ในยุคที่ AI ค่อย ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน หลายคนอาจเคยลองใช้มันไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT ของ OpenAI หรือ Gemini ของ Google ที่ช่วยตอบคำถาม คิดไอเดีย หรือเขียนข้อความแทนเรา แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่คุ้นเคยนัก เห็นคนพูดถึงแล้วก็ยังงง ๆ ว่าใช้ทำอะไรได้บ้าง
สิ่งที่กำลังได้รับความนิยมมากที่สุดตอนนี้คือ AI Chatbot หรือผู้ช่วยสนทนาอัจฉริยะ ที่ออกแบบมาให้พูดคุยกับเราได้เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง ใช้งานง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานเทคนิคก็เริ่มต้นได้ทันที ส่วนใครที่มีประสบการณ์หรือรู้จัก AI ดีอยู่แล้ว ก็อาจมองว่านี่คือพื้นฐาน แต่บทความนี้ตั้งใจทำให้เป็น คู่มือเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ ที่อยากลองเลือก AI มาใช้สักตัว โดยไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เข้าใจศัพท์ยาก ๆ
เราจะพาไปทำความรู้จักกับ 8 AI Chatbot ที่ฮิตที่สุดในตอนนี้ แต่ละตัวทำอะไรได้บ้าง เริ่มต้นกับตัวไหนดี บางตัวเหมาะกับการหาข้อมูล บางตัวเก่งเรื่องเขียนโค้ด บางตัวช่วยทำงานเอกสารหรือสร้างคอนเทนต์ได้ดี บทความนี้จะสรุปให้เข้าใจง่าย เพื่อให้เลือกได้ว่าตัวไหนเหมาะกับการใช้งานของตัวเอง และจะได้ไม่หลงไปเสียเงินโดยที่ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรจริง ๆ

AI Chatbot คืออะไร
Chatbot คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถโต้ตอบการสนทนาด้วยข้อความแบบอัตโนมัติผ่าน Messaging Application หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เสมือนการพูดคุยกับคนจริง ๆ หลายคนจึงเรียกง่าย ๆ ว่า “โปรแกรมตอบกลับอัตโนมัติ” ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจนิยมใช้ในการสื่อสารกับลูกค้าแบบเรียลไทม์
การทำงานของ Chatbot
วิธีเลือกข้อความตอบกลับของ Chatbot ขึ้นอยู่กับประเภทของมัน เช่น
- Rule-based Chatbot ใช้ฐานข้อมูล (Database) เก็บคำถาม–คำตอบไว้ล่วงหน้า จากนั้นตรวจจับ Keyword ที่ผู้ใช้พิมพ์มา แล้วเลือกคำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดส่งกลับไป วิธีนี้เหมาะกับงาน FAQ หรือคำถามซ้ำ ๆ แต่จะตอบได้จำกัด ไม่ยืดหยุ่นมากนัก
- AI Chatbot ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) มาช่วย ทำให้เข้าใจเจตนาของผู้ใช้ได้ลึกกว่า โต้ตอบเป็นธรรมชาติมากขึ้น และสามารถ “เรียนรู้” จากข้อมูลใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาคำตอบได้เรื่อย ๆ แม้จะต้องลงทุนพัฒนาสูงกว่า แต่ให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า

จาก Chatbot สู่ AI Chatbot
ในปัจจุบัน Chatbot ไม่ได้เป็นเพียงแค่ “ผู้ช่วยอัตโนมัติ” อีกต่อไป แต่ถูกพัฒนาเป็น AI Chatbot ที่มีความฉลาดยิ่งขึ้น สามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ดีกว่าเดิม ตอบคำถามซับซ้อนได้ และทำงานร่วมกับระบบต่าง ๆ เช่น CRM หรือแพลตฟอร์มบริการลูกค้าอย่าง LINE OA, Facebook Messenger, WhatsApp รวมถึงเว็บไซต์ของธุรกิจ เพื่อให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
แม้ AI Chatbot จะยังไม่สามารถแทนมนุษย์ได้ทั้งหมด แต่ก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดภาระงานซ้ำ ๆ เสริมประสิทธิภาพการบริการ และทำให้ธุรกิจสามารถตอบสนองลูกค้าได้ทันสมัย รวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น
รายชื่อ 8 Chatbot ยอดนิยม ใช้งานฟรี
1. ChatGPT (OpenAI)
ChatGPT คือชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงเมื่อพูดถึง AI Chatbot เพราะเป็นผู้จุดกระแสให้ AI โด่งดังไปทั่วโลก และยังคงครองความนิยมสูงสุดมาจนถึงปัจจุบัน จุดเด่นคือความสามารถรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการถาม–ตอบทั่วไป การเขียนเนื้อหา สรุปข้อมูล ไปจนถึงช่วยเขียนโปรแกรม จึงเหมาะทั้งสำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่อยากได้ผู้ช่วย และคนทำงานที่ต้องการเครื่องมือจริงจังมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
ในเวอร์ชันล่าสุด OpenAI ได้เปิดตัว GPT-5 ซึ่งกลายเป็นโมเดลเริ่มต้นใหม่แทน GPT-4o และรุ่นก่อนหน้า จุดเด่นคือการเป็น “ระบบรวม” ที่มีทั้งโมเดลตอบเร็วสำหรับคำถามทั่วไป และ GPT-5 Thinking สำหรับคำถามยาก ๆ ที่ต้องการการวิเคราะห์ลึก โดยมี Router ช่วยเลือกโมเดลให้อัตโนมัติตามความซับซ้อนของคำถาม ช่วยลดปัญหาคำตอบผิดหรือการเออออโดยไร้เหตุผลเหมือนที่เจอในเวอร์ชันเก่า ๆ

