ผู้อ่านหลายๆคนคงได้รู้ข่าวจากงาน Google I/O 2015 กันหมดแล้วว่ามีอะไรเปิดตัวบ้าง ซึ่งอาจจะดูไม่ฮือฮาซักเท่าไรนัก เนื่องจากในปีนี้ทาง Google ได้เน้นไปที่ซอฟท์แวร์เป็นหลัก (แต่ฮือฮาสำหรับนักพัฒนานะ) รวมไปถึง Android M ที่ไม่ได้มีลูกเล่นที่หวือหวามากนักและยังคงเป็น Developer Preview อยู่

    ถึงแม้จะไม่ฮือฮา แต่ผมก็จะขอทำหน้าที่พาทัวร์ย้อนหลังให้ผู้อ่านได้เห็นกันว่าภายในงานปีนี้มีอะไรบ้างในสองวันของงาน Google I/O ซึ่งบอกได้เลยว่ามีหลายๆอย่างภายในงานที่น่าสนใจมากๆอยู่นะเออ

    สำหรับปีนี้งานก็จัดขึ้นในวันที่ 28-29 พฤษภาคม ที่ Moscone Center West เช่นเคย 

 

ก่อนวันเริ่มงาน 

    ในวันที่ 27 พฤษภาคม หรือก่อนวันงานเริ่ม ทุกคนที่เข้าร่วมงานนั้นจะต้องมารับ Badge ที่สถานที่จัดงานก่อน โดยเดินทางเข้ามารับ Badge ได้ตั้งแต่เช้ายันเย็น ซึ่งผมโชคดีไปช่วงเที่ยงๆบ่ายๆแล้วคนต่อแถวน้อยมาก จึงเข้าไปรับ Badge แบบไม่ต้องยืนต่อแถวยาวมากนัก โดยจะต้องแสดง Passport กับบัตรเข้าร่วมงานที่เซฟใส่มือถือให้เจ้าหน้าที่ดูที่ทางเข้าก่อน

    หลังจากเข้ามาแล้วก็จะเดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์เพื่อรับ Badge และปีนี้แจกกระติกน้ำให้คนละอันด้วย

 

 

    ทุกคนจะได้สายรัดข้อมือสองเส้น เส้นแรกใช้สำหรับเข้าร่วมงาน Google I/O โดยจะมี NFC ติดมาด้วย เพื่อใช้ระบุตัวตนของผู้เข้าร่วมงาน (เส้นข้างบน) และอีกเส้นนึงสำหรับงาน I/O After Hour ซึ่งเป็นงาน Party ตอนเย็น (เส้นข้างล่าง) 

    ซึ่งไอสายสองเส้นนี่เค้าห้ามถอดออก นั่นหมายความว่าทุกๆคนจะต้องมือสายสองเส้นนี้ติดมือไปอีกสามวัน แม้กระทั่งตอนนอนและตอนอาบน้ำ…

    และจะได้สายคล้องคอที่เป็นป้ายประจำตัวและบัตรอีกแผ่นสำหรับใช้เข้าห้อง Keynote ในวันแรก

 

    แต่มารู้ทีหลังว่าคนที่มีบัตรร่วมงาน GDG Summit ที่จัดขึ้นก่อนงาน Google I/O จะได้บัตรเข้า Keynote และสายคล้องข้อมือเป็นสีเทา (พิเศษมาหน่อยนึง) ก็เลยต้องถ่อกลับมาใหม่อีกครั้ง และก็พบว่าคนต่อแถวยาวมากอ้อมไปถึงด้านหลังตึกเลยทีเดียว

 

    แต่เนื่องจากรับ Badge เรียบร้อยแล้ว เลยไม่ต้องต่อแถว มาแจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อขอเปลี่ยนสายข้อมือเป็นสีเทาได้เลย (แยกระหว่างสีฟ้ากับสีเทาเกือบไม่ออก)

 

