จะมีใครเหมือนผมบ้างมั้ยที่ติดตามข่าวคราวของอุปกรณ์ VR อย่าง Oculus Rift ตั้งแต่ช่วงประมาณปี 2012 มาตลอด ด้วยความที่อยากเล่นเกมแบบ VR มากๆ แต่ราคาก็แพงเกินเอื้อม รอแล้วรอเล่าราคามันก็ไม่ลงซักที แถมในบ้านเราก็ไม่มีตัวแทนจำหน่ายอีก (HTC Vive พึ่งมีตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งราคาก็ยังแพงอยู่ดี) แต่หลังจากที่ Windows ประกาศพัฒนาและวางจำหน่ายอุปกรณ์ Windows Mixed Reality ที่ราคาไม่สูงเกินไป แถมยังเล่นเกมได้เหมือน Oculus Rift / Vive ทุกประการ หลังจากนั่งหาข้อมูลอยู่ซักพัก ก็ตัดสินใจถอย Acer Windows Mixed Reality มา

Windows Mixed Reality เป็นอุปกรณ์ VR แบบสวมหัวชนิดหนึ่งที่มีความสามารถโดยรวมเหมือนกับ Oculus Rift และ Vive แต่ก็จะมีข้อดีข้อด้อยบางอย่างที่แตกต่างกันออกไปบ้าง ซึ่งตอนนี้ Windows Mixed Reality (ขอเรียกสั้นๆ ว่า WMR) ที่วางจำหน่าย มีอยู่ 6 แบรนด์ด้วยกันคือ Samsung Odyssey, Asus, Lenovo Explorer, HP, Acer และ Dell Visor

ซึ่งแต่ละรุ่นจะมีราคาแตกต่างกันออกไป อยู่ที่ประมาณ 2XX – 499 ดอลลาร์ (ประมาณ 7,110 – 15,839 บาท) ซึ่งความแตกต่างหลักๆ ของแต่ละรุ่นก็คือหน้าจอนี่แหละ โดย WMR รุ่นที่ถือว่าเป็นตัวท็อปเลย ก็คือรุ่นจาก Samsung ที่ใช้หน้าจอแบบ AMOLED (รุ่นอื่นเป็น LCD หมด) และมีองศาในการมองกว้างถึง 110 องศา ส่วนความละเอียดหน้าจอของ Samsung อยู่ที่ 2880 x 1600 ซึ่งเป็น WMR ที่มีความละเอียดมากที่สุดในตลาดตอนนี้แล้ว เพราะรุ่นอื่นจะอยู่ที่ 1440 x 1440 ทั้งหมด

 

ข้อแตกต่างระหว่าง WMR, Oculus Rift และ HTC Vive

Oculus Rift และ Vive เป็นอุปกรณ์ VR แบบสวมหัวที่สามารถใช้งานแบบ Room Scale (Room Scale คือการเคลื่อนไหวภายในเกมได้รอบๆ โดยใช้พื้นที่ในห้องประมาณ 3 x 4 เมตร) ได้โดยต้องใช้งานร่วมกับเซ็นเซอร์ภายนอก ติดตั้งไว้ตามมุมห้องเพื่อจับการเคลื่อนไหวของตัว VR และ Controller ซึ่งการติดตั้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยล่ะ ต้องเดินสายกันวุ่นวายไปหมด แถมถ้าพื้นที่ไม่เอื้ออำนวยก็ต้องซื้อเสาสำหรับวางตัวเซ็นเซอร์เพิ่มเติมอีก และการย้ายเครื่องไปเล่นที่อื่นหลังจากติดตั้งเซ็นเซอร์แล้ว ไม่มีใครอยากทำแน่นอน

วิธีการติดตั้งตัวเซ็นเซอร์ของ Vive

แต่ WMR จะได้เปรียบในเรื่องนี้กว่ามากๆ เนื่องจาก WMR จะใช้กล้อง 2 ตัวที่ติดอยู่ด้านหน้าของอุปกรณ์ VR สวมหัว ในการจับการเคลื่อนไหวของคอนโทรเลอร์และตัวผู้เล่น นั่นหมายความว่าเราไม่ต้องการเซ็นเซอร์อะไรเพิ่มเติมเลย และพื้นที่ในการเล่นจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Room Scale เท่านั้น แต่ WMR สามารถเล่นเกม VR ได้แบบ World Scale หมายความว่าเรามีพื้นที่กว้างเท่าไหร่ ก็สามารถเดินไปได้หมดถ้าหากสายยาวพอ หรือไม่ก็ใช้โน้ตบุ๊คสะพายหลังไว้ก็ได้ (แต่ตอนนี้ยังไม่มีเกม VR ตัวไหนที่รองรับการใช้งานพื้นที่กว้างขนาดนี้) แถมการใช้งานก็มีแค่ตัว VR สวมหัว และ Controller 2 อันเท่านั้นเอง ซึ่งเราสามารถเอาไปเสียบเล่นกับ PC หรือโน้ตบุ๊คที่ไหนก็ได้ เพราะมีอุปกรณ์แค่ 3 อย่าง และไม่ต้องเดินสายด้วย

