สำหรับงาน Google I/O ในครั้งนี้นอกจากการเผยโฉมของ Android M ตามที่เป็นข่าวลือมาก่อนหน้านี้ อีกสิ่งหนึ่งที่กำลังเป็นกระแสที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางคือเรื่องของ IoT หรือ Internet of Things และนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ได้เวลาการมาถึงของ Mobile Revolution

การเติบโตของ Android

Sundar Pichai ได้ขึ้นมาเปิดงานพร้อมกับพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกผ่านอุปกรณ์พกพา Mobile Technology ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเราอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสือสารกันผ่านแอป social ความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ กันทั้งเพลง ภาพหรือวิดีโอ รวมถึงการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในการทำงาน ล่าสุดตัวเลขการเข้าใช้งาน Google จาก Mobile Device นั้นแซงหน้า desktop ไปเรียบร้อยแล้ว

นับถึงตอนนี้อุปกรณ์ Mobile devices ทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต รวมๆ กันแล้วมีมากกว่าจำนวนประชากรโลกแล้วด้วยซ้ำ ตัวเลขผู้ใช้งาน Android ตอนนี้มากกว่า 1 พันล้านคน เรียกว่าเติบโตขึ้นเร็วมากในเวลาแค่ 7 ปี (Android เครื่องแรกเปิดตัวในปี 2008) และตอนนี้มี Android กว่า 4,000 รุ่นในตลาด จากผู้ผลิตกว่า 400 ราย และผู้ให้บริการเครือข่ายอีกกว่า 500 ราย

Mobile devices เองก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะเช่นกัน จากที่เคยมีแค่สมาร์ทโฟน ตอนนี้คุณสามารถใช้งาน Android ได้ในหลากหน้าจอหลายขนาด ในโลกของ Multi-screen เรามีทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และสมาร์ทวอช (Android Wear) รวมไปถึงในรถ (Android Auto) และห้องนั่งเล่น (Android TV) Android Platform ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และการที่มันถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์ที่หลากหลายขึ้นนั้นย่อมหมายถึงผู้คนสามารถเข้าถึงสิ่งต่างๆ เช่นการศึกษา หรือความบันเทิงได้ง่ายขึ้น และนักพัฒนาก็สามารถพัฒนาแอปที่มีอุปกรณ์รองรับมากมายหลายรูปแบบ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะไม่พูดถึงแค่ Android M หรือเวอร์ชั่นใหม่ แต่จะพูดถึงความสามารถของ Android Platform ที่มันจะมาพร้อมกับ Mobile Revolution

Android M ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ต้องมาพร้อมการใช้งานที่ง่ายขึ้น

แน่นอนว่า Android M ต้องมาพร้อมกับประสิทธิภาพและความสามารถที่ทรงพลังกว่าเดิม (แน่สิ ไม่งั้นจะออกมาทำไม) มีการเพิ่มความสามารถหรือฟีเจอร์ต่างๆ กว่า 100 ฟีเจอร์ ทั้งเรื่องของการใช้พลังงานที่น้อยลง มือถือคุณจะอึดกว่าเดิม รวมไปถึงการขอสิทธ์ในการเข้าถึงของแอปต่างๆ (App permission) ที่คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าจะยอมให้แอปนั้นเข้าไปใช้งานได้หรือไม่

ใน Android M ยังมี Android Pay ที่จะมาแทนที่ Google Wallet ในการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าหรือแอปบน Playstore และการรองรับ Fingerprint scanner ในระดับ OS ที่สามารถนำไปใช้งานกับ Android Pay และความปลอดภัยต่างๆ

สำหรับรายละเอียดทั้งหมดของ Android M สามารถไปอ่านต่อได้ที่ เผยโฉม Android M Developer Preview ขนมชิ้นใหม่ของ Android น่ากินยังไงบ้าง 

 

Google Now เก็บข้อมูลทุกเม็ด พร้อมเผือกทุกเรื่องทันทีทันใด

ข้อมูล ข้อมูล ข้อมูล แน่นอนว่าในสมาร์ทโฟนของเรานั้นมีแต่ข้อมูลเต็มไปหมด แต่แน่นอนว่าเราพยายามทำให้ Google Now สามารถดึงเอาแต่ข้อมูลสำคัญของคุณมาแสดงผล ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบิน การนัดหมายประชุมและการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เชื่อมต่อกับ Google Maps และการจราจร ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่

เพื่อประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ต่อจากนี้ Google Now จะสามารถให้ข้อมูลกับคุณได้ละเอียดมากขึ้น อย่างเช่นถ้าคุณต้องการไปทานร้านอาหารร้านนึง จากเดิมที่เคยบอกข้อมูลการเดินทาง ต่อจากนี้มันยังจะบอกเวลาเปิดปิด รวมถึงเมนูยอดนิยมของร้านนั้นๆ ให้ด้วย

ฟีเจอร์ใหม่ที่จะมาใน Android M คือ Now On Tap ที่แค่กดปุ่ม Home สองครั้ง Google Now ก็จะทำการอ่านข้อมูลบนหน้าจอของคุณ แล้วบอกข้อมูลของ keyword ในหน้านั้นๆ และแนะนำคุณได้ทันที เรียกว่าสะดวกสุดๆ (แต่ก็น่ากลัวมากๆ เพราะเท่ากับมันอ่านทุกอย่างที่อยู่บนหน้าจอของเรา)

 

Play video

 