    แต่บัตรเข้าห้อง Keynote จะพิเศษกว่าหน่อย เพราะเป็นพื้นที่ที่เค้าเตรียมไว้ให้ (ถ้าไปทันก่อนมันจะเต็ม)

 

    หลังจากรับ Badge เรียบร้อยแล้ว สามารถเข้ามาแวะซื้อของจากร้านค้าในงานได้เลย เพราะเค้าเปิดตั้งแต่วันรับ Badge แล้ว ซึ่งก็จะมีแต่ของเฉพาะกิจ ต่างจาก Google Store ที่สำนักงานใหญ่ โดยจะเน้นเป็นเสื้อ หมวก และถุงผ้าที่ออกแบบลายมาเฉพาะในงาน Google I/O ปีนี้โดยเฉพาะ ราคาก็แรงเอาเรื่องเช่นกัน

 

    แต่สิ่งที่ทำให้ผมเสียตังหาใช่ของพวกนี้แต่อย่างใด แต่มันคือฟิกเกอร์น้องด๋อยซีรีย์ 5 นั่นเอง 

 

    ขายกล่องละ $8.70 และกล่องใหญ่ 16 ตัวกล่องละ $144 ซึ่งความโหดไม่ได้อยู่แค่ที่ราคาอย่างเดียว เพราะว่ามันสุ่มหมดเลย แม้กระทั่งกล่องใหญ่ก็ตาม แต่ถ้าซื้อกล่องใหญ่เค้ารับประกันว่าจะได้ตัวหายากอย่างน้อย 2 ตัว และที่โหดร้ายยิ่งกว่าคือไม่รับเงินสด รับแต่บัตรเครดิตเท่านั้น ผมที่กำเงินสดไปก็ต้องยืมบัตรเพื่อนรูดแทน… (สอยกล่องใหญ่ 1 กล่อง และกล่องเล็กอีก 4 กล่อง รวมเป็น 20 ตัว)

 

Keynote 

    วิ่งครับ…วิ่ง…เพราะออกเดินทางมาช้ากว่าที่คิด (พักที่ Millbrae) มาถึงที่จัดงานก็ใกล้จะเริ่ม Keynote แล้ว และพบว่าหน้าทางเข้างานยังต่อแถวกันยาวมาก แต่สังเกตเห็นว่าแถวที่ต่อนั้นคือคนที่มีสายข้อมือเป็นสีฟ้า ดังนั้นเจ้าหน้าที่ที่เห็นผมมีสายข้อมือเป็นสีเทา จึงให้วิ่งเข้าไปได้เลยไม่ต้องต่อแถว (สุดยอด!!) และห้อง Keynote นั้นอยู่ที่ชั้น 3 ของอาคารที่ยังคงมีคนทยอยเข้าเยอะอยู่

 

     ซึ่งทุกคนจะต้องถูกแสกน NFC Tag บนสายข้อมือด้วย เพื่อยืนยันตัวตน โดยเจ้าหน้าที่จะใช้ Nexus 6 แตะเพื่ออ่านข้อมูลทีละคน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนต้องต่อแถวรอนานหน่อย เพราะสังเกตเห็นว่าสแกนไม่ติดอยู่หลายครั้ง และโชคดีที่สายข้อมือสีเทาเข้าไปได้เลยไม่ต้องรอสแกนข้อมูล

 

    สำหรับภายในห้อง Keynote ไม่ได้มืดอย่างที่คิด เห็นภายในห้องได้ชัดเจน แต่ถ่ายรูปจะดูมืดกว่าของจริงพอสมควร ที่ผมชอบก็คือภาพหน้าจอระหว่างรอเริ่ม Keynote สวยมาก ถ่ายภาพออกมายังไงก็สวย (แต่ถ่ายหน้าตัวเองย้อนแสงไม่สวย)

Play video

 

    แล้วก็ระหว่างรอ Keynote เริ่มมีการเล่นเกม Pong โดยใช้หน้าจอแสนจะยาวนี่ล่ะเป็นพื้นที่ในการเล่นเกม ตีกันไปมาระหว่างสองฝั่งของหน้าจอ 