แต่ก็ใช่ว่า WMR จะไม่มีข้อเสียเลยซะทีเดียวนะ เพราะการที่มันใช้กล้องหน้าเพื่อจับการเคลื่อนไหวของ Controller เนี่ย ทำให้มันเกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อยเมื่อมือของเราออกไปนอกระยะการมองเห็นของกล้องหน้า ทำให้คอนโทรลเลอร์อยู่ในตำแหน่งที่เพี้ยนไปบ้าง (เพราะกล้องมันมองไม่เห็น) แต่หลังจากที่เล่นมาหลายๆ เกม ก็ไม่พบว่ามันเป็นปัญหาอะไรนักหนาเลย

นอกจากนี้ ข้อได้เปรียบอีก 1 อย่างของ WMR ก็คือหน้าจอที่มีความละเอียดกว่านั่นเอง ซึ่ง Oculus Rift และ Vive มีความละเอียดจอที่ 1080×1200 ต่อข้าง ในขณะที่ WMR ทุกรุ่น (ยกเว้น Samsung) มีความละเอียดที่ 1440 x 1440 ต่อข้าง ทำให้ภาพที่ได้จาก WMR มีความคมและละเอียดกว่านั่นเอง แต่ (อีกแล้ว) WMR หลายๆ รุ่นจะเสียเปรียบตรงที่ยังใช้หน้าจอแบบ LCD อยู่

 

Acer Windows Mixed Reality

และจากการที่ผมเล็งแล้วก็เล็งอีก ว่าจะซื้อตัวไหนดี ใจจริงน่ะอยากได้ของ Samsung มากๆ เพราะมีสเปคระดับท็อปเลยจริงๆ แต่ติดตรงที่มันไม่มีขายในบ้านเรา…จริงๆ ก็ไม่มีรุ่นไหนที่ขายในบ้านเราเลยแหละ (มีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ) ก็เลยต้องตัดใจมาซื้อของ Acer ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวที่มีตัวแทนจำหน่ายและมีศูนย์บริการเป็นเรื่องเป็นราวสามารถส่งซ่อมได้หากมีปัญหา โดย Acer WMR ในบ้านเรามีราคาอยู่ที่ 14,990 บาท ซึ่งถือว่าพอรับได้อยู่ แต่ถ้าใครมีเพื่อนหรือญาติอยู่ที่อเมริกา สามารถสั่งซื้อจาก Amazon ได้ในราคาแค่ 6,XXX – 8,XXX บาท เท่านั้นเอง (ตอนแรกกะจะสั่งเหมือนกัน แต่พอรวมค่าขนส่งและภาษีที่บ้านเราแล้ว ถูกกว่าแค่พันกว่าบาท แถมไม่มีประกัน T-T)

สำหรับ Acer Windows Mixed Reality เมื่อแกะกล่องออกมาก็จะเจอแค่ตัว VR สวมหัวกับ Controller 2 อัน เท่านั้น

ตัว VR จะมีสาย HDMI และ USB 3.0 ยาว 4 ม. ติดอยู่ และจะมีสายสำหรับเสียบหูฟังให้ด้วย ส่วนด้านหลังจะเป็นล้อหมุนสำหรับปรับขนาดที่รัดหัว

ส่วน Controller ทั้ง 2 อัน จะมีปุ่มที่เหมือนไกปืน, ก้านโยก Analog Stick, ปุ่ม Touch Pad ที่สามารถกดได้ 4 ทิศทาง, ปุ่มเมนู และปุ่ม Home โดยใช้การเชื่อมต่อกับ PC ผ่าน Bluetooth 4.0

 

