เพิ่งจะวางขายกันไปสดๆ ร้อนๆ ในบ้านเรา กับสมาร์ทโฟนซีรี่ยส์ R7 ของทาง OPPO ซึ่งรอบนี้มีการวางขาย 2 รุ่นด้วยกัน R7 Lite และ R7 Plus ตอนนี้เราได้มีโอกาสสัมผัสกับรุ่นใหญ่ก่อนเลย นั่นก็คือเจ้า R7 Plus ซึ่งเปิดราคามาที่ 16,990 บาท ด้วยหน้าจอใหญ่เบิ้มขนาด 6 นิ้ว พร้อมกับเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือด้านหลัง เอาเป็นว่าเรามาดูในพรีวิวกันเลยดีกว่าว่า R7 Plus มีอะไรน่าสนใจบ้างครับ

เริ่มจากไล่สเปคของ OPPO R7 Plus กันก่อนเลยละกัน

  • OS: Android 5.1.1 Lollipop with Color OS 2.1
  • หน้าจอ: AMOLED 6.0 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1920 x 1080 พิกเซล (367ppi)
  • CPU: Qualcomm Snapdragon 615 Octa-core 1.5GHz
  • GPU: Adreno 405
  • RAM: 3GB
  • หน่วยความจำภายใน: 32GB รองรับ microSD สูงสุด 128GB (แชร์ช่องกับ SIM 2)
  • กล้องหลัง: 13 ล้านพิกเซล f/2.2 Sony IMX278, Dual-LED Flash, Laser Autofocus
  • กล้องหน้า: 8 ล้านพิกเซล f/2.4 OmniVision OV8858
  • การเชื่อมต่อ:
    • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Wi-Fi Direct, Hotspot
    • Bluetooth 4.0
    • รองรับ 2 SIM (Nano-SIM dual stand-by)
    • รองรับ 2G/3G/4G ทุกเครือข่าย
    • รองรับ USB Host
    • รองรับ VOOC Charging
  • Fingerprint Sensor
  • แบตเตอรี่: 4,100 mAh
  • สัดส่วน: 158 x 82 x 7.8 มิลลิเมตร
  • น้ำหนัก: 192 กรัม
  • สี: ทอง

ตัวเครื่องสีทองของ R7 Plus ที่ใช้วัสดุเป็นโลหะ ทำออกมาได้พรีเมี่ยมและดูดี หรูหรา แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่ อาจจะทำให้ใช้งานมือเดียวลำบากหน่อย ยังดีที่ขอบจอเล็ก แต่ของจริงกลับไม่ได้ดูแคบแบบจอชิดขอบเหมือนในคลิปที่หลุดออกมา และตัวเครื่องก็ค่อนข้างจะลื่นไปซักนิด ผมเกือบทำร่วงหลายรอบละ -w- แต่เอาจริงๆ ตอนแรกที่เห็นนี่ผมนึกว่ามันเป็นทายาทของ Mate ซะอีก เพราะดัานหลังคล้ายกันมาก ถ้าไม่มีโลโก้ OPPO อยู่ข้างหลังนี่ผมคงเข้าใจผิดไปแล้วครับ

หน้าจอ AMOLED ขนาด 6 นิ้ว ให้สีสันที่สวยงาม ส่วนด้านล่างจะมีแค่โลโก้ OPPO เป็นสีเงินสะท้อนแสงเลื่อมเล็กๆ ส่วนปุ่ม menu, home และ back นั้นเป็นแบบ on-screen ครับ โดยหน้าจอนั้นถูกคลุมด้วยกระจกที่มีขอบโค้งนูนเป็นแบบ 2.5D ครับ เวลาลากนิ้วจากขอบข้างจะให้ความรู้สึกที่ลื่น ไม่มีสะดุด หรือติดขัด แต่บริเวณรอบๆ จอยังมีขอบดำให้เห็นอยู่นะครับ 

กล้องหน้าของซีรี่ส์ R7 นั้นถือว่าเป็นตัวชูโรง เพราะทุกรุ่นนั้นมาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เลยครับ มีรูรับแสง f/2.4 ถัดมาก็เป็นลำโพงสนทนา และเซนเซอร์รับแสง พร้อมกับไฟแจ้งเตือนที่แอบอยู่ 

ด้านบนมีช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร และไมโครโฟนตัวที่สอง ที่เอาไว้ใช้ตัดเสียงรอบข้าง

ส่วนด้านล่างมีรูไมโครโฟนสนทนา และช่องเสียบ microUSB 2.0 ที่รองรับ VOOC Flash Charge หรือการชาร์จไฟแบบเร็วในแบบของ OPPO ครับ