 

    ไม่ขอพูดถึงเนื้อหาใน Keynote มากนัก เพราะคงอ่านข่าวกันไปเรียบร้อยตั้งแต่วันที่ Keynote จบไป ผมชอบงาน Keynote ก็ตรงที่ใช้หน้าจอได้อย่างคุ้มค่า เอฟเฟคเต็มทั้งจอ เรียกได้ว่า “โคตร Widescreen” แต่ก็มีบางช่วงที่แสดงไม่เต็มจอ

 

    เนื่องจากมาช้าจึงทำให้ที่นั่งที่เตรียมไว้พิเศษนั้นเต็มเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงต้องไปนั่งริมอีกฝั่งอยู่ใกล้ๆขอบจอ 

    พี่อ้อ อดีตหัวหน้าฝ่ายการตลาดของ Google Thailand (เดินทางมาพร้อมกัน แต่แยกกันตอนเข้าห้อง Keynote) บอกกับผมว่าถ้านั่งตรงกลางแถวหลังๆในห้องจะเห็นหน้าจอได้ทั้งหมดเลย (แต่ไม่ทันละ ผมนั่งชิดริมขอบจอเรียบร้อยแล้ว) ดังนั้นใครที่ได้ไปปีหน้าก็ถ้าไม่ทันแถวหน้าก็แนะนำว่าให้หาที่นั่งตรงกลางแถวหลังๆนะครับ ฮ่าๆ

    สำหรับสัญญาณมือถือในห้องนี้เรียกได้ว่าเน่าสนิท แต่ที่ช่วยให้รอดชีวิตอยู่ได้ก็คือ WiFi ที่เจ้าหน้าที่ได้จัดไว้ให้ใช้งานกันทุกคน ซึ่งดีกว่าสัญญาณมือถืออีก อาจจะอืดบ้างเน่าบ้างในช่วงเริ่มต้น Keynote ที่ผู้คนพากันโพสข่าวโพสภาพกัน แต่ช่วงกลางๆ Keynote ก็เริ่มใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ดี

 

    หลังจากจบ Keynote ผู้คนก็พากันทยอยเดินออกไปกันเรื่อยๆ โดย Google Cardboard ตัวใหม่ก็จะแจกที่หน้าทางออกเช่นกัน

 

     ใครที่ไม่รีบออกก็จะมาถ่ายรูปที่ข้างหน้าเวทีกัน

 

ห้องรับประทานอาหาร

    ชั้น 1 จะมีห้องขนาดใหญ่สำหรับเป็นพื้นที่รับประทานอาหาร

 

 

    มีไอติมให้กินด้วย แต่ไม่ค่อยมีคนกินซักเท่าไร เพราะอากาศค่อนข้างหนาว (ผมใส่เสื้อสามตัว+เสื้อกันหนาว)

 

เดินเล่นที่ชั้น 2

    เมื่อกินเสร็จแล้วก็แวะขึ้นมาที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับนักพัฒนาเป็นหลัก โดยจะมีห้องสำหรับแต่ละ Session ให้นักพัฒนาเข้าไปนั่งฟังบรรยายในหัวข้อต่างๆ และมีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมต่างๆที่ได้จัดไว้

    บริเวณด้านหน้าของชั้น 2 จะมีสองห้องแบบเปิดที่เป็นห้องจัด Session (สองภาพแรก)

 

    ห้องบรรยายจะมีสองแบบแบบห้องเปิดและห้องปิด ซึ่งห้องแบบเปิดจะให้ทุกคนสามารถเข้าไปฟังได้เลย ตราบเท่าที่มีพื้นที่ให้ยืนหรือนั่ง เพราะบาง Session จะเป็นที่นิยมมากจนคนล้นออกมาจากพื้นที่ห้องกันเลยทีเดียว

