้นโลหะกับส่วนที่เป็นพลาสติกได้ดีเลย คือถ้ามองผ่านๆ นี่นึกว่าเป็น unibody ด้วยซ้ำ ตัวเครื่องอาจจะลื่นนิดๆ หนักหน่อยๆ เพราะมันมาพร้อมแบตเตอรี่ 4100 มิลลิแอมป์หน้าจอ IPS 5.5 นิ้วความละเอียด Full HD อันนี้ถือว่าผ่าน ความคมชัดได้ แถมตอนสัมผัสใช้งานก็ลื่น ไม่หนืดนิ้ว ด้านหน้ามีความบาลานซ์กันทั้งด้านบนที่มีกล้อง 5 ล้านพิกเซล และด้านล่างมีปุ่ม mTouch ซึ่งปุ่ม mTouch นี่คือไฮไลท์อย่างนึงของ Meizu เลยครับ เพราะปุ่มเดียวสามารถใช้งานได้ถึง 3 รูปแบบ แตะเพื่อ back กดเพื่อ Home และแน่นอนว่าใช้เป็นตัวสแกนลายนิ้วมือด้วย ในตอนแรกๆ  อาจจะยังไม่ค่อยชิน แต่พอคุ้นแล้วรับรองจะติดใจ

ด้วยการที่มันรวมปุ่ม Home และปุ่ม Back เข้าไว้ด้วยกันแบบนี้ ทำให้ไม่ต้องมีปุ่มเยอะแยะให้วุ่นวาย ส่วนการจะเปิดแอพล่าสุด (recent app) ก็ใข้วิธีไถนิ้วจากขอบจอด้านล่างขึ้นมาบนหน้าจอครับ

ถาดซิมอยู่ที่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง โดยรองรับเป็น นาโนซิม ทั้งสองช่อง ช่องซิม 1 นั้นอยู่ด้านใน ส่วนช่องซิม 2 อยู่ด้านนอกเป็นสลอต Hybrid ต้องเลือกเอาว่าจะใส่เมมหรือใช้ 2 ซิม

ระบบ 2 ซิมนั้นไม่ใช่ Full Netcom 3.0 นะครับ เพราะฉะนั้นจะเป็นการเลือกเกาะ 4G/3G ในซิมใดซิมหนึ่ง ส่วนอีกช่องก็จะเป็น 2G ไปโดยปริยาย

ปุ่ม Power นั้นอยู่ด้านขวาของตัวเครื่องเป็นปุ่มเล็กๆ ถัดขึ้นไปเป็นปุ่มยาวไว้สำหรับปรับระดับเสียง

ด้านตรงกลางเป็นช่อง micro USB โดยมช่องลำโพงและช่องไมโครโฟนขนาบข้างซ้ายขวา

ด้านบนมีช่องหูฟัง 3.5 มม บริเวณมุมซ้ายด้านบน ติดกันที่เป็นรูเล็กๆ คือช่องไมค์ตัดเสียงรบกวน

กล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล f/2.2 มี PDAF (Phase Detection Autofocus) พร้อมไฟ Dual LED ส่วนกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซลสำหรับเซลฟี่ f/2.0

 

UI และการใช้งาน

  

การทำงานของ Flyme บน Meizu M3 Note นั้นรวดเร็วและตอบสนองกับนิ้วดีงามมาก หน้าโฮมซึ่งเป็นหน้าหลักนั้นจะไม่มี app drawer เพราะฉะนั้นแอพต่างๆ ที่ติดตั้งลงไปก็จะโชว์บนหน้าจอทั้งหมด ถ้าอยากจะจัดระเบียบไม่ให้รกก็ต้องลากไปรวมกันใน Folder เอาเอง

หากเราลากนิ้วลงจากด้านบนของหน้าจอ ก็จะพบกับแถบการแจ้งเตือนที่มีรายการต่างๆ อยู่ แถวบนจะเป็นแผงควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ที่มีสวิชเปิดปิด เช่น WiFi, Bluetooth ซึ่งเราสามารถเลือกจัดตำแหน่งได้

   

