เมื่อคืนถ้าใครถ่างตาดูงาน Google I/O 2015 ก็อาจจะจิตใจฟู่ฟ่าได้เห็นอะไรใหม่กำลังจะมาเยื่อนพวกเราชาว Android หนึ่งในนั้นก็คือ Android M ขนมชิ้นถัดไปที่มาเติมเต็มหลายๆอย่างที่พวกเราโดนฝั่งสาวกแซงไปหน่อยหนึ่ง มาดูกันดีกว่าว่ามันมีอะไรใหม่บ้าง

Permissions

ระบบ Permissions (การที่แอพขออนุญาตใช้ฟังก์ชั่นต่างๆของมือถือ) แบบเดิมๆที่ Android ใช้อยู่จนถึงปัจจุบันในคือ ขอ Permission ตั้งแต่ตอนเราลงแอพจาก Play Store ดังนั้นเราจะไม่รู้เลยว่าแอพนั้นจะไปใช้สิทธิ์ของ Permission นั้นตอนไหน และเชื่อว่าหลายๆคนก็คงไม่ทันได้อ่านอีกต่างหาก

 

ระบบ Permission ใน Android M นั้นจะเปลี่ยนไปเป็น ไม่ขอ Permission อะไรทั้งนั้นตอนลงแอพ แต่พอแอพจะใช้งานฟังก์ชั่นส่วนนั้นของมือถือเป็นครั้งแรกค่อยขอ Permission เป็นส่วนๆ เช่น พอเราลงแอพ Facebook Messenger เราจะลงแอพได้เลย ไม่ต้องมากังวลว่าแอพนี้ขอ Permission อะไรบ้าง พอเรากดจะถ่ายรูปใน Messenger เป็นครั้งแรก แอพจะเด้งคำขอ Permission การใช้กล้องขึ้นมาให้เรากดอนุญาต

แล้วมันจะดียังไงหล่ะ ?

สมมุติว่ามีแอพ chat ตัวหนึ่งอยากจะแอบดู Location ของเรา แต่เราไม่ต้องการจะแชร์ ครั้งแรกที่แอพมันจะขอใช้ GPS มันจะเด้งคำขอขึ้นมาถามเราก่อนทั้งๆที่เราไม่กดแชร์ Location เลย เราก็รู้ได้ทันทีว่าแอพนี้กำลังจะแอบดู Location เรา

ฟีเจอร์นี้เป็นอะไรที่คนซีเรียสเรื่องความปลอดภัยของระบบอยากให้มีกันมานาน เพราะมันคือจุดอ่อนของ Android อย่างที่สุดดังที่นาย @nuuneoi เคยทำคลิปออกมาแสดงช่องโหว่จุดนี้ คาดกันว่าหากคนได้ใช้ M กันอย่างทั่วถึงแล้ว ความปลอดภัยจากการถูก Developer เลวๆหลอกลงแอพดูดข้อมูลส่วนตัวบน Android จะยกระดับไปเลยทันที

ไปดูคลิปเรื่อง permission เห็นแล้วหลายๆคนจะเหวอ ไม่กล้าลงแอพมั่วๆอีกต่อไป

Play video

นอกจากนี้เรายังสามารถเลือกที่จะยกเลิก ไม่อนุญาตให้ Permission กับแอพในภายหลังได้ด้วย คล้ายๆกับที่มือถือค่ายจีนบางค่ายทำได้

ปล. การขอ Permission แบบนี้ iPhone ใช้มานานแล้ว …

permission ที่จะมีการแจ้งเตือนเมื่อแอพเรียกใช้งาน

 

    • Location – ขอทราบตำแหน่งของเรา

    • Camera – ขอใช้กล้องถ่ายรูป

    • Microphone – ฟังเสียงจากไมค์

    • Contacts – เข้าถึงเบอร์ติดต่อของคนในสมุดโทรศัพท์

    • Phone – โทรเข้า-ออก

    • SMS – รับส่งอ่านข้อความ SMS ในเครื่อง

    • Calendar – ดูปฎิทิน วันเวลาว่างของเรา

    • Sensor – ใช้งานเซนเซอร์ในเครื่อง

 

Web Experience

เดี๋ยวนี้เวลาเรากดลิ้งค์ใน Facebook หรือ Twitter มันก็จะเปิด Browser ของตัวเองขึ้นมา และไอเจ้า Browser ตัวเล็กๆที่แอพพวกนี้ใช้เนี่ยมันไม่ใช่ Chrome นะ มันคือ WebView หรือบางทีก็เป็น Browser ที่นักพัฒนาแอพนั้นๆทำขึ้นมาเองด้วยซ้ำ ซึ่งมันจะไปดีกว่า Chrome จริงๆได้ยังไงถูกไหม? History ก็ไม่เก็บ จะ Bookmark ก็ไม่ได้