 

    ส่วนห้องปิดก็จะต้องต่อแถวทยอยเข้าไปจับจองพื้นที่นั่งข้างใน โดยจะมีการสแกน NFC ก่อนจะเข้าห้องนั้นๆด้วย

 

    และป้ายแสดง Session ของห้องแบบเปิดจะเป็นลักษณะกระดาษชำระ ม้วนกระดาษจะมีตารางแสดง Session ของห้องนั้นๆ และเมื่อจบ Session ก็จะฉีกทิ้งซะแล้วดึงลงมาใหม่เรื่อยๆ

 

    และในปีนี้พนักงาน Google ที่เป็นเจ้าหน้าที่ในงานก็จะสวมเสื้อบอลสีแดงกัน

 

    บริเวณข้างในของชั้น 2 จะมีพื้นที่บางส่วนเป็นของ Code Lab เอาไว้ให้นักพัฒนาที่อยากจะลองเขียนโค๊ดสำหรับอุปกรณ์แอนดรอยด์ ซึ่งจะมีเตรียมให้ครบครันไม่ว่าจะเป็น Android Phone/Tablet, Android Wear, Android Auto รวมไปถึง Project Tango ก็มีให้ลองด้วยล่ะ

 

    Android Auto แบบพกพาได้ (นึกว่าเครื่องเล่นวิทยุพกพา)

 

    และบริเวณด้านหน้าก็จะเป็น Design Lab ให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถทดลองฝึกออกแบบหน้าจอแอพซักตัวดู โดยจะมีเจ้าหน้าที่ให้ปรึกษาและให้คำแนะนำ

 

 

    และมีพื้นที่สำหรับนักพัฒนาที่อยากจะพูดคุยโดยตรงกับเหล่า Google Developer Experts ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเขียนโปรแกรม การดีไซน์ และการหารายได้

 

    ทีมพัฒนาแอพทีมไหนกำลังทำแอพเป็น Material Design และต้องการคำปรึกษาก็จะมีพื้นที่ที่ให้เข้าไปขอคำปรึกษาแนวทางได้ โดยจะต้องลงทะเบียนก่อน

 

     จุดที่สังเกตได้ง่ายอีกจุดหนึ่งของชั้น 2 ก็คือเหล่า Smart Phone และ Tablet ทั้ง Android, iOS และ Windows ก็ถูกนำมาแสดงติดผนังเรียงกันเป็นตับ โดยจุดนี้จะเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของหน้าเว็ปต่างๆ โดยจะแสดงผลบนอุปกรณ์ทุกขนาดหน้าจอเพื่อทดสอบ Page Speed และ Responsive 

 

    ใกล้ๆกันจะเป็นรูปปั้นแอนดรอยด์สีขาวที่มีปากกาเมจิกวางอยู่ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเขียนอะไรก็ได้ลงบนตัวแอนดรอยด์ตัวนี้ 

 

    และไม่รู้มีใครมาเขียนภาษาไทยไว้ด้านหลังแบบนี้…..

 

    และจะมีหลายๆบริษัทมาตั้งบูธเล็กๆเพื่อแสดงผลงานของตัวเอง ซึ่งไม่เยอะมากนัก นับได้แค่ราวๆ 6-8 บริษัทเท่านั้น

 

    พื้นที่สำหรับถ่ายทำรายการ Coffee with a Googler

 

    นอกจากนั้นก็จะเป็นพื้นที่สำหรับพักผ่อน นอนเล่น เล่นเกม นั่งคุยหรืออื่นๆ รวมไปถึงของกินเล่นที่มีให้หยิบไปกินได้ทันที

 

    เอะ..คนนี้คุ้นๆ

 

    มี Nvidia Shield ให้เล่นเกมด้วยล่ะ

 