ในเวอร์ชันฟรี ผู้ใช้สามารถเข้าถึง GPT-5 ได้ แต่มีโควต้าแบบจำกัด หากใช้งานครบ ระบบจะสลับไปใช้ GPT-5 mini ซึ่งตอบได้เร็วและครอบคลุมงานทั่วไป แต่ไม่สามารถเลือกเปลี่ยนโมเดลเองได้ หากต้องการใช้งาน GPT-5 แบบเต็มกำลัง จะต้องสมัคร ChatGPT Plus (ประมาณ 20 ดอลลาร์/เดือน หรือราว 700 บาท) ที่ให้โควต้าเยอะขึ้น ส่วนใครที่ใช้งานหนักและอยากได้ฟีเจอร์ขั้นสูงกว่านั้น ก็สามารถเลือกแพ็กเกจ ChatGPT Pro (ประมาณ 200 ดอลลาร์/เดือน หรือราว 7000 บาท) ที่รองรับงานซับซ้อนมากขึ้นและได้สิทธิ์เข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ ๆ ก่อนใคร
อีกหนึ่งความสามารถที่น่าสนใจคือ ChatGPT ตอนนี้รองรับ ปลั๊กอินและส่วนขยาย มากมาย เช่น การสร้างภาพด้วย DALL-E หรือการเชื่อมต่อเข้ากับ Canva และ Google รวมถึงการปรับแต่งบุคลิกการตอบได้ถึง 4 แบบ (Cynic, Robot, Listener, Nerd) ให้เลือกสไตล์ที่ตรงใจผู้ใช้มากขึ้น แถมยังเปลี่ยนสีห้องแชทได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตยังคงมี เช่น ภาษาไทยที่แม้พัฒนาขึ้นมากแต่ยังไม่เป็นธรรมชาติเท่าภาษาอังกฤษ และผู้ใช้ฟรีก็ยังติดข้อจำกัดเรื่องโควต้า รวมถึงบางฟีเจอร์ขั้นสูงต้องจ่ายเงินเพิ่ม
โดยรวมแล้ว ChatGPT ถือเป็นแชทบอทที่ “ครบเครื่อง” และก้าวล้ำขึ้นมากกับการมาของ GPT-5 เหมาะทั้งสำหรับผู้เริ่มต้นที่อยากลองใช้ AI และผู้ใช้จริงจังที่ต้องการผู้ช่วยที่ฉลาดยิ่งขึ้น พร้อมเลือกแพ็กเกจที่เหมาะกับปริมาณการใช้งานของตัวเอง ไม่ว่าจะฟรี, Plus หรือจัดเต็มด้วย Pro
2. Gemini (Google)
Gemini คือ AI จาก Google ที่มีจุดเด่นคือการผสานเข้ากับบริการของ Google โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น Search, Gmail, Docs ไปจนถึงสมาร์ตโฟน Android หลายรุ่น (รวมถึง Galaxy AI) ทำให้ผู้ใช้เข้าถึง Gemini ได้สะดวกและใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งอะไรเพิ่ม
สิ่งที่ทำให้ Gemini น่าสนใจคือความสามารถแบบมัลติโหมด สามารถเข้าใจได้ทั้งข้อความ ภาพ เสียง และวิดีโอ ล่าสุดในงาน Google I/O 2025 ก็มีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Gemini Live ที่ให้ผู้ใช้แชร์กล้องหรือหน้าจอเพื่อให้ AI ช่วยวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ และ AI Mode บน Google Search ที่ถามต่อได้ทันทีเหมือนคุยกับผู้ช่วยส่วนตัว รวมถึงโมเดลใหม่ Gemini 2.5 ที่แยกเป็นรุ่น Flash (เร็วและคุ้มค่า) และ Pro (ฉลาดขึ้นด้านการคิดวิเคราะห์) ซึ่งกำลังทยอยเปิดให้ใช้งาน