สเปคคอมที่ต้องการ

ถ้าใครที่เคยหาข้อมูลความต้องการสเปคเพื่อใช้เล่นเกม VR จะรู้ว่ามันต้องใช้สเปคที่ค่อนข้างแรงเลยทีเดียว (ส่วนมากจะต้องการการ์ดจอระดับ GTX 1060 ขึ้นไป) แต่จากประสบการณ์ PC ของผมที่ซื้อมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว และพึ่งเปลี่ยนการ์ดจอเป็น GTX 1050 Ti 4GB เมื่อเร็วๆ นี้ ก็พบว่ามันเล่นเกม VR ส่วนมากได้แบบลื่นๆ เลย (ปรับกราฟฟิคกลางๆ จะวิ่งอยู่ที่ 80 – 90 fps) จริงๆ การ์ดจอที่ต่ำกว่าอย่าง GTX 1050 ก็เล่นได้นะ เพราะจริงๆ แล้วเจ้า Acer WMR มันมีชุด Bundle ขายคู่กับโน้ตบุ๊ค Acer Aspire Nitro 5 ที่ใช้ GTX 1050 ด้วยล่ะ…ก็เลยขอใช้มาตรฐานสเปคขั้นต่ำเอาจากโน้ตบุ๊ครุ่นนี้เลยละกัน

  • CPU : Intel Core i5-7300HQ
  • RAM : 8GB memory
  • GPU : NVIDIA GeForce GTX 1050 4GB

 

การติดตั้ง WMR

ถ้าใครเคยได้เห็นชุด VR ของ Oculus หรือ Vive อาจจะช็อคได้ เพราะมันต้องติดตั้งตัวเซ็นเซอร์ พร้อมทั้งสายไฟอะไรก็ไม่รู้อีกยุ่บยั่บไปหมด แถมติดตั้งแล้วยังต้องตั้งค่าเซ็นเซอร์นู่นนี่ ฯลฯ กว่าจะได้เล่นก็หมดวันพอดี

อุปกรณ์ทั้งหมดที่ต้องติดตั้งของ HTC Vive

แต่สำหรับ WMR แล้ว แค่เปิดกล่องออกมา แล้วเสียบสาย USB 3.0 + HDMI, ใส่ถ่านที่ Controller, ติดตั้ง Windows Mixed Reality Portal ลงเครื่อง ก็พร้อมเล่นแล้วล่ะ

อุปกรณ์ในกล่องของ Acer WMR (มีแค่ 3 ชิ้นนี่แหละ)

**อันนี้เตือนก่อนว่า สำหรับคนที่ใช้ PC แล้ว ใช้สาย HDMI เสียบกับมอนิเตอร์ (มีมั่งรึเปล่า?) ก็ให้เตรียมสาย Displayport เอาไว้ด้วยนะ เพราะไม่งั้นจะไม่มีพอร์ท HDMI เหลือให้เสียบเข้าตัว WMR (ปกติผมใช้ PC กับจอทีวี LED เลยต้องออกไปหาซื้อสาย Displayport มาเพิ่ม)**

สาย Displayport

ก่อนจะเข้าโลก VR เราก็ต้องดูพื้นที่ที่เรามีซะก่อน ว่ามันกว้างพอที่จะเล่นเกมแบบ Room Scale ได้รึเปล่า (ซัก 1.5 x 2 เมตร ก็โอเคแล้ว)

เวลาเล่นก็ระวังอย่าให้ใครมาเดินเพ่นพ่านใกล้ๆ ด้วยล่ะ

ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด เราก็จะเข้ามาในโลก VR ได้แล้ว โดยเราจะอยู่ในบ้านริมหน้าผาส่วนตัว ที่เราสามารถเดินไปเดินมาได้ ด้วยการกดที่คอนโทรลเลอร์เพื่อเลือกทิศทางและ Warp ไปในพื้นที่ที่เราต้องการ (เกม VR ส่วนมากจะใช้วิธีเดินทางแบบนี้ เนื่องจากถ้าใช้การเคลื่อนที่ด้วยการเดินจริงๆ จะเมาจนอ้วกแตกได้ง่ายๆ) ซึ่งในบ้านหลังนี้ก็จะมีทั้งห้องดูหนัง และ Windows Store ให้เราเลือกดาวน์โหลด และซื้อเกม VR ต่างๆ ได้ (แต่แนะนำให้ไปซื้อเกมจาก SteamVR จะได้ราคาที่ถูกกว่า แถมโปรลดราคาเยอะกว่าด้วย)