    อันนี้เรียกว่าอะไรไม่รู้ เป็นหน้าจอที่ให้ใช้แผ่นโพลาร์ไรซ์ส่องบนหน้าจอ เมื่อหมุนจนได้มุมที่ถูกต้องก็จะเห็นโค๊ดลับเป็น URL ให้ไปเปิดบนมือถืออีกทีหนึ่ง io15.foo/qAgxmqes

 

เดินเล่นต่อที่ชั้น 3 

     สิ่งแรกสุดที่จะเห็นเมื่อขึ้นมาชั้น 3 คือ Android Choir หรือวงประสานเสียงจากอุปกรณ์แอนดรอยด์หลายร้อยเครื่อง ที่เคยโชว์ที่ญี่ปุ่น คราวนี้ก็หิ้วมาตั้งโชว์ให้ได้ชมกันในงานนี้ โดยร้องเพลงรอบนึงใช้เวลาสิบกว่านาที

 

    โดยเราสามารถสร้างตัวละครของตัวเองในแอพ Andriodify แล้วส่งเข้าวงประสานเสียงได้ด้วย โดยจะมี Nexus 9 สามเครื่องตั้งอยู่ข้างๆเพื่อให้เราส่งเข้าระบบผ่าน QR Code ได้

 

    เมื่อส่งเข้าระบบไปเรียบร้อยแล้ว ก็จะมีการแจ้งบอกว่าตัวละครของเราจะแสดงในรอบกี่โมง

Play video  

 

     และใกล้ๆกันก็จะมีบริการปริ้นรูปตัวละครลงบนสติ๊กเกอร์ฟรี โดยให้เจ้าหน้าที่สแกน QR Code แล้วระบบจะทำการปริ้นให้ ซึ่งต้องใช้เวลารอนานหน่อย เพราะคิวปริ้นเยอะมาก บางคนต้องมารับกันวันที่สองเลยทีเดียว (ของผมสั่งเช้าได้เย็น)

 

    พื้นที่แสดงการใช้งานเหล่า Android TV, Cast Device ต่างๆซึ่งมีทั้ง Nvidia Shield, Chromecast, Nexus Player และ Android TV โดยจะจัดพื้นที่ให้มีลักษณะเป็นห้องนั่งเล่นภายในบ้าน

 

    แอพเกม FltFlap ที่ใช้ Android กับ iOS เป็นกล้องจับการเคลื่อนไหวของผู้เล่น

 

    Nest และ Android for Work

 

    Google Play for Families สามารถเข้าลงชื่อลงทะเบียนแล้วรับฟิกเกอร์แอนดรอยด์เฉพาะกิจไปเลย ว่าแต่ลงทะเบียนไปทำไมก็จำไ่มได้ละ รู้แค่ว่าได้ของฟรีก็เลยไปต่อแถว (ต่อแถวร่วมครึ่งชั่วโมงเลยนะ)

 

    โซน Android Auto ก็ถอยรถมาให้ลองนั่งเล่นแล้วทดลองใช้งานกันเลย แต่ขับเล่นไม่ได้นะเออ 

 

    โซน Cardboard จะให้จำลองห้องเรียน Cardboard ที่ได้พูดถึงใน Keynote โดยจะมี Cardboard และหูฟังคนละอัน แล้วจะมีคนพูดอธิบายเกี่ยวกับภาพที่เห็นใน Cardboard ให้ฟัง

 

    Google Jump ที่ใช้ GoPro 16 ตัวเพื่อถ่ายภาพสำหรับ VR

 

   โซน Android Wear ผมไม่พูดถึงอะไรมาก เพราะไม่มีอะไรใหม่ แต่ก็มี Android Wear ทุกรุ่นทุกแบบมาให้ได้ลองเล่นกัน

 

    ตรงกลางของชั้น 3 จะเป็นโซนโปรเจค ATAP ที่ขนเทคโนโลยีเจ๋งๆจาก Google มาโชว์ให้ได้ชมให้ได้ลองกัน

 