อีกหนึ่งความน่าสนใจคือเรื่อง “ความคุ้มค่า” เพราะแพ็กเกจเสียเงินของ Gemini ไม่ได้ให้แค่ AI อย่างเดียว แต่ยังรวมบริการของ Google เข้ามา เช่น Google Drive ความจุ 2TB หรือแม้แต่ YouTube Premium โดย Google เปิดเผยข้อมูลโควต้าอย่างเป็นทางการแล้ว เช่น ผู้ใช้ฟรีจะเข้าถึง Gemini 2.5 Flash ได้แบบไม่จำกัด และใช้ Gemini 2.5 Pro ได้ 5 ครั้งต่อวัน ขณะที่แพ็กเกจ AI Pro (ประมาณ 750 บาท/เดือน) ให้ใช้ Pro ได้ถึง 100 ครั้งต่อวัน พร้อมฟีเจอร์เสริมอย่าง Deep Research และพื้นที่เก็บข้อมูล 2TB ส่วนแพ็กเกจ AI Ultra (9,400 บาท/เดือน) เปิดการใช้งานเต็มรูปแบบ ทั้งการสร้างรูปภาพ 1,000 รูป/วัน วิดีโอ 5 คลิป/วัน พร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลสูงสุด 30TB และสิทธิ์เข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ก่อนใคร

อย่างไรก็ดี Gemini ก็ยังมีข้อสังเกต อย่างฟีเจอร์ใหม่ ๆ บางอย่างยังเปิดให้ใช้งานไม่ครบทุกคน โดยเฉพาะเวอร์ชันฟรีที่มีข้อจำกัดเรื่องความสามารถและไม่สามารถเลือกเปลี่ยนโมเดลได้เอง ส่วนฟีเจอร์ขั้นสูง เช่น การสร้างภาพและวิดีโอคุณภาพสูง หรือการแปลเสียงแบบเรียลไทม์ใน Meet จะต้องสมัครแพ็กเกจเพิ่ม
โดยรวมแล้ว Gemini ถือเป็น AI ที่พาเทคโนโลยีของ Google ออกมาสู่การใช้งานจริงได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับคนที่อยู่ใน Ecosystem ของ Google อยู่แล้ว และอยากได้ผู้ช่วยที่ทำงานได้รอบด้าน ใช้งานง่าย และคุ้มค่า เพราะได้ทั้งบริการ AI และสิทธิประโยชน์เสริมอื่น ๆ ในแพ็กเกจเดียว
3. Copilot (Microsoft)
มาถึง AI ที่ผู้ใช้ Windows รู้จักกันมากที่สุดอย่าง Copilot แชตบอทจาก Microsoft ที่ถูกฝังมาให้ใน Windows ทุกเครื่อง ใช้งานได้ฟรีตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก จุดแข็งคือความสะดวกและการเชื่อมต่อกับแอปและบริการในตระกูล Microsoft 365 ได้อย่างแนบแน่น ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel, PowerPoint, Outlook หรือ Teams ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสลับหน้าต่างไปมา แต่สามารถให้ Copilot ช่วยสรุปเอกสาร สร้างสไลด์ วิเคราะห์ข้อมูล หรือตอบอีเมลได้ตรงในที่เดียว

แต่หลายคนยังมองว่า Copilot เป็น “มวยรอง” เมื่อเทียบกับ ChatGPT และ Gemini เพราะส่วนใหญ่หยิบยืมโมเดลจาก OpenAI มาปรับใช้ ไม่ได้พัฒนาเองทั้งหมด ทำให้ในช่วงแรกประสิทธิภาพด้านการสนทนาและความฉลาดรอบด้านยังไม่เทียบเท่าคู่แข่งโดยตรง
แต่ปัจจุบัน Copilot ได้พัฒนาเร็วขึ้นมาก ด้วยการใช้ GPT-5 และ Smart Mode ที่เลือกโมเดลให้เหมาะกับงานโดยอัตโนมัติ รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Copilot Vision ที่มองเห็นและเข้าใจสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ, Copilot Memory ที่จดจำข้อมูลเฉพาะของผู้ใช้เพื่อให้คำตอบตรงขึ้น, Copilot Actions ที่สั่งทำงานข้ามแอปภายนอกได้ และ Copilot Pages สำหรับจัดการคอนเทนต์ร่วมกันในทีม จนทำให้การใช้งานจริงทรงพลังขึ้นมากและแทบจะไล่ทันเจ้าอื่นได้แล้ว