การเล่นเกมจาก SteamVR

อย่างที่บอกไปแล้วว่า WMR จะต้องซื้อเกมเล่นจาก Windows Store แต่เนื่องจากเกมมันน้อยมากหากเทียบกับร้านเกมออนไลน์อย่าง SteamVR เราก็เลยต้องลงโปรแกรมเพิ่มกันนิดนึง โดยเข้าไปที่ Steam และโหลด Windows Mixed Reality for SteamVR มาติดตั้งซะ จากนี้เราก็สามารถเล่นเกม VR มันๆ หลายร้อยเกมได้เลย

แต่ก่อนที่เราจะเลือกซื้อเกม VR ซักเกม ก็ต้องดูซะก่อนนะว่าเกมนั้นมันรองรับ WMR รึเปล่า เพราะบางเกมก็จะรองรับแค่ Oculus และ Vive เท่านั้น ให้สังเกตดูตรงเครื่องหมายของแต่ละเกมว่ามันรองรับ WMR รึเปล่า

ตรงลูกศรชี้คือสัญลักษณ์ว่ารองรับ Vive, Oculus และ WMR ตามลำดับ

และถึงแม้ว่าบางเกมจะไม่มีบอกว่ารองรับ WMR แต่ก็ยังสามารถเล่นได้ด้วยเหมือนกัน อาจจะมีปัญหาบางเกมที่เล่นได้แต่ปุ่ม Controller ไม่ตรงกัน หรือจับตำแหน่งการยืนเพี้ยนไปบ้างทำให้เล่นไม่ได้ก็มี (มีไม่กี่เกมหรอก) ถ้าเราอยากเล่นเกมอะไรแล้วมันไม่ขึ้นว่ารองรับ WMR ก็ช่างมัน ลองซื้อมาเล่นได้เลย ถ้าหากเล่นไม่ได้ก็ค่อยขอ Refund เอาได้ เพราะผมก็ขอ Refund มาหลายเกมแล้วไม่เคยมีปัญหาอะไร ได้เงินคืนทุกที

 

สรุป

บอกได้เลยว่าชอบมาก! เพราะใฝ่ฝันอยากเล่นเกม VR เต็มรูปแบบอย่างนี้มานานมากแล้ว แต่ติดตรงที่ Oculus และ Vive มีราคาแพงเกินไปที่จะซื้อมาเล่น (เสียดายเงินอะ) ซึ่งตอนนี้ราคาของ Vive ที่ขายในบ้านเราอย่างเป็นทางการก็อยู่ที่ 23,699 บาท ในขณะที่เมืองนอกลดราคามาอยู่ที่ 499 ดอลลาร์ แล้ว (ประมาณ 15,839 บาท) แต่ในชุด Vive ก็จะมีเซ็นเซอร์ให้มาด้วย 2 ตัว ซึ่งมันจะจับการเคลื่อนไหวได้เฉพาะตอนที่เราหันหน้าไปทางเซ็นเซอร์เท่านั้น ถ้าเราหันหลังปุ๊บ เซ็นเซอร์จะมองไม่เห็น Controller ทันที ก็เลยต้องเสียเงินเพื่อซื้อเซ็นเซอร์เพิ่มถ้าอยากจะเล่นได้แบบสมบูรณ์ แต่สำหรับ WMR นี่บอกได้เลยว่าซื้อทีเดียวจบ (14,990 บาท) เล่นได้สบายๆ

John Wick Chronicles

และการเล่นเกม VR มันไม่ใช่อะไรที่จะใส่แล้วนั่งเล่นเฉยๆ มันต้องเดินต้องก้มต้องออกท่าทาง คือสามารถใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับออกกำลังได้เลยล่ะ เพราะจากที่ทดลองเล่นเกม John Wick Chronicles อย่างเมามันไปเกือบชั่วโมง ต้องลุกๆ นั่งๆ หลบกระสุน ปรากฎว่าเหงื่อท่วม แข้งขาหมดเรี่ยวแรงกันไปเลยทีเดียว นอกจากนี้เกม VR ยังมีอีกหลายเกมที่เราสามารถจับทีมเล่นกับเพื่อนๆ ได้ ซึ่งมีทั้งเกมไล่ยิงกันแบบ PUBG, เกมกีฬาต่างๆ ทั้งตีปิงปอง เทนนิส ชกมวย ฯลฯ หรือจะเป็นห้องแชท VR ที่เราสามารถทำอะไรๆ ร่วมกันกับคนอื่นได้ ไม่ว่าจะตั้งแค้มป์ไฟ ดื่มเบียร์ (ปลอมๆ) เล่นหมากรุก ปาลูกดอก ฯลฯ ทำให้รู้ว่าโลก VR นี่มันเป็นอะไรที่สนุกจริงๆ เลยล่ะ