     เริ่มจาก Project Jacquard ที่มีผ้าผืนใหญ่วางพาดอยู่บนโต๊ะยาว แล้วมีอุปกรณ์แสดงผลให้เห็นผลลัพธ์การทำงาน

 

    โดยจะมีหน้าจอแสดงให้เห็นผลลัพธ์เวลาที่ผู้ใช้เอามือไปสัมผัสบนผ้า จะมัลติทัชก็ทำได้เช่นกัน

 

    ส่วนอันนี้แค่เอามือถือวางไว้บนผ้า แล้วสามารถใช้มือทำ Gesture บนผ้าเพื่อควบคุมการทำงานของแอพเพลงได้ทันที

(เดี๋ยวอัพวีดีโอให้ทีหลัง)

 

    อันนี้ฌชว์ Project Soli ให้ลองทำมือควบคุมแล้วผลลัพธ์จะแสดงเป็นรูปร่างต่างๆบนหน้าจอ (แปลว่ายังไม่พร้อมใช้งานจริง)

 

    Project Vault ผมไม่รู้ว่าเค้าจะโชว์อะไร เพราะตอนที่ไปดู ไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ มีแต่ป้ายบอกว่าให้เข้า Session ของ ATAP ในตอนเช้าของวันที่สอง

 

    Prototype Board ในระหว่างการพัฒนาโปรเจคต่างๆ

 

    กล้องถ่ายภาพรอบทิศทางที่ใช้ในการถ่ายทำ Spotlight Project โดยจะแสดงให้เห็นบนหน้าจอแบบ Realtime ใช้จอยควบคุมทิศทางเพื่อหมุนไปมารอบๆได้

 

    และมี Nexus 6 กับหูฟังเพื่อดูเรื่อง Help ซึ่งเป็นหนังจากผู้กำกับ The Fast and Furious ที่สร้างขึ้นมาสำหรับ Project Spotlight โดยเฉพาะ หมุนดูได้รอบทิศทาง

 

    และมีเจ้าหน้าที่อธิบายเกี่ยวกับการสร้างหนังด้วย Spotlight SDK ด้วย

 

    ส่วน Project ARA ค่อนข้างผิดหวัง เพราะไม่มีอุปกรณ์อะไรมาโชว์เลย มีแต่กระดาษที่ให้เขียนว่าอยากได้อะไรใน Project ARA (เดี๋ยวบ่นให้ฟังอีกในตอนท้าย)

 

    ต่อมาจะเป็น Project Tango ที่มี Tablet ให้ลองทดสอบใช้งาน โดยจะมีแอพต่างๆที่ของ Project Tango 

 

    เกมยิงศัตรูที่สามารถหมุนตัวไปมาเพื่อยิงศัตรูได้

 

    การใช้กล้องสแกนพื้นที่จริงๆแล้วสร้างเป็น 3 มิติบนตัวอุปกรณ์ สมจริงขนาดสแกนเสาทั้งต้นก็ยังทำได้

 

    รวมไปถึงการจัดขนาดของวัตถุใดๆก็ตาม

 

I/O After Hours  

    งานปาร์ตี้ที่จัดขึ้นอยู่ใกล้ๆกับสถานที่จัดงาน Google I/O โดยเข้าได้เฉพาะคนที่เข้าร่วมงานเท่านั้น (มีสายรัดข้อมือสีฟ้า) ภายในงานก็จะมีเบียร์ฟรี อาหารฟรี คอนเสิร์ต และกิจกรรมเล็กๆให้เข้าร่วม โดยเน้นการพบปะพูดคุยกันเพื่อก่อให้เกิด Connection ระหว่างผู้เข้าร่วมงานด้วยกัน

 

    เห็นแบบนี้อากาศหนาวประมาณ 14-15 องศาเซลเซียส และมีฝนตกเป็นละอองฝน

 