ด้านรูปแบบการใช้งาน หากใช้แบบฟรีก็จะได้ฟีเจอร์พื้นฐานที่เพียงพอสำหรับงานทั่วไป แต่ถ้าเป็น Microsoft 365 Copilot รุ่นเสียเงิน ก็จะเชื่อมต่อกับข้อมูลงานโดยตรง (อีเมล เอกสาร การประชุม) เพื่อให้คำตอบแม่นยำและเฉพาะตัวมากขึ้น พร้อมระบบจัดการด้านความปลอดภัยและสิทธิ์เข้าถึงที่เหมาะกับการใช้งานในระดับองค์กร
โดยรวม Copilot จึงเป็นตัวเลือกที่ “เปิดแล้วใช้ได้ทันที” ครอบคลุมทั้งการทำงานส่วนตัวและการทำงานร่วมกันในองค์กร เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้ Windows และคนที่อยู่ในอีโคซิสเต็ม Microsoft อยู่แล้ว
4. Grok (xAI)
ช่วงหลังมานี้ Grok ถูกพูดถึงมากขึ้น เพราะเป็นแชตบอทจากค่าย xAI ของ Elon Musk ที่มาทีหลังแต่คาแรกเตอร์ชัด ตอบตรง มีอารมณ์ขัน แซบนิด ๆ ต่างจากสไตล์สุภาพปลอดภัยของคู่แข่ง จุดตั้งต้นของชื่อ “Grok” มาจากนิยายไซไฟ Stranger in a Strange Land แปลว่า “เข้าใจอย่างลึกซึ้ง” ซึ่งก็สะท้อนแนวคิดของโมเดลนี้ได้ดี

จุดเด่นของ Grok คือการเข้าถึงที่ง่ายผ่านแพลตฟอร์ม X (Twitter) และเว็บไซต์/แอปพลิเคชัน Grok โดยให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์จากทั้งเว็บและโพสต์บน X ทำให้สามารถติดตามกระแส ข่าว และเทรนด์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สำหรับรุ่นล่าสุด Grok 4 และ Grok 4 Heavy ได้เพิ่มความสามารถด้านเหตุผลและบริบทให้ดีขึ้น พร้อมฟีเจอร์เด่นอย่าง DeepSearch ที่สามารถค้นคว้าและสรุปข้อมูลเชิงลึกได้ และฟีเจอร์ Think ที่ช่วยให้ AI แยกแยะปัญหาและให้เหตุผลก่อนตอบ นอกจากนี้ยังรองรับการสร้างภาพผ่านโมเดล Aurora และสามารถอัปโหลดไฟล์หลากหลายชนิด (PDF, CSV, Excel, รูปภาพ ฯลฯ) เพื่อวิเคราะห์ สรุป หรือใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้
นอกจากความสามารถด้านข้อมูลแล้ว Grok ยังมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครคือ โหมด Companion ซึ่งให้ผู้ใช้มี “เพื่อนคุยเสมือนจริง” ผ่านอวตารน่ารักๆ อย่าง Ani สาวน้อยสไตล์อนิเมะที่มีเสียงและเพลงประกอบ หรือ Rudy แพนด้าแดงจอมกวน ฟีเจอร์นี้ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนกำลังคุยกับตัวละครในเกมมากกว่าแชตบอททั่วไป จนกลายเป็นกระแสไวรัลและทำให้ Grok ถูกพูดถึงอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม Grok ก็มีข้อจำกัดบางประการ จุดแข็งของมันคือข้อมูลที่ “สดใหม่” และการสรุปประเด็นจาก X แต่สำหรับงานที่ต้องลงลึกหลายมิติ หรืองานสร้างสรรค์ที่ต้องใช้ความหลากหลาย เช่น การวางโครงบทความหรือการเขียนโค้ดซับซ้อน ChatGPT ยังคงทำได้ดีกว่าในหลายๆ กรณี แม้ภาษาไทยใน Grok 4 จะพัฒนาขึ้น แต่ก็ยังไม่เป็นธรรมชาติเท่าภาษาอังกฤษในบางสถานการณ์
โดยสรุปแล้ว ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้ X เป็นประจำและต้องการตามข่าวหรือเทรนด์แบบเรียลไทม์พร้อมสรุปประเด็นจากหลายแหล่งในทันที Grok เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นมาก และด้วยเวอร์ชัน Grok 4 ที่ยกระดับความสามารถด้านเหตุผลและงานเทคนิคขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้มันเป็นอีกหนึ่ง AI ที่น่าจับตามองในปัจจุบัน
5. Claude (Anthropic)
หากพูดถึง AI Chatbot หลายคนน่าจะนึกถึง ChatGPT หรือ Gemini กันแน่นอน แต่ก็มีอีกหนึ่งตัวที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ Claude แชตบอทจากบริษัท Anthropic ที่ก่อตั้งโดยอดีตทีมงาน OpenAI จุดเด่นของ Claude คือโทนการตอบที่สุภาพ ใช้เหตุผลเก่ง เข้าใจเอกสารยาว ๆ ได้ดี และให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัย” ของเนื้อหามากกว่าหลายเจ้า จึงถูกมองว่าเหมาะทั้งสำหรับนักเรียน นักวิจัย คนทำงานเอกสาร ไปจนถึงนักพัฒนาซอฟต์แวร์
ล่าสุด Claude เพิ่งอัปเกรดครั้งใหญ่เป็น Claude 4 ที่แบ่งออกเป็นสองรุ่นหลักคือ Sonnet 4 ที่เน้นความเร็วและความสมดุล กับ Opus 4 ที่ฉลาดที่สุด เหมาะกับงานที่ซับซ้อนอย่างการเขียนโค้ด การวางแผน หรือให้ AI ทำงานต่อเนื่องหลายขั้นตอนแทนคนได้ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ “Extended Thinking” ที่ให้ Claude ค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตหรือใช้เครื่องมือเสริมก่อนสรุปคำตอบ ทำให้แม่นยำขึ้นมากในการรับมือโจทย์ยาก ๆ