ที่มีเพิ่มเข้ามาจาก Android ทั่วไปคือการลากนิ้วจากด้านล่างของหน้าจอขึ้นไป จะเป็นการเรียก recent  apps ส่วนหน้า Lock screen ก็จะมีการแจ้งเตือน notification ต่างๆ แล้วแต่ที่เราจะตั้งค่าเอาไว้

 

Gesture และฟีเจอร์เสริม

Gesture Wakeup เราสามารถใช้ท่าทางต่างๆ ในการเปิดหน้าจอหรือเปิดการทำงานของแอพได้แม้หน้าจอจะดับอยู่ เช่นการเคาะ 2 ครั้ง หรือลากนิ้วไปยังทิศทางต่างๆ แต่ถ้าหากเราใช้สแกนลายนิ้วมือแล้วละก็ฟีเจอร์นี้ก็เหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่

Smart Touch มันคือปุ่มลอยแบบเดียวกับ iOS แต่ทาง Meizu มีการเพิ่มความสามารถให้มันสามารถทำอะไรได้มากขึ้น เพราะมันไม่ได้เป็นแค่ปุ่มแต่ยังสามารถใช้งานเป็นจอยสติ๊กได้ด้วย

ที่เจ๋งหน่อยก็จะเป็นการผลักไปซ้ายหรือขวาจะเป็นการสลับแอพไปมา multi tasking ได้สะดวกดี

Schedule On/Off สามารถเลือกตั้งเวลาเปิดปิดเครื่องได้ เป็นฟีเจอร์ที่ไม่ได้พิเศษอะไร แต่คิดว่าหลายๆ คนน่าจะชอบ

Guest Mode อันนี้เหมาะเวลาให้คนอื่นยื่มเครื่องไปลองแล้วไม่อยากให้เค้ามายุ่งกับไฟล์หรือข้อมุลของเราครับ

อีกหนึ่งฟีเจอร์ไฮไลท์คือ Multi Windows ที่เราสามารถเปิดแอพคู่กันเป็นหน้าต่างบนล่างได้นั่นเอง

  

แต่อันนี้ต้องบอกก่อนว่าแบ่งหน้าจอได้บางแอพเท่านั้นนะครับ

 

เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือ

สแกนลายนิ้วมือบนปุ่ม mTouch นั้นทำงานได้รวดเร็ว แตะปุ๊บปลดล็อคได้ปั้บ โดยเราสามารถกดลงไปเพื่อเปิดหน้าจอและสแกนนิ้วได้ในครั้งเดียว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ล็อคแอพกันไม่ให้คนอื่นใช้งานได้ด้วย

 

ประสิทธิภาพและการเล่นเกม

 

Meizu M3 Note ทำคะแนนใน Antutu 44500 คะแนน / Geekbench ไปได้ 812 (single core) 2917 (multi core)

ส่วนความเร็วของหน่วยความจำภายในวัดจาก Androbench ก็ได้ตามนี้ครับ

การเล่นเกมนั้นไม่ติดปัญหาอะไร จะเกมสามมิติ หรือเกมทั่วไปก็ไม่มีปัญหา ระบบทัชระหว่างเล่นตอบสนองได้ทันความเร็วของเกม เกมที่ต้องใช้ multi touch ก็ไม่เจอปัญหาอะไร เซนเซอร์ Gyroscope ก็มีมาให้สำหรับเกมหรือแอพที่ต้องใช้งานด้วย

 

กล้องถ่ายภาพ

กล้องของ Meizu M3 Note dtac edition นั้นมีโหมดให้ใช้งานได้หลากหลาย และไม่เยอะจนเกินไป เรียกว่ามีโหมดหลักๆ ที่ใช้งานครบ ทั้ง Auto, Manual, Panorama, Beauty, Light Field หลายคนอาจจะสงสัยว่าโหมด Light Field คืออะไร มันคือโหมด After focus ที่เราสามารถเลือกจุดโฟกัสทีหลังได้นั่นเองครับ

ความเร็วในการถ่ายภาพและโฟกัสนั้นถือว่าทำได้ดีในที่มีแสงเพียงพอ คือถ้าสว่างก็จะจับโฟกัสได้เร็วและถ่ายภาพได้เร็วด้วย แต่ในที่แสงน้อยระยะเวลาในการโฟกัสก็จะเพิ่มขึ้นมาหน่อย รวมถึงระยะเวลาในการถ่ายและเซฟภาพด้วย

