เอ็นจีโอสามานย์-สื่อชั่ว น่ากลัวกว่าสงคราม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทยเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา ภาพที่พล.อ.ประยุทธ์ ถวายบังคมต่อพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ แบบโบราณในพิธีรับพระบรมราชโองการ แสดงให้เห็นความจงรักจักภักดีที่มีต่อสถาบันสูงสุดของประเทศ ราวกับกลั่นออกมาจากวิญญาณของทหารเสือพระราชินี ที่กำลังรับพระบรมราชโองการเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่อันหนักหน่วงเพื่อแผ่นดิน

สามเดือนในหน้าที่ หัวหน้าคณะผู้รักษาความสงบแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ทำตามสัญญานำความสุขคืนมาสู่ประชาชนได้อย่างสมบูรณ์ ปัญหาเร่งด่วนของประชาชน ตลอดถึงปัญหาความมั่นคงของชาติ ได้รับการแก้ไขเยียวยาระดับหนึ่ง จนเป็นที่พึงพอใจ เป็นความหวังของประชาชนจำนวนมาก วันที่พล.อ.ประยุทธ์เข้ารับหน้าที่อย่างเป็นทางการ จึงได้รับคำชื่นชมแสดงความยินดีอย่างล้นหลาม

แม้แต่สหรัฐอเมริกาที่เคยต่อต้าน คสช.อย่างเอาเป็นเอาตาย กลับตอบรับตำแหน่งนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยท่าทีผ่อนปรนว่า “เป็นพัฒนาการก้าวหน้า ตามที่คณะทหารให้คำมั่นไว้ในโรดแม็ป เราหวังว่าจะได้ดำเนินการตามโรดแม็ปเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป ตามหลักการประชาธิปไตยโดยเร็ว” เมื่อสื่อมวลชนซักว่า ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยเมื่อไหร่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกาตอบว่า“ได้ยินมาว่า จะมีการเลือกตั้งในปี 2015(2558)” ปฏิกิริยาจากสหรัฐต่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์อ่อนลงมาก ถ้าเทียบกับการต่อต้านอย่างรุนแรงหลังยึดอำนาจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2557

แต่ถึงแม้ท่าทีของอเมริกา ต่อ คสช.จะเปลี่ยนไปตามภาวะ และเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ สงครามกลางเมืองในยูเครน ภัยกลุ่มใหม่ที่เกิดจากนักรบเพื่อรัฐอิสลามที่เรียกกันว่า IS ทำให้ประเทศตะวันตกต้องหันไปให้ความสนใจมากกว่าจะมาจุ้นจ้านกับการเมืองในประเทศไทย

แนวรบจากมหาอำนาจเปลี่ยนไป แต่แนวรบด้านสื่อและกลุ่มเอ็นจีโอที่ได้รับเงินจากระบอบทุนนิยมสามานย์ ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้น จากทั้งในและนอกประเทศ สื่อต่างประเทศเสนอข่าว การรับตำแหน่งนายกของพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยท่าที เยาะเย้ยถากถาง

สำนักข่าวเอพีอ้างความเห็นของนายแบรด อาดัมส์ ผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์ว๊อตช์ ประจำเอเชียตะวันออกว่า ทหารไทยนำประเทศกลับเข้าสู้ยุคมืดประชาธิปไตย “ในฐานะนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจได้โดยไม่ต้องตรวจสอบ นี่คือยุคมืดของสิทธิมนุษยชนและอนาคตประชาธิปไตยในประเทศไทย” สำนักข่าวเอพี อ้างคำพูดของนายแบรด อาดัมส์รายงานเสริมด้วยคำพูดว่า “แทนที่จะนำพาประเทศเข้าสู้แนวทางประชาธิปไตย โดยการเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม ทหารไทยกลับนำประเทศเข้าสู่แนวทางเผด็จการ”