สายโปรแกรมเมอร์ก็มีของเล่นใหม่อย่าง Claude Code ที่ใช้เป็นตัวช่วยเขียนและแก้โค้ดในโปรแกรมยอดนิยมอย่าง VS Code และ JetBrains ได้โดยตรง เสริมด้วยเครื่องมือสำหรับสร้าง Agent หรือระบบอัตโนมัติภายในองค์กร ช่วยลดงานซ้ำซ้อนและเร่งการทำงานเป็นทีมได้จริง
การใช้งานมีทั้งแบบฟรีและเสียเงิน ถ้าใช้ฟรีจะได้รุ่น Sonnet 4 ที่เพียงพอสำหรับงานทั่วไป แต่ถ้าอยากได้โควตาเยอะขึ้นและฟีเจอร์เสริม เช่น Extended Thinking หรือการเชื่อมต่อกับ Google Workspace ก็มีแพ็กเกจ Pro เดือนละ 20 ดอลลาร์ ส่วนใครที่ใช้งานหนัก ๆ ก็มีแพ็กเกจ Max เดือนละ 100 ดอลลาร์ให้เลือกด้วย

อย่างไรก็ดี Claude ก็ยังมีข้อจำกัดเหมือน AI ตัวอื่น ๆ เช่น บางครั้งอาจสรุปผิดพลาด หรือฟีเจอร์บางอย่างยังทยอยปล่อยเฉพาะบางประเทศ แต่โดยรวม Claude รุ่นใหม่ถือว่าพร้อมใช้งานจริงเต็มที่ เหมาะกับคนที่อยากได้ AI ผู้ช่วยที่เก่งเรื่องเอกสาร ย่อยข้อมูลยาว ๆ ได้ดี และยังเชื่อถือได้ในด้านความปลอดภัยเชิงจริยธรรม
6. Perplexity (Perplexity)
ถ้าพูดถึง AI ที่กำลังถูกจับตามองมากที่สุดตอนนี้ นอกจาก ChatGPT หรือ Gemini แล้ว อีกชื่อหนึ่งที่เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ Perplexity AI เพราะมันไม่ใช่แค่แชตบอทคุยเล่น แต่ถูกออกแบบมาเป็น “AI Search” หรือเสิร์ชเอนจินยุคใหม่ที่ตอบคำถามได้ตรงประเด็นกว่า Google แถมยังอ้างอิงแหล่งข้อมูลให้ตรวจสอบได้ทันที หนึ่งในจุดเด่นนี้เองยังถูกมองว่าเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ ที่ทำให้เจ้าตลาดรายใหญ่อย่าง ChatGPT และ Gemini ต้องรีบพัฒนาฟีเจอร์ Web Search ออกมาแข่ง เพื่อไม่ให้ผู้ใช้ย้ายไปหาคำตอบกับ Perplexity กันหมด
โดยจุดเริ่มต้นของ Perplexity มาจากทีมงานอดีตนักวิจัยจาก OpenAI, Meta และ Databricks โดยมี Aravind Srinivas เป็น CEO และได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนจากคนดังอย่าง Jeff Bezos (ผู้ก่อตั้ง Amazon) และ Susan Wojcicki (อดีต CEO YouTube) อีกด้วย