Google ก็เลยทำสิ่งที่เรียกว่า Custom Chrome Tab ขึ้นมาเพื่อให้แอพต่างๆเรียกใช้แทนเว็บแบบเก่าๆ ความปลอดภัยสูงกว่า Username Password ที่ Chrome จำไว้ก็จะมาโผล่ในนี้ให้เหมือนกัน

 

App links

ปกติเวลามีคนแปะ URL ของ YouTube ไว้สักที่แล้วเราจะกดเข้าไปดู (แล้วเราไม่ได้เลือก YouTube ไว้เป็นแอพหลัก) Android จะเด้งขึ้นมาถามเราว่า อยากจะเปิด URL นี้ด้วยอะไรดี Chrome ไหม? หรือว่าจะใช้แอพ YouTube?

ใน Android M นั้นเราไม่ต้องมาเลือกอะไรแบบนี้แล้ว เพราะคนทำแอพเขาจะเลือกมาให้เสร็จสรรพ ลิ้งค์ YouTube ก็เปิดด้วย YouTube ลิ้งค์ Twitter ก็เปิดด้วย Twitter

 

Android Pay

อันนี้ก็ชัดเจนว่าเราตามหลัง Apple แต่ก็ตามมาติดๆ ต่อไปนี้ Android ไม่ว่าจะรุ่นไหน (ที่มี NFC และใช้ Android 4.4 KitKat ขึ้นไป) ก็จะสามารถใช้จ่ายเงินแทนบัตรเครดิตได้ ไม่น้อยหน้าเหล่าสาวกแล้วหล่ะ

Android Pay จะสามารถใช้จ่ายเงินได้ทั้งใน Play Store, จ่ายเงินในแอพ (ตรงนี้น่าจะแปลว่าไม่ผ่านระบบ Play Store), และจ่ายเงินซื้อของตามร้านค้าต่างๆผ่าน NFC

 

Android Pay มันต่างจาก Google Wallet ยังไง ?

Android Pay แทบจะเหมือน Google Wallet ทุกอย่างเลย เราเอาบัตรของเราไปอ่านและเก็บไว้ในมือถือ ใช้จ่ายเงินแทนกระเป๋าตังได้ แต่ Google Wallet จะเน้นไปที่การโอนเงินให้กันเองมากกว่า (โดยที่ตอนแรกนั้น อีกฝ่ายที่เราโอนไปเป็นร้านค้า)

Android Pay จะเน้นไปทางการซื้อขาย คือเราจ่ายออกอย่างเดียว ร้านค้าก็รับเข้าอย่างเดียว เรียกได้ว่าฟังก์ชั่นไม่ต่างกันมาก แต่การใช้งานกับบทบาทต่างกันนั้นเอง

 

Fingerprint Support

เดี๋ยวนี้มือถือหลายๆค่ายก็เริ่มมาพร้อมกับที่สแกนลายนิ้วมือกันมากขึ้น แต่ละค่ายก็ต้องทำ Software ของตัวเองขึ้นมาใช้เอง แต่ใน Android M นั้น Google ได้เริ่มใส่ระบบการใช้ลายนิ้วมือมาในตัวระบบปฏิบัติการเลย นั้นหมายความว่า ต่อไปนี้เราจะได้เห็นแอพอื่นๆ (นอกจากการปลดล็อคหน้าจอ) หยิบเอาการยืนยันตัวด้วยลายนิ้วมือมาใช้บ้างแล้ว

ตัวอย่างเช่น ต่อไปเราอาจจะไม่ต้องมานั่งกรอก ID Password ตอนซื้อของผ่าน ebay, Amazon, หรือ Lazada อีกต่อไป เอานิ้วแตะ จบ

 

Battery & Charging

Android M จะมาพร้อมกับโหมดที่เรียกว่า Doze ซึ่งจะทำงานเมื่อเราวางเจ้า Android ทิ้งไว้นานๆ ในโหมด Doze นั้น Android จะทำการปิดตัวเองเกือบหมด ทำให้ใช้พลังงานน้อยมาก แต่จะตื่นขึ้นมาเป็นช่วงๆเพื่ออัพเดต Notification ต่างๆ แล้วก็จะกลับไปนอนต่อ นั้นหมายความว่าเราอาจจะได้รับ Notification ช้าไปสักหน่อย แต่ในเมื่อมือถือไม่ได้ขยับอยู่ นั้นก็หมายความว่าเราอาจจะไม่ได้สนใจมือถืออยู่แล้ว เช่นอาจจะนอนไปแล้ว ดังนั้นโนติฯจะมาช้าหน่อยก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่ High-priority message (อะไรที่สำคัญมากๆ) เช่น นาฬิกาปลุก หรือสายโทรเข้า ก็ยังเตือนปกติ