Google Photos เก็บรูปเก็บคลิปฟรี ไม่มีลิมิต

Google กระทำการช็อคเวปฝากรูป ด้วยการเปิดบริการ Google Photos ที่งอกออกมาเป็นแอปใหม่ ช่วยให้คุณจัดการกับภาพถ่ายได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังให้อัพรูปไปเก็บได้แบบไม่มีลิมิต โดยความละเอียดสูงสุดคือ 16MP และวิดีโอ Full HD 1080p รายละเอียดของ Google Photos ไปอ่านได้ที่ Google Photos เปิดให้เก็บภาพความละเอียดสูงได้แบบ Unlimited

 

 

Project Brillo และการมาของ IoT (Internet of Things) 

สิ่งของและอุปกรณ์หลายอย่างรอบๆ ตัวเรานั้นต่างมีประโยชน์ในตัวของมันเอง แต่น่าเสียดายไหมที่มันทำงานของมันอยู่อย่างเดียว การมาของ IoT จะช่วยให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่เคยทำงานแบบโดดเดียวได้มีการคุยกันและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญ เช่นหากเราเปิดดูตำราอาหารและจะอบไก่ เตาอบก็สามารถตั้งอุณหภูมิได้เองตามสูตรที่เราเปิดในสมาร์โฟน หรือการเดินทางเช่นรถเมล์รถไฟ ที่แจ้งข้อมูลรถเข้าออกตลอดเวลา และคันต่อไปจะมาเมื่อไหร่ (ลบภาพป้ายรถเมล์อัจฉริยะของประเทศแถวๆ นี้ทิ้งไปก่อนนะครับ)

นั่นคือการมาของ Project Brillo ที่เป็นอนุภาคย่อยของ Android ที่พร้อมจะไปฝังตัวใน microprocessor เดิมๆ บนเครื่องใช้ต่างๆ รายละเอียดเพิ่มเติมเชิญไปอ่านที่ Project Brillo ระบบปฎิบัติการจิ๋วสำหรับ Internet of Things 

 

โลกของ VR กับการพัฒนาของ Cardboard

Google Cardboard ถือเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่ว้าวมากทั้งในเรื่องของราคาและความสามารถของมัน ซึ่งเทรนด์ของโลกก็ยังเดินหน้าต่อไปในเรื่องของ VR (Virtual Reallity) ซึ่งนอกจาก Oculus แล้วทั้ง Samsung, HTC, Sony ต่างก็พยายามทำ VR Gear ของตนเองออกมาในราคาที่สูงเมื่อเทียบกับ Cardboard ที่เป็นแค่กระดาษลัง 

Google Cardboard เวอร์ชั่นใหม่มาพร้อมการรองรับมือถือที่ใหญ่ขึ้นเป็น 6 นิ้ว และในตอนนี้ก็มีแอปของ Cardboard อยู่มาดกว่า 500 แอปบน Play store และการมาของ Google Expedition ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นอุปกรณ์การศึกษาเพื่อให้เด็กๆ ได้ลองไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ จากทุกมุมโลกผ่าน Cardboard นั้นถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ (ผมมองว่าดีงามกว่าแท็บเล็ตนักเรียนหลายเท่าเลย)

นอกจากนั้น Google ยังจับมือกับ GoPro ผุดโปรเจค Jump ที่ให้คุณสามารถถ่ายคลิปสถานที่ใดๆ ก็ได้ผ่านกล้อง GoPro 16 ตัวเพื่อสร้างโลก 3D ขึ้นมาเพื่อจำลองให้คนอื่นสามารถไปอยู่ในสถานที่เดียวกับคุณได้

 

จากพันล้านคนแรก สู่อีกพันล้านคน 

จากกลุ่มผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ในยุคแรก กลุ่มถัดมานั้นมีการเลือกใช้อุปกรณ์ที่แตกต่างออกไปเป็นสมาร์ทโฟนและแท้บเล็ต การมาของ Chromebooks และ Android One ช่วยให้คนเหล่านี้สามรถเข้าถึงข้อมุลและข่าวสารได้ในราคาที่ต่ำลง แต่นั่นยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เพราะในบางกลุ่มประเทศที่ค่าอินเตอร์เน็ตบนมือถือยังคงสูง หรือเครือข่ายมีความเร็วต่ำเช่นการใช้งานบน 2G หรือ 3G รุ่นบุกเบิกที่รับส่งข้อมูลได้ช้าและน้อยมากทำให้ประสบการณ์ใช้งานอินเตอร์เน็ตนั้นแย่สุดๆ เปิดรอมานานแล้วยังไม่ไปไหน Google เลยได้เปิดบริการ Streamline search ที่ทำงานได้เร็วขึ้น ใช้ข้อมูลน้อยลงใน 17 ประเทศและยังมี Data Saver Mode บน Chrome ที่ช่วยประหยัดข้อมูลเน็ตได้ถึง 80% และเปิดเวบได้เร็วขึ้น 4 เท่า

 

นั่นคือสรุปคร่าวๆ ของงาน Google I/O 2015 และสิ่งที่ Google กำลังจะทำครับ ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้ลองดูในคลิปถ่ายทอดสดจะเห็นอะไรใหม่ๆ เยอะมากทั้งน่าสนใจ ทั้งว้าว และทั้งน่ากลัวว่ามันจะมารู้อะไรกับเราไปทุกเรืองขนาดนี้ คงต้องตามดูกันต่อไปว่าช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า เวลาที่ IoT มีให้ใช้งานจริงๆ แบบเต็มรูปแบบแล้วมันจะสะดวกแค่ไหน จะเหมือนที่เราเคยเห็นในหนังเลยหรือเปล่า.. แล้ววันไหนสักวัน เราคงได้ไปทำลาย Skynet กันก่อนที่มันจะครองโลก