เป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อต่างประเทศกลุ่มนี้จงใจสัมภาษณ์ กลุ่มคนที่มีอคติต่อประเทศไทย นายแบรด อาดัมส์ คนนี้แหละที่เคยเรียกร้องให้สหรัฐฯตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย ในห้วงเวลาที่ กปปส.ชุมนุมประท้วงรัฐบาลนายแบรด อาดัมส์ไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ประชาชนถูกฆ่าตายหลายสิบคน แต่กลับออกแถลงการณ์ประท้วงเรื่องการขัดขวางการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 ว่า เป็นการละเมิดสิทธิ์พื้นฐานของประชาชนอย่างร้ายแรง

สำนักข่าวเอเอฟพี เสนอความคิดเห็นนายโคทม อารียาว่า “น่าวิตกมากที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคที่ผู้นำคนเดียวมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งเป็นอันตรายมาก” สื่อต่างประเทศนำคำพูดนักวิชาการหัวใจสีแดง ไปเสนอให้คนทั่วโลกอ่าน โดยที่นักวิชาการคนนี้ไม่เคยสำเหนียกเลยว่า “ผู้นำ(ชั่ว)คนเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ที่ผ่านมาคือสัมภเวสีหนีศาล”

ถ้าไม่มีอะไรปิดหูปิดตาจนพร่ามัว ลองนึกย้อนถอยหลังไปก่อน คสช.เข้าควบคุมอำนาจ จะพบว่า อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจโยกย้ายข้าราชการ การแต่งตั้งผู้บริหารในรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ ล้วนแต่อยู่ในมือของสัมภเวสีหนีคุกเพียงคนเดียว อย่างนั้นแหละถึง“เรียกว่าอำนาจเด็ดขาดอยู่ในมือผู้นำ (ชั่ว) เพียงคนเดียวอย่างน่าวิตก”

นอกจากนายโคทม สื่อต่างประเทศที่เคยสนับสนุนรัฐบาลทรราชทุนสามานย์อย่างนายทอม ฟูลเล่อร์ จากนิวยอร์ก ไทม์ นายโจนาธาน เฮดจากบีบีซีที่เคยถูกข้อหาหมิ่นฯพร้อมกับนายจักรภพ เพ็ญแข ก็เลือกสัมภาษณ์คนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการล้มเจ้าอย่างนายปวิณ ชัชวาลพงษ์พัน หรือนายสุนัย ผาสุกที่เคยแสดงท่าทีต่อต้าน คสช.โดยการแสดงสัญลักษณ์ ชูสามนิ้ว ในงานวันชาติอเมริกา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

จะเห็นว่า แนวรบด้านรัฐบาลต่างประเทศได้ผ่อนปรนลงบ้างแล้ว แต่แนวรบทางด้านสื่อและด้าน เอ็นจีโอที่เป็นปากเป็นเสียงทุนสามานย์ กำลังเพิ่มขึ้น มีใครสังเกตไหมว่า ทำไมช่อง 9 ถึงให้ความสำคัญกับภาพข่าวที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนคร แต่งชุดดำเข้าทำงานเต็มห้องประชุม ในวันที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำพิธีรับพระบรมราชโองการเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และได้สังเกตไหมว่าภาพที่ออกมาเป็นการจัดตั้ง สร้างภาพร่วมกันระหว่างสื่อกับกลุ่มคนที่เตรียมการต่อต้าน คสช.

ถ้าเป็นการประท้วงใส่ชุดดำมาทำงาน จะเห็นภาพเคลื่อนไหวของคนในชุดดำประปราย หรือเป็นกลุ่ม แต่ภาพที่ช่อง 9 แช่อยู่นานกว่า 5 นาทีนั้น มันบอกว่าจัดตั้งชัดๆ เพราะทั้งนายก อบจ. รองนายกฯ สอบจ. เจ้าหน้าที่ ซึ่งอาจมีภารโรงด้วย ลงมานั่งหน้าสลอนอยู่ในห้องประชุม ระนาบเดียวกันหมด คนที่เป็นนายกฯนั่งเด่นอยู่แถวหน้า