สิ่งที่ทำให้ Perplexity แตกต่างคือ วิธีหาคำตอบที่ไม่อิงแค่คีย์เวิร์ด แบบเสิร์ชเอนจินทั่วไป แต่จะใช้โมเดลภาษา (LLM) ผสมกับการค้นหาเว็บสด ๆ แล้วสรุปออกมาเป็นคำตอบสั้น กระชับ พร้อมลิงก์อ้างอิงให้ผู้ใช้ตรวจสอบได้ทันที เวลาอยากหาข้อมูล ไม่ต้องเสียเวลาเปิดทีละเว็บเหมือนเดิม เหมาะมากสำหรับงานวิจัย งานเขียน หรือแม้แต่หาข้อมูลทั่วไปในชีวิตประจำวัน
Perplexity ยังรองรับฟีเจอร์อย่างการสรุปเอกสาร PDF, ตอบคำถามจากคลิป YouTube, ค้นหาด้วยภาพ, ใช้งานผ่านมือถือ และมีโหมด Copilot ที่ทำงานคล้ายผู้ช่วยส่วนตัว คอยถามกลับและช่วยขุดหาคำตอบให้ลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ข้อมูลที่ตรงใจ จุดนี้ทำให้หลายคนเริ่มมองว่า Perplexity ไม่ได้เป็นแค่คู่แข่ง Google แต่คือเครื่องมือใหม่สำหรับการค้นคว้าที่จริงจังยิ่งกว่า

ส่วนการใช้งานก็มีทั้ง ฟรี และ Pro แบบเสียเงิน (ประมาณ 20 ดอลลาร์/เดือน หรือราว 700 บาท) โดยเวอร์ชัน Pro จะได้โควต้าค้นหามากขึ้น เลือกโมเดลได้ เช่น GPT-4, Claude หรือโมเดลของ Perplexity เอง และได้ฟีเจอร์ขั้นสูงอย่างการวิเคราะห์เชิงลึกหรือค้นหาแบบไม่จำกัด
แม้จะยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เช่น ภาษาไทยที่ยังไม่ลื่นไหลเท่าภาษาอังกฤษ หรือข้อมูลบางอย่างที่ต้องตรวจสอบซ้ำ แต่โดยรวมแล้ว Perplexity ถือเป็น AI Search ที่กำลังมาแรงที่สุดในตอนนี้ หลายสื่อถึงขั้นบอกว่ามันคือ “Google แบบใหม่” ที่ตอบตรงใจและลดเวลาค้นหาได้มหาศาล
7. DeepSeek (DeepSeek)
ถ้าพูดถึงผู้เล่นหน้าใหม่ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการ AI ทั่วโลก ชื่อที่ต้องพูดถึงคือ DeepSeek สตาร์ตอัปจากเมืองหางโจว ประเทศจีน ก่อตั้งปี 2023 โดย Liang Wenfeng ผู้จัดการกองทุน High-Flyer จุดเด่นคือการทำ “โมเดลประสิทธิภาพสูงในต้นทุนต่ำ” ซึ่งสวนทางกับภาพจำว่าใครอยากพัฒนา AI เก่ง ๆ ต้องใช้เงินมหาศาลและทรัพยากรล้น ๆ
DeepSeek เริ่มเป็นที่รู้จักจากการปล่อย DeepSeek Coder โมเดลโอเพ่นซอร์สสำหรับเขียนโค้ด จากนั้นต่อยอดสู่ DeepSeek LLM, V2, V3 จนถึงตัวล่าสุด DeepSeek-R1 ที่เปิดตัวต้นปี 2025 และถูกยกให้เป็นคู่แข่งตรงกับโมเดล reasoning อย่าง OpenAI o1 จุดขายคือ “คิดเป็นขั้นเป็นตอน” ใช้สถาปัตยกรรมผสม (Hybrid) และเทคนิคอย่าง Mixture-of-Experts (MoE) กับ Multi-head Latent Attention (MLA) ทำให้แก้โจทย์คณิตศาสตร์และตรรกะซับซ้อนได้ดี แถมยังใช้ทรัพยากรน้อยกว่าคู่แข่งหลายเท่า