เรื่องของสีสันและความสดของภาพนั้นถือว่าเก็บออกมาได้ดี ใกล้เคียงสีจริงตามธรรมชาติ แต่ในที่มืดหรือแสงน้อยนั้นกลายเป็นว่าภาพที่ได้สีออกมาจืดไปหน่อย

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้อง Meizu M3 Note dtac edition

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า Meizu M3 Note dtac edition

 

แบตเตอรี่และอายุการใช้งาน

ผมเองได้ทดสอบอัตราการกินพลังานของเครื่องไปพร้อมกับ GPS ไปพร้อมๆ กัน โดยจากที่ทดสอบให้ลองนำทางด้วย Google Maps เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงแบบเปิดหน้าจอค้างไว้ตลอดนั้นใช้กินแบตไปราวๆ 15% ถือว่าสอบผ่านทั้งในเรื่องของแบต และ GPS ที่จับถนนได้นิ่งตลอด 1 ชั่วโมง ไม่เด้ง ไม่หลงทิศครับ ส่วนแบต 4100 mAh นั้นการใช้งานวันต่อวันแบบปกติทั่วไปนั้นถือว่าเกินพออยู่แล้ว (ยกเว้นจะเอาไปล่า Pokemon Go กัน)

 

สรุปการใช้งาน

Meizu M3 Note dtac edition นั้นถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนอีกรุ่นนึงที่สามารถเอาไปชนเทียบกับรุ่นอื่นๆ ในราคาพอๆ กันได้เลยทีเดียว และเชื่อว่าหลายๆ คนที่ได้ลองจับน่าจะรู้สึกชอบในการออกแบบและดีไซน์ของมัน แถมการใช้งานทั่วไปยังลื่นไหลไม่ติดขัด แม้ตัวเครืองจะแอบหนักไปนิดนึง แต่นั่นก็เพราะแบตเตอรี่ 4100 mAh นั้นรองรับการใช้งาน 1 วันสบายๆ ถือเป็นอีกรุ่นที่ครบ และเหมาะจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้นๆ ของใครที่คิดจะซื้อมือถือในช่วงราคา 7,000 บาท 

 

โปรโมชั่นลดราคาลงเหลือ 5,490 บาท

และสำหรับคนที่สนใจเจ้า Meizu M3 Note dtac edition นี้ ทาง dtac เค้าก็มีโปรโมชั่นอยู่นะ จากราคาค่าเครื่องปกติ 7,490 บาท ลดลงไป 2,000 บาท เหลือแค่ 5,490 บาททันที ซึ่งเงื่อนไขก็ไม่ได้มีอะไรมากมายเลย

  • ไม่ต้องย้ายค่าย / ไม่ต้องเปิดเบอร์ใหม่

  • ลูกค้าเก่าก็ใช้ได้

  • สมัครแพ็กเกจรายเดือน 599 บาทขึ้นไป

  • ติดสัญญาไม่ย้ายไปไหน เปลี่ยนโปรไม่ได้ไป 6 เดือน

โปรนี้จะคุ้มมากสำหรับคนที่ใช้รายเดือน 599 บาทขึ้นไปอยู่แล้ว และกำลังหาเครื่องเปลี่ยนใหม่ เพราะจ่ายเท่าเดิม แต่ได้ส่วนลดทันที 2,000 บาทนั่นเองครับ

นอกจากนี้คนที่ซื้อกับดีแทค จะมีแถมเคส, ฟิล์ม และหูฟัง EP21 ของแท้ ซึ่งถ้าเพื่อนๆไปซื้อเครื่องหิ้วจะไม่มีแถมอะไรเลย แล้วของแถมพวกนี้หาซื้อของแท้ยากมากต้องสั่ง online เอง อีกอย่างคือ Meizu M3 Note dtac edition มีขายที่เดียวที่ dtac เท่านั้น ที่อื่นไม่มีขายนะครับ รายละเอียดเพิ่มเติมก็ไปดูได้ที่ dtac ได้เลยครับ