ผิดหวังเล็กน้อยกับ Project ARA

    เนื่องจากในตอนเก้าโมงเช้าของวันที่สองจะมี Session ที่ชื่อว่า A little badass. Beautiful. Tech and human. Work and love. ATAP. หรือก็คือ Session ของ Google ATAP นั่นเอง และ Project ARA ก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย จึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะพากันแห่เข้า Session นี้ (ผมก็ด้วย)

    แต่ซวยหน่อยตรงที่รีบวิ่งมาต่อแถวเข้า Session นี้ แล้วสังเกตเห็นว่าทุกคนถือ Nexus 9 แล้ว (หลังจาก Keynote จบไปได้ซักพัก ก็มีเมลล์ส่งมาทีหลังเพื่อบอกว่าทุกคนได้ Nexus 9 สามารถรับเครื่องได้ในวันที่สอง) ก็เลยต้องวิ่งถ่อกลับไปรับเครื่องก่อน 

 

    กลับมาที่ห้อง Session อีกทีก็พบว่าคนนั่งเต็มแล้ว แต่ก็โชคดีที่เค้าให้ผมเข้าไปยืนริมห้องได้ (ก็ดีกว่าไม่ได้เข้าล่ะนะ)

 

    ของต่างๆที่มาโชว์ใน Session นี้เรียกความฮือฮาได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Soli หรือ Jacquard และ Spotlight Stories ที่ฉาย Trailer ของเรื่อง Help บนจอทีวีที่ติดอยู่รอบห้องแบบ 360 องศา (สามารถหาดูได้ในวีดีโอย้อนหลัง)

    จนถึงเรื่องสุดท้ายที่ดูเหมือนจะเตรียมให้ Project ARA เป็นตัวปิด Session ทุกคนก็พากันเฮ (แปลว่ารอดูกันเยอะ) แล้ว Speaker ก็เดินขึ้นมาพูดพร้อมกับอธิบายเกี่ยวกับ Project ARA คร่าวๆ แล้วประกอบเครื่องให้ดูกันสดๆ

 

    จากนั้นก็เปิดกล้องขึ้นมา แล้วเสียบโมดูลกล้องให้ดูว่ามันสามารถทำ Hot Swap ได้ด้วยนะ แล้วก็ถ่ายภาพทุกๆคนที่นั่งบริเวณตรงกลางเป็นภาพถ่ายภาพแรกสุดของ ARA 

    แล้วจากนั้นก็พูดปิด Session ทันที จนทุกคนพากันเงิบพร้อมกับผุดคำถามขึ้นมาในใจว่า “มาโชว์แค่เนี้ยเนี่ยนะ!!!!”

    สำหรับวันที่ 2 ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากรับเครื่อง Nexus 9 ที่เหลือก็คือเดินเข้า Session ต่างๆและเดินทัวร์รอบๆงานให้ทั่ว (แอบเสียใจที่ลืมถ่ายทำพรีวิว Project Tango Tablet) จนจบงาน ซึ่งผมออกก่อนเวลาเพราะถ่อไป Best Buy เพื่อสอย Moto 360 กับ Nexus Player 

 

    สำหรับงาน Google I/O ถึงแม้ว่า Keynote จะไม่มีอะไรฮือฮาเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่เปิดตัวในวันนั้นกลับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับนักพัฒนาครับ รวมไปถึง Session ต่างๆที่เน้นไปในเรื่องของแอนดรอยด์ (คุยกับคนนึงที่เค้าทำ Google Cloud Platform เค้าก็แอบบ่นว่ามีแต่ Session ของแอนดรอยด์เต็มไปหมด) ซึ่งเยอะมากจนผมก็เลือกไม่ถูกว่าจะเข้าห้องไหนดี หลายๆห้องคนเยอะจนล้นออกมานอกห้องก็มี และโซนของ Google ATAP ก็ได้แสดงให้เห็นถึงนวัตกรรมใหม่ๆจากทาง Google ที่น่าจะนำมาใช้ในอนาคตครับ (แต่ไม่มี Google Glass แสดงในงานนะ) เสียดายของแจกน้อยไปหน่อย ><