สิ่งที่ทำให้ DeepSeek ถูกจับตาคือ ต้นทุนต่ำแต่คุณภาพสูง บริษัทเผยว่าฝึก R1 ใช้เงินเพียง 5.6 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่บริษัทอเมริกามักใช้หลายร้อยล้านถึงพันล้าน ผลที่ตามมาคือ API ของ DeepSeek ตั้งราคาถูกกว่าตลาดเป็นสิบเท่า (input token เพียง $0.55 เทียบกับ $15 ของ OpenAI) จนถูกมองว่าเป็น “รถสปอร์ตที่ทั้งแรงและประหยัดน้ำมัน” เหมาะทั้งบริษัทเล็กและนักพัฒนาที่อยากเข้าถึง AI ขั้นสูงในงบจำกัด
อีกจุดแข็งคือแนวคิดแบบ โอเพ่นซอร์ส เปิดโมเดลให้ดาวน์โหลดและต่อยอดได้ ต่างจากฝั่งสหรัฐที่เน้นระบบปิด ทำให้นักวิจัยทั่วโลกเข้ามาช่วยพัฒนา ผลงานจึงเดินหน้าเร็วแม้ทีมงานมีไม่ถึง 200 คน และทรัพยากรจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น DeepSeek ยังหาทางเลี่ยงข้อจำกัดชิปสหรัฐ โดยร่วมมือกับ AMD ใช้ GPU Instinct และซอฟต์แวร์ ROCm ที่ไม่ถูกแบน ซึ่งช่วยรักษาความต่อเนื่องในการพัฒนา

ด้านการใช้งานจริง โดยเฉพาะภาษาไทยต้องบอกว่า “ยังไม่แนะนำ” เพราะ DeepSeek ยังไม่เก่งพอ หลายครั้งเจอการแปลผิดเพี้ยน จับบริบทไม่ตรง หรือบางทีมีภาษาจีนปนเข้ามาในคำตอบแบบงง ๆ ทำให้อ่านแล้วไม่ลื่น ไม่เหมาะจะใช้จริงจังในตอนนี้ ถ้าจะลองเล่นหรือทดสอบ ควรใช้กับภาษาอังกฤษจะได้ประสบการณ์ที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายก็ยังมี ทั้งเรื่องความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัยของข้อมูล การถูกมองว่าอาจมีการเซ็นเซอร์ตามนโยบายจีน และแรงกดดันจากคู่แข่งที่มีทรัพยากรระดับยักษ์ใหญ่ แต่ความสำเร็จที่ทำได้ในเวลาเพียง 2 ปี ก็กระตุกวงการให้ต้องหันมาทบทวนว่า AI ที่เก่ง ไม่จำเป็นต้องแพงเสมอไป
วันนี้ DeepSeek จึงไม่ใช่แค่ “มวยรองจากจีน” แต่กลายเป็นผู้ท้าชิงตัวจริง ที่บังคับให้สหรัฐและบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องเร่งปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งราคาและวิธีพัฒนา
8. Meta AI (Meta)
ถ้าใครเล่น Facebook หรือ Instagram ช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นเจอ Meta AI โผล่มาเกือบทุกที่ ทั้งในแถบค้นหา ฟีดข่าว หรือแม้แต่ในกลุ่มแชต เรียกได้ว่า Meta ดันออกมาเต็มที่จนหลายคนเข้าใจว่าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ แต่ในความจริง Meta อยู่ในวงการ AI มานานแล้ว และยังเป็นหนึ่งในหัวหอกสำคัญด้วย เพียงแต่ก่อนหน้านี้ยังไม่มีแชตบอทให้ใช้งานตรง ๆ จุดเด่นที่ทำให้ Meta ต่างจากเจ้าอื่นคือการพัฒนาโมเดล Llama ที่เปิดเป็นโอเพ่นซอร์ส ใครก็สามารถดาวน์โหลดไปใช้ได้ฟรี ไม่ว่าจะเพื่อการเรียนรู้ การวิจัย หรือการต่อยอดสร้าง AI ของตัวเอง ซึ่งถือเป็นการช่วยผลักดันวงการ AI ให้เติบโตอย่างเปิดกว้าง ไม่ถูกจำกัดอยู่แค่บริษัทใหญ่ไม่กี่ราย
Meta AI ที่เราเห็นทุกวันนี้คือผู้ช่วยอัจฉริยะที่ถูกฝังอยู่ในทุกแอปในตระกูล Facebook ทั้ง Facebook, Instagram, Messenger และ WhatsApp รวมถึงหน้าเว็บ meta.ai จุดแข็งคือทำงานได้เหมือนแชตบอททั่วไป คุยถาม-ตอบได้ ค้นเว็บได้ (ดึงข้อมูลจาก Bing/Google)

