กูเกิลปล่อยโฆษณาโปโมต Pixel 9 Pro ตัวใหม่ ชื่อโฆษณาว่า ’22 reasons you should say goodbye to your phone and hello to Pixel9 Pro with Gemini’ นำเสนอถึงปัญหาหรือข้อจำกัดการใช้งานบนมือถือรุ่นเก่า ๆ เพื่อโน้มน้าวว่า หากอัปเกรดมาเป็น Pixel 9 Pro แล้ว ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้จะหมดไป เช่น Zoom Enhance แก้ปัญหาการซูม (ครอป) แล้วภาพแตก, Magic Editor สารพัดเครื่องมือตกแต่งรูปภาพ และ Best Take แก้ปัญหาถ่ายรูปหมู่แล้วมีบางคนไม่มองกล้องหรือหลับตา เป็นต้น
กูเกิลรันข้อความในโฆษณาอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วสูง ให้ผู้ชมกดหยุดวิดีโอแล้วไล่ดูเอาเอง ข้อความทั้งหมดได้แก่
- Wishing your photo had more scenery
- Not capturing the right moment
- The sky not being right
- Photobombers
- Blurry photos
- Concert videos that look too far away
- Awkward photo request to strangers
- Mom never being in the pic
- Your toddler looking everywhere except the camera
- Half the fam looking at the camera
- Spending hours on hold
- Phone calls where you can barely hear the other person
- Screening calls yourself
- So many emails. So little time
- Scrubbing videos for answers
- Writer’s block: Help me write
- The same old memes
- Lost in translation
- Gatekeeping
- Forgetting what restaurant your friend liked
- Forgetting the movie your friend recommended
- Forgetting the show your friend recommended
เมื่อนำทั้ง 22 ข้อความมาถอดความ ทำให้เดาฟีเจอร์บางส่วนของ Pixel 9 Pro ได้ล่วงหน้า แบ่งตามหมวดหมู่ดังนี้
ฟีเจอร์กล้อง การถ่ายภาพ และการแต่งภาพ
- Best Take – เปลี่ยนใบหน้าของคนในภาพ (ในรูปหมู่) ให้ได้จังหวะเป๊ะปังทุกคน
- Magic Editor – เครื่องมือแต่งภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI
- มีพรีเซ็ตให้เปลี่ยนมูดแอนด์โทนของภาพหลากหลายรูปแบบ
- ลบหรือเพิ่มก้อนเมฆ และเปลี่ยนสีท้องฟ้าในภาพได้ดังใจนึก
- ลบคนหรือวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพ
- Unblur – เปลี่ยนภาพเบลอให้เป็นภาพชัดในคลิกเดียว
- Zoom Enhance – ใช้พลังแห่ง AI เติมรายละเอียดของพิกเซลที่หายไปขณะขยายหรือครอปภาพ ตามคอนเซปต์ ถ่ายก่อน ซูมทีหลัง
ฟีเจอร์การสนทนาและการสื่อสาร
- Call screen – คัดกรองเบอร์แปลกเบื้องต้นโดยการให้ Google Assistant รับสายแทน หากพบว่าเป็นระบบอัตโนมัติ (มิจฉาชีพ) ระบบจะตัดสายทิ้งให้ แต่ถ้าพบว่าเป็นคนจริง ๆ ก็จะขึ้นข้อความแจ้งแบบคร่าว ๆ ว่าเป็นใคร มาจากไหน โทรมาทำไม
- Clear Calling – ใช้ ML ตัดเสียงรบกวนให้กับเสียงปลายสายขณะคุยโทรศัพท์ เพื่อเพิ่มความคมชัดของเสียงพูด
- Hold for Me – ให้ Google Assistant ถือสายแทน กรณีโทรหาคอลเซนเตอร์หรือหน่วยงานต่าง ๆ แล้วต้องรอสายจากพนักงานเป็นเวลานาน โดยระบบจะแจ้งเตือนให้ทราบผ่านเสียง การสั่น และป๊อปอัป เมื่อมีพนักงานรับสายแล้ว
- Live Translate – ถอดเสียงเป็นข้อความ พร้อมแปลภาษาแบบเรียลไทม์
- RCS – โปรโตคอลรับส่งข้อความมาตรฐานใหม่ที่ทันสมัยกว่า ปลอดภัยกว่า SMS แบบเดิม ๆ รองรับฟีเจอร์หลายอย่างในลักษณะเดียวกับแอปแช็ตยุคปัจจุบัน และที่สำคัญคือ ส่งข้อความหากันโดยไม่มีค่าใช้จ่าย (ผ่านอินเทอร์เน็ต)
ฟีเจอร์ Gemini
- Ask this video – ฟีเจอร์ตอบคำถามจากเนื้อหาในวิดีโอ โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียเวลาดูวิดีโอด้วยตนเอง
- Image generation – ฟีเจอร์เจนฯ ภาพแบบ text-to-image
- Summarize – ฟีเจอร์สรุปเนื้อหาจากข้อความ เอกสาร เว็บไซต์ โน้ต หรืออื่น ๆ
บอกใบ้ฟีเจอร์ใหม่ Google AI
นอกเหนือจากฟีเจอร์ที่กล่าวมา จุดน่าสนใจอยู่ตรง 2 ข้อแรก กับ 3 ข้อสุดท้าย ที่ดันไปตรงกับฟีเจอร์ใหม่ของ Google AI ที่หลุดออกมา 3 อย่าง คือ ‘Studio’, ‘Add Me’ และ ‘Screenshots’ ตามลำดับ โดยคาดว่า Studio จะเป็นเครื่องมือเจนฯ ภาพแบบใหม่ที่แยกออกมาจาก Gemini ให้ใช้งานได้ถนัดขึ้น สะดวกขึ้น ส่วน Add Me อาจเป็นการเติมภาพคน (ที่ไม่ได้อยู่ในรูป) ลงไปในรูปหมู่
และสุดท้าย Screenshots เป็นการใช้ AI จัดทำดัชนีข้อมูลจากภาพหน้าจอที่บันทึกไว้ ให้รองรับการค้นหาย้อนหลัง โดยตัวอย่างที่กูเกิลยกมาคือ ค้นหาว่า เพื่อนของเราชอบกินอาหารที่ร้านไหน ชอบดูหนัง หรือชอบดูรายการอะไร สื่อให้เห็นว่า AI วิเคราะห์ข้อมูลจากข้อความในแช็ตที่แคปมา
ทั้งนี้ บางฟีเจอร์ที่ระบุข้างต้นยังเปิดใช้งานแบบจำกัดเฉพาะบางภาษา หรือจำกัดเฉพาะบางประเทศเท่านั้น ด้วยเหตุผลด้านกฎหมาย ความพร้อมใช้งาน หรืออื่น ๆ เช่นฟีเจอร์ Hold for Me ที่ยังไม่รองรับภาษาไทย
ที่มา : Google
Comment