มาต่อที่ด้านข้างของ R7 Plus บ้าง ด้านซ้ายของเครื่องจะมีแค่ปุ่มเพิ่มลดเสียงเท่านั้น ส่วนด้านขวาจะมีปุ่มพาวเวอร์ เหนือปุ่มพาวเวอร์ขึ้นมาก็จะเป็นถาดใส่ซิม

ถ้าจิ้มถาดใส่ซิมออกมาก็จะเห็นว่า R7 Plus นั้นรองรับการใช้งาน 2 ซิม โดยที่จะเป็น Nano-SIM ทั้ง 2 ซิมเลย แต่ช่องใส่ซิมที่สองจะแชร์กับช่องใส่ microSD การ์ด ก็ต้องเลือกระหว่างจะโทรหากิ๊ก หรือจะเก็บรูปกิ๊ก #ผิดๆ 

วนรอบเครื่องแล้ว ก็ถึงตาของด้านหลังบ้างละครับ ด้านหลังของ R7 Plus นั้นมีกล้องหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล และรูรับแสง f/2.2 มาพร้อมแฟลชแบบ dual-led และ laser focus ที่ช่วยในการโฟกัสภาพให้เร็วขึ้น

ถัดลงมาจะเจอกับตัวสแกนลายนิ้วมือ โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันอยู่สูงไปนิดนึง แต่อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ส่วนการใช้งานจริงนั้นทำได้ดีมากครับ อันนี้ขอชม แตะปุ๊บ ปลดล็อคปั๊บ รวดเร็วดี ปกติผมก็เซ็ตไว้ 2 นิ้ว เผื่อเวลาถือเครื่องด้วยมือขวากับมือซ้าย ใช้นิ้วชี้นี่ถนัดสุดละ (เพิ่มได้สูงสุด 5 ลายนิ้วมือ) เขยิบลงมานิดก็เป็นโลโก้ OPPO ครับ

ลำโพงของ R7 Plus นั้นจะอยู่โซนล่างของด้านหลังเครื่อง คุณภาพเสียงที่ออกมาจะเป็นกลางๆ ใสๆ ไม่ค่อยมีเบสเท่าไหร่ แต่เรื่องความดังนี่ถือว่าเอาการ ไม่แพ้ใครแน่ๆ

OPPO R7 Plus มาพร้อมกับ Android 5.1.1 Lollipop ที่ถูกแปลงโฉมโดย Color OS 2.1 หน่วยประมวลผล Snapdragon 615 ส่วน RAM 3GB และ ROM 32GB ก็สามารถใช้งานได้เหลือเฟือ แบตเตอรี่ก็ให้มาแบบจัดเต็มมาก 4,100mAh 

เรื่องแบตนี่ต้องขอชมว่าอึดจริงครับ เท่าที่ลองใช้งานมา 3-4 วัน ถ้างานทั่วไปนี่เอาไปเลย 2 วันสบายๆ แต่ถ้าวันไหนเล่นเกมหนักหน่อยก็อาจจะเหลือวันเดียวหรือวันครึ่ง โดยที่ไม่ต้องเปิดโหมด Power Saving หรือโหมดประหยัดพลังงานตัวระบบก็คำนวนออกมาได้ถึง 4 วัน ส่วนเรืองการชาร์จแบตนั้นได้ VOOC Flash Charge มาช่วย 

ผลการทดสอบ Antutu ของ OPPO R7 Plus ได้คะแนนออกมาในช่วง 38,000 – 40,000 คะแนนโดยประมาณ ตัว OS นั้นเป็น Android 64-bit แล้วเรียบร้อย

ส่วนของ UI หน้าหลักก็มีการเปลี่ยนแปลงไปนิดหน่อยใน Color OS 2.1 แต่ก็ยังใช้งานได้ง่ายและคุ้นอยู่ จะมีในส่วนของการตั้งค่า, กล้อง และฟีเจอร์ต่างๆ ที่มีการปรับเปลี่ยนไปนิดหน่อยครับ

แอปใหม่ที่เสริมเข้ามาคือ Security Center ที่จะมาช่วยจัดการในเรื่องของ RAM และหน่วยความจำ เรียกว่านี่ติดมากับเครื่องเลย ไม่ต้องไปหาโหลดเพิ่ม สามารถที่จะเคลียร์ RAM ตั้งค่าการเข้าถึงของแอปต่างๆ รวมถึงควบคุมการใช้งาน Internet ได้ แอปไหนใช้มากแอปไหนแอบดูดข้อมูลจนเน็ตหมดก็ดูได้ที่นี่