ความจริงหลายคนได้รู้มานานแล้วว่า องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นทางภาคอีสานที่เป็นกากเดนทุนสามานย์ เตรียมการประท้วง ต่อต้าน คสช.ในเรื่องที่มีข่าวว่าจะปฏิรูปการบริหารงานส่วนท้องถิ่น ได้มีการประชุมพูดคุยกันลับๆหลายครั้งแล้ว และบังเอิญมาประจวบกับม.ล.ปนัดดา ดิสกุล เขียนเฟสบุ๊ค ประจานพฤติกรรมใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของผู้บริหารส่วนท้องถิ่นบางราย เลยเข้าทางพวกมัน ขบวนการต่อต้านประสานงานกับสื่อในสังกัดเล่นงาน ม.ล.ปนัดดา กระทบคราดไปถึง คสช.ทันที

ถ้าวิเคราะห์กันให้ดีพบว่า การแต่งชุดดำวันนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ประท้วงม.ล.ปนัดดา แต่เป็นการประท้วงพล.อ.ประยุทธ์ ในวันรับพระบรมราชโองการด้วย ถ้าช่อง 9 กับวิทยุ 101 ของทหารบกเองนั่นแหละ ไม่มีนัยยะแอบแฝง เมื่อเสนอข่าว อบจ.แต่งชุดดำประท้วงในจังหวัดหนึ่ง ทำไมไม่เสนอข่าวที่ อบจ.จังหวัดอื่นๆอีกหลายสิบจังหวัด เช่น ฉะเชิงเทรา สุราษฎร์ธานี และ หลายจังหวัดในภาคใต้ ภาคกลางที่แต่งชุดกากีไปทำงานเป็นปรกติด้วย

ยกตัวอย่างช่อง 9 เพราะตั้งแต่ คสช.ยึดอำนาจ ได้เห็นพฤติกรรมหลายอย่างของทีวีช่องนี้ ที่พยายามดิสเครดิส คสช.และกลุ่มต่อต้านระบอบทักษิณ เช่นวันหนึ่งคนในช่อง 9 ส่งข่าวไปให้หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานข่าวว่า มีทหารคนหนึ่งไปทำลามกใส่ผู้ประกาศข่าวหน้าห้องแต่งตัว ที่ส่งไปให้บางกอกโพสต์เพราะต้องการให้ข่าวนี้แพร่หลายต่อออกไปทั่วโลก หรือวันที่หลวงปู่พุทธอิสระนำมวลชนไปควบคุมหีบบัตรเลือกตั้ง เขตหลักสี่ และนายโกตี๋นำกำลังคนติดอาวุธเข้าทำร้าย จนในที่สุดทหารจากราบ 11 ก็เข้าช่วยแก้สถานการณ์ เหตุการณ์ผ่านไปสามวัน มีคนพูดกันมากเรื่องมือปืนป๊อปคอร์น ทีวีช่อง 9 เชิญฝรั่งขี้นกที่มีเมียเป็นเสื้อแดงและหากินอยู่กับเสื้อแดงมาสัมภาษณ์ออกอากาศ เล่าเหตุการณ์ฉอดๆว่า เห็นคนยิงมาจากฝ่าย กปปส. น่าสงสัยว่านักข่าวช่อง 9 ก็อยู่ในเหตุการณ์ นักข่าวมืออาชีพอีกเป็นร้อยอยู่ในเหตุการณ์ ทำไมช่อง 9 จึงเลือกฝรั่งขี้นกคนนี้มาออกอากาศถ่ายทอดสด ถ้ายังจำกันได้ ช่อง 9 แห่งนี้แหละ ที่อ่านประกาศภาวะฉุกเฉินให้ทักษิณ ชินวัตร ไม่กี่นาทีก่อนทหารนำโดยพลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549

จึงอยากให้ข้อคิดแก่ รัฐบาลชุดใหม่ ที่ต้องนำประเทศไปสู่ความสำเร็จ ในทุกด้าน ตามที่ตั้งปณิธานไว้ ได้พึงสังวรว่า เชื้อร้ายของทุนสามานย์ ที่แพร่กระจายอยู่ในสื่อ และในหมู่เอนจีโอ (ที่รับเงินจากทุนสามานย์) ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ยังคงมีอยู่ดาษดื่น สนามสงครามที่ผ่านมาในชีวิตทหารกว่า 34 ปี ยังเป็นอันตรายน้อยกว่า สื่อชั่วกับเอนจีโอสามานย์ มากมายหลายเท่า

http://www.naewna.com/politic/columnist/14146