ข้อดีของโหมด Doze ก็คือ มันช่วยให้เจ้า Android ของเราสามารถ Standby ได้นานกว่าเดิมถึง 2 เท่า หรือเสียแบตตอน Standby น้อยลงครึ่งหนึ่งนั้นเอง (อ้างอิงจาก Nexus 9 เครื่องทดสอบ)

นอกจากโหมด Doze ที่จะทำให้แบตอึดขึ้นแล้ว Android M ยังเพิ่มการรองรับ USB-C อีกด้วย และเนื่องจาก USB-C นั้นสามารถเชื่อมต่อได้ทั้งสองทาง หัวทั้งสองด้านเหมือนกัน ไม่มี USB ใหญ่ —> microUSB แล้ว แต่จะเป็น USB-C <—> USB-C ดันนั้นเราสามารถจะเชื่อมมือถือ 2 เครื่องเข้าด้วยกันแล้วให้เครื่องหนึ่งปล่อยไฟไปชาร์จแบตให้อีกเครื่องหนึ่งได้ด้วย (คล้ายๆกับตอนใช้สาย OTG แต่พอทั้งสองฝั่งมันเหมือนกันก็ต้องเลือกใน Software ว่าจะให้ฝั่งไหนเป็น Host ฝั่งไหนเป็น Slave)

 

Direct Share

ปกติเวลาเรากด Share จะมี Dialog ขึ้นมาให้เลือกแอพว่าจะ Share ไปที่แอพไหน แล้วพอเลือกแอพนั้นเราค่อยมาเลือกอีกทีว่า จะแชร์บน wall หรือจะแชร์ให้ใครแบบเจาะจงไหม

ใน Android M นี้ Google ได้นำเสนอวิธีแชร์แบบใหม่ เรียกว่า Direct Share ซึ่งจะให้เราเลือกได้ทันทีเลยว่าจะแชร์กับใครผ่านแอพไหน เช่นเราแชร์ให้เพื่อน A บ่อยๆผ่าน Line ก็จะมีหน้านาย A พร้อมกัน icon Line รอไว้อยู่ เราจะได้ไม่ต้องมาเลือกซ้ำซ้อนสองรอบ ก็เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่เจ๋งดี ใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้นอีก 1 คลิก

 

Volume Control แบบใหม่มาแล้ว! (กราบงามๆ)

อันนี้ไม่ได้เป็นอะไรใหม่ แต่เป็นสิ่งที่แก้ไขซะทีหลังจากที่ Lollipop ทำแสบเอาไว้ นั้นก็คือแถบเพิ่มลดเสียงที่ผู้คนกร่นด่าเป็นเสียงเดียวกัน เดิมใน Lollipop นั้น เวลาเราฟังเพลงแล้วเรากดปุ่มเพิ่มลดเสียง มันจะควบคุมได้เฉพาะเสียงที่มาจากเพลงเท่านั้น ถ้าเกิดว่าเราจะปิดเสียงโนติฯตอนที่ฟังเพลงอยู่ เราต้องกดปิดเพลง > ออกจากแอพ > กดเบาเสียงจนสุดเพื่อปิดเสียงโนติฯ > กดเล่นเพลงต่อ ซึ่งมันน่ารำคาญมากกกก

 

ใน Android M นั้นได้เอา Sound Control กลับเข้ามา โดยที่แถบเพิ่มลดเสียงจะมีลูกศรเล็กๆให้เรากดโชว์แถบความคุมเสียงประเภทอื่นๆ (เพลง, Notification, และนาฬิกาฟลุก) จริงๆมือถือบางเจ้าก็เอากลับเข้ามาตั้งแต่ใน Lollipop ของเขาเองแล้วหล่ะ

 

เป็นไงบ้างกับ Android M จริงๆแล้วยังมีฟีเจอร์ย่อยๆที่เข้ามาช่วยปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน Android ให้ดีขึ้นอีกเยอะเลย แต่อย่าเพิ่งมาถามนะว่าเครื่องฉันจะได้กิน Android M หรือเปล่า อีกนานกว่าจะได้ปล่อยให้ใช้งานกันจริง คงต้องรอดูกันต่อไปยาวๆเลย เกือบๆปลายปีนี้นู้นแหละกว่าจะได้ใช้

 

แต่ตอนนี้ใครที่ใช้ Nexus 5, Nexus 6, และ Nexus 9 เหล่าลูกรักทั้งหลายของ Google สามารถเข้าไปโหลด ROM Android M Developer Preview มาลอง Flash เล่นกันดูก่อนได้เลย ตาม Link นี้ ใคร Flash แล้วเอามาแชร์กันบ้างนะว่าเป็นไงบ้าง เดี๋ยวผมก็จะไป Flash Nexus 5 ลูกรักผมมาลองเหมือนกัน

 

Source: TechCrunch, AnandTech, TechRadar,  Android-Developers.blogspot, Developer.Android