Eye Protection เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่เสริมเข้ามาเพื่อลดปัญหาแสงสีฟ้า หรือ Bluelight ที่ปกติจะต้องไปหาฟิล์มมาติด ตอนนี้ OPPO จัดมาให้ใน software เลยครับ สามารถลดความเข้มของแสงสีฟ้าลงได้ตามต้องการ ซึ่งถ้าเราไม่ได้เปิดโหมดนี้หน้าจอก็จะขาวโอโม่แบบปกติเหมือนภาพทางซ้าย แต่ถ้าเลือกเปิด Eye Protection ความเข้มของสีฟ้าก็จะลดหลั่นลงมาตามลำดับ ผมเองลองใช้ระดับ Medium แล้วรู้สึกว่าสีจอนวลตากำลังดี Low มันออกแดงๆ ไปนิด

ส่วนของ Gesture & Motion หรือการป้อนคำสั่งด้วยท่าทางที่เป็นจุดขายของ OPPO ก็ยังอยู่ โดยมีให้เราเลือกเปิด/ปิด ได้ตามต้องการ มีการแยกออกมาเป็นเวลาที่หน้าจอดับอยู่ และเวลาที่หน้าจอเปิด

Screen-off Gesture ในขณะที่หน้าจอปิดเราสามารถ

  • Double tap to wake เคาะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อทำการเปิดหน้าจอขึ้นมาได้ (Double tap to wake)
  • Draw O to start camera วาดวงกลมเพื่อเปิดกล้อง
  • Music Control  ควบคุมเครื่องเล่นเพลงโดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ แค่วาดสัญลักษณ์

Screen-on Gesture ก็มีหลายฟังก์ชั่นหน่อย

  • Activate Camera with multi-finger สามารถเปิดกล้องได้ทันทีแค่ใช้ 3 นิ้วขยุ้มจอ
  • Double tap to lock screen แตะปุ่ม Home 2 ครั้งเพื่อปิดหน้าจอ
  • Gesture screenshot ลาก 3 นิ้วเพื่อจับภาพหน้าจอ (สะดวกมาก แนะนำให้เปิด)
  • Adjust volumne with 2 finger เลื่อน 2 นิ้วขึ้นลงเพื่อปรับระดับเสียง
  • Single-handed Operation ย่อหน้าจอให้เล็กลงเพื่อใช้งานมือเดียวได้สะดวก

โหมดกล้องใน Color OS 2.1 นี่น่าจะเป็นอะไรที่เห็นความเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแตะหน้าจอเพื่อโฟกัสแล้วสามารถปรับความสว่างของภาพได้ด้วยการลากนิ้วขึ้นลง หรือการสลับระหว่างโหมดถ่ายภาพและโหมดถ่ายวิดีโอ (เอาจริงๆ มันดู iOS ไปหน่อยนะ แต่ก็ถือว่าใช้ง่าย)

โหมดกล้องของ R7 Plus ถือว่ามีเยอะใช้ได้เลยครับ แต่ที่น่าสนใจก็โหมด Ultra HD ที่ทำให้มีความละเอียดมากขึ้น โหมด Slow shutter ถ่ายไฟเป็นเส้น, Double Exposure ถ่ายภาพซ้อน, Expert Mode และยังมีโหมด RAW ให้ถ่ายเอาไฟล์ดิบมาแต่งทีหลังได้ รวมถึงโหมด Beauty จุดขายของ OPPO มาแต่ไหนแต่ไร

ในกรณีที่เปิดมาแล้วหาโหมดที่ผมบอกมาไม่เจออันนี้ไม่แปลกครับ เพราะมันมีให้ติดตั้งเพิ่มแล้วแต่เราชอบ เพราะถ้ามีโหมดเยอะเกินไปอันไหนไม่ได้ใช้ก็จะรกเปล่าๆ ทาง OPPO เลยแยกเอาโหมดที่ใช้กันบ่อยๆ ให้ติดตั้งมาแต่แรก ส่วนที่เหลือก็ให้โหลดเพิ่มเอาเอง

ตัวอย่างของ Expert Mode ที่โหลดมาติดตั้งเพิ่ม สำหรับใครที่ชอบถ่ายภาพแบบ Manual ปรับตั้งค่าเอง OPPO R7 Plus ก็สามารถปรับพวก White Balance หรือค่า EV ที่มีให้เลือกทั้ง

  • Shutter Speed : 1/2 sec ถึง 32 sec
  • ISO : 100 ถึง 1,600
  • Exposure : -2 ถึง +2 โดยขยับทีละ 1/3