สรุปเนื้อหา และสร้างภาพได้แบบเรียลไทม์เพิ่มคำในประโยคเมื่อไหร่ ภาพก็เปลี่ยนตามทันที แถมยังเปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็น GIF ได้ เวลาเลื่อนฟีด Facebook ก็จะเจอไอคอน Meta AI ใต้โพสต์ กดเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพสต์นั้นได้เลย หรือในกลุ่มแชตก็พิมพ์ @MetaAI เรียกมาเป็นเพื่อนคุยได้ทันที
นอกจากนี้ Meta AI ผู้ช่วยอัจฉริยะของ Meta ที่ฝังอยู่ใน WhatsApp, Messenger และ Instagram ก็ได้รับการอัปเดตไปใช้ Llama 4 แล้วในกว่า 40 ประเทศ แม้ฟีเจอร์ Multimodal จะยังเปิดเฉพาะในสหรัฐฯ ช่วงแรก แต่ก็สะท้อนทิศทางที่ Meta ตั้งใจผลักดัน AI ให้ครบเครื่องยิ่งขึ้น

เบื้องหลังระบบนี้คือโมเดลตระกูล Llama ที่ล่าสุดอัปเกรดเป็น Llama 4 ที่เปิดให้ใช้งานแล้วจริง จุดเด่นของ Llama 4 คือความฉลาดที่เพิ่มขึ้น ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่ากว่าเดิมด้วยสถาปัตยกรรม Mixture-of-Experts และยังคงจุดยืนแบบโอเพ่นซอร์ส ใครก็สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชันเล็กไปลองรันบนเครื่องได้เอง หรือนักพัฒนาจะนำไปต่อยอดสร้างแอปและบริการใหม่ ๆ ก็ทำได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ใช้ทั่วไป ฟีเจอร์ก็หลากหลาย ตั้งแต่สรุปบทความหรือโพสต์ยาว ๆ ให้กระชับ ค้นหาข้อมูลพร้อมอ้างอิง ไปจนถึงช่วยหาสูตรอาหาร วางแผนทริป ทำการบ้าน หรือสร้างไอเดียคอนเทนต์พร้อมภาพประกอบแบบทันที
ตอนนี้ Meta AI เปิดให้ใช้งานจริงแล้วในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยด้วย สามารถลองเล่นได้ทั้งบน Facebook, Instagram, Messenger และ WhatsApp นอกจากนี้ Meta ยังเริ่มทดสอบบนอุปกรณ์ของตัวเองอย่าง Ray-Ban Meta และมีแผนจะขยายไปสู่ Quest ในเร็ว ๆ นี้

สรุปแล้ว โลกของ AI Chatbot ตอนนี้เต็มไปด้วยตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่ละเจ้าก็มีบุคลิกและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป บางตัวเหมาะกับคนทั่วไปที่อยากได้ผู้ช่วยหาข้อมูลหรือสรุปเนื้อหาให้เข้าใจง่าย บางตัวออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์สายโปรแกรมเมอร์และคนทำงานสายเทคโนโลยีโดยเฉพาะ ขณะที่บางเจ้าเน้นให้เป็นเพื่อนคุย คลายเครียด หรือช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ในชีวิตประจำวัน
สิ่งที่อยากชวนให้จำไว้คือ AI ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นและทำงานได้ดีขึ้น การเลือกว่าจะใช้ตัวไหน ไม่ได้มีสูตรตายตัวว่าเจ้าไหนดีที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราอยากได้ผู้ช่วยแบบไหน และจะนำไปใช้กับงานหรือลักษณะการใช้ชีวิตของเราอย่างไร
สำหรับผู้เริ่มต้น อาจลองเลือกจากตัวที่เข้าถึงง่าย ใช้งานฟรี และมีภาษาไทยรองรับก่อน เพื่อให้คุ้นเคยกับการถาม-ตอบหรือสั่งงาน AI แล้วค่อยขยับไปใช้รุ่นโปร หรือทดลองฟีเจอร์ที่ลึกขึ้นทีหลัง ส่วนคนที่เริ่มใช้มาบ้างแล้ว ก็อาจลองเล่นกับหลาย ๆ ตัว เพื่อดูว่าใครตอบโจทย์ที่สุดในงานที่คุณทำ เช่น ถ้าเน้นโค้ดอาจชอบ Claude หรือ Copilot ถ้าเน้นหาข้อมูลสดใหม่อาจถูกใจ Perplexity ถ้าอยากได้ความครบเครื่อง ChatGPT หรือ Gemini ก็ยังเป็นตัวเลือกที่แข็งแรง
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้ตัวไหน AI Chatbot ก็คือ “คู่หูดิจิทัล” ที่พร้อมจะช่วยให้การทำงาน ค้นคว้า หรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันของคุณสะดวกขึ้น เพียงเปิดใจลองใช้ แล้วค่อย ๆ ปรับวิธีถามหรือวิธีใช้งานให้เหมาะกับตัวเอง คุณก็จะเห็นประโยชน์จริง ๆ ของมัน และบางทีอาจกลายเป็นเครื่องมือที่คุณขาดไม่ได้ไปเลยก็ได้
Comment