มาดูรูปที่ถ่ายจากกล้องของ R7 Plus กันเลยดีกว่าครับว่าออกมาเป็นยังไง โดยรูปที่นำมาโชว์นี้ไม่ได้ผ่านการปรับแต่งใดๆ นะครับ มีแค่ย่อขนาดลงมาเฉยๆ

 

ภาพถ่ายกลางแจ้งช่วงประมาณ 4-5 โมงเย็น 

ภาพถ่ายกลางแจ้งช่วงประมาณ 4-5 โมงเย็นมุมเดียวกับภาพบน แต่เปิด HDR

ลองเดินเข้าไปถ่ายในห้างดูบ้าง สภาพแสงไฟในห้างเลยครับ โหมด Auto

ทดสอบชัดตื้นชัดลึกของเลนส์และเซนเซอร์ เริ่มจากชัดตื้นก่อน

ตามมาด้วยชัดลึก

ลองถ่าย Macro ตุ้มหู

เปิดโหมด Slow Shutter อันนี้ 2 วินาทีแบบไม่มีขาตั้งเพราะลืมพกไปด้วย > <

โหมด Double Exposure ถ่าย 2 ครั้งแล้วมันจะซ้อนภาพให้เอง

ถ่ายแบบนี้ก็ได้นะ ขึ้นอยู่กับควมคิดสร้างสรรค์เลย

ส่วนกล้องหน้าสามารถปรับระดับโหมด Beautify ได้ โดยจะไล่ตั้งแต่ Off > Weak > Medium > Strong ครับ และมีคอมเม้นท์เล็กๆ จาก พี่เก่ง @Kengkawiz ว่า “เปิด Strong เนี่ยมันเกลี่ยดั้งฉันหายไปหมดเลยอ่ะ!!” แต่ดูเหมือนแกจะพอใจที่ระดับ Weak ถึง Medium นะ

 

*หลังจาก Update software ตอนนี้ในโหมด Beautify มีให้เลือกปรับเป็นเปอร์เซ็นต์จาก 0-100% แทน

 

สรุปผลการใช้งาน OPPO R7 Plus

จากการใช้งานมา 3-4 วันโดยใช้เป็นเครื่องหลักเอาไว้รับสายเล่น social กันเลย แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เล่นเกมเพราะงานเยอะและยุ่งๆ หน่อยก็ได้ข้อสรุปออกมาดังนี้

ข้อดี

  • แบตอึดกว่าที่คิดไว้ ใช้ทะลุวันได้ แต่ถ้าจะเอา 2 วันเนี่ย วันที่ 2 ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ อาจจะต้องลุ้น
  • วัสดุเยี่ยม งานประกอบดี ปุ่มต่างๆ ที่เคยคลอนแคลนมากๆ ตอนนี้แทบไม่เขยื้อน
  • ลำโพงเสียงดังมาก ไม่เคยพลาดรับสาย
  • เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือตอบสนองดี สแกนติดง่ายกว่า OPPO N3 อีก
  • กล้องทำงานเร็ว โฟกัสไว เปิดปุ้บแชะปั้บ

ข้อเสีย

  • ตัวเครื่องลื่นไปหน่อย
  • เจอปัญหาเน็ตหลุดในบางครั้ง ต้องเปิด/ปิด flight mode ถึงจะกลับมา
  • ขอบจอทำไมไม่บางเหมือนในคลิปและภาพหลุด (แอบงอน)
  • ราคาเมื่อเทียบกับสเปคแอบแพงไปนิดนึง

สรุปทิ้งท้าย OPPO R7 Plus ถือเป็นรุ่น Mid-range ที่น่าสนใจรุ่นนึง โดยมีจุดเด่นที่คาดไม่ถึงในเรื่องความอีดของแบตเตอรี่ครับ กล้องหน้าหลังตอบโจทย์ทั้งการถ่ายภาพแบบเร็วๆ รีบๆ เปิดปุ้บถ่ายปั้บ หรือจะชอบช้าๆ ปรับตั้งค่าเองก็ทำได้ งานประกอบดีกว่าทุกรุ่นของ OPPO ที่เคยสัมผัสมา

สำหรับใครที่สนใจตอนนี้เจ้า R7 Plus ก็มีวางจำหน่ายเรียบร้อย โดยเคาะราคามาที่ 16,990 บาท และมีเพียงแค่สีทองเท่านั้นครับ ยังไงลองไปเล่นๆ กันดูได้ น่าจะมีเครื่องเดโมวางขายกันตามช็อปเยอะแล้ว