หากพูดถึงหูฟังไร้สายระดับพรีเมียมของค่ายมือถือตัวแทนจากฝั่ง iOS และ Android คงไม่มีใครไม่รู้จัก AirPods Pro 2 จาก Apple และ Galaxy Buds3 Pro จาก Samsung ซึ่งทั้งสองรุ่นนี้ต่างก็เป็นตัวท็อปของแต่ละค่ายที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำสมัย และฟีเจอร์ที่โดดเด่น แล้วถ้าต้องเลือกหูฟังสักตัวระหว่างทั้งสองรุ่นนี้ ตัวไหนจะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า และฟีเจอร์ไหนจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากกว่ากัน วันนี้ทีมงานจะพาไปหาคำตอบกัน บอกเลยลองใช้ทั้งคู่แล้วมีถูกใจ และไม่ถูกใจทั้งคู่

ดีไซน์

ต้องบอกก่อนเลยว่าหลังจาก Galaxy Buds3 Pro เปลี่ยนมาใช้ดีไซน์แบบกล่องแคปซูลเปิดฝาด้านบน ทำให้หน้าตาเปลี่ยนไปจากรุ่นเดิมมากพอสมควร ซึ่งก็ดูคล้ายกับหูฟัง AirPods ของค่าย Apple มากขึ้น

รายละเอียดของกล่องหูฟังทั้งสองรุ่นนี้แม้ดีไซน์จะใกล้กัน แต่มีความต่างกันหลายจุดเริ่มจากเรื่องของสีที่ Galaxy Buds3 Pro มาสีให้เลือกมากกว่าทั้งหมด 2 สี คือสีขาว และสีเงิน ส่วน AirPods Pro 2 ถ้าซื้อกับ Apple โดยตรงจะสามารถสลักข้อความลงไปได้ฟรี

ส่วนวัสดุผิวสัมผัสต่างต่างกันเล็กน้อย คือ Galaxy Buds3 Pro ผิวจะโดนยิงทรายมามีความสาก (รุ่นสีเงิน) กว่า AirPods Pro 2 ที่เป็นแบบผิวเรียบมันวาว เป็นรอยขนแมวได้ง่ายกว่า ด้านบน Galaxy Buds3 Pro ด้านบนจะเป็นฝาปิดแบบใสที่มองเห็นตัวหูฟังด้านใน

ด้านใต้ตัวเครื่องจะเป็นที่อยู่ของช่องชาร์จ USB-C เหมือนกัน AirPods Pro 2 จะพิเศษกว่ารุ่นอื่นหน่อยตรงที่ตัวเครื่องมีลำโพงสำหรับส่งเสียงเตือน พร้อมช่องคล้องสายมาให้ด้วย ปุ่มสำหรับการ Pair จับคู่หูฟัง AirPods ทั้งสองรุ่นจะอยู่ด้านหลังตัวเครื่อง ส่วน Galaxy Buds จะอยู่ด้านใต้ตัวเครื่องแทน ซึ่งก็กดสะดวกด้วยกันทั้งคู่

Galaxy Buds3 Pro และ AirPods Pro 2 ที่เป็นหูฟังแบบ In-Ear ต้องบอกว่าภาพรวมทั้งสองรุ่นแทบไม่ต่างกันเลย มิติตัวถังมีความใกล้เคียงกันมาก จะต่างตรงตำแหน่งการวางอุปกรณ์ไมโครโฟน เซ็นเซอร์ต่าง ๆ เล็กน้อย

ที่ต่างกันจริง ๆ จะเป็นเรื่องของก้านหูฟังที่ Galaxy Buds3 Pro จะมาเป็นทรงเหลี่ยม ๆ ส่วน AirPods Pro 2 จะเป็นแบบกลม ๆ ทำให้ลักษณะการกดสั่งงานต่างกัน Galaxy Buds3 Pro จะใช้นิ้วโป้งกดถนัดกว่า ส่วน AirPods 3 จะใช้นิ้วชี้กดถนัดกว่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคนด้วย

สิ่งที่ทำให้ Galaxy Buds3 Pro ต่างกับ AirPods Pro 2 จริง ๆ คงเป็นเรื่องไฟที่ Galaxy Buds3 Pro มีไฟส่องสว่างที่ก้านหูฟังด้วย เรียกว่าใส่ไปตอนมืด ๆ ที่เด่นสุด ๆ ส่วนเรื่องของการสวมใส่ทั้ง 2 รุ่นทำออกมาได้ไม่ต่างกันเลย ส่วนตัวรู้สึกว่าพอ ๆ กันทั้งคู่

การสวมใส่รู้สึกว่าหูฟังทั้งสองรุ่นนี้ใส่แล้วรู้สึกกระชับดีทั้งคู่ ในเรื่องของความแน่นหนึบบอกเลยว่าหายห่วง ทดสอบ วิ่ง กระโดด สะบัดหัวแรง ๆ ก็ยังไม่เจอว่ามันจะหลุดแต่อย่างใด จุดที่ต่างกันเล็กน้อยจะเป็นเรื่องที่ AirPods Pro 2 เวลาใส่หูฟังแล้วรู้สึกว่าตัวจุกสอดเข้าไปในหูของเราค่อนข้างตื้นต่างกับหูฟัง In-ear ทั่วไปที่ตัวจุกจะสอดเข้าไปลึกกว่านี้

การหยิบออกจากกล่องส่วนตัวรู้สึกว่าหยิบออกมาได้ง่ายพอ ๆ กัน ส่วนการใส่กลับ AirPods Pro 2 ใส่ง่ายกว่า เพราะว่าตัวก้านที่เป็นทรงกลมมันลงไปในกล่องได้ง่ายกว่า ต่างกับ Galaxy Buds3 Pro ที่ตัวก้านเป็นแบบเหลี่ยม ๆ ทำให้ต้องหามุมที่พอดีก่อนเอาหูฟังใส่กล่องนิดนึง

ในเรื่องของคุณภาพชิ้นงาน Build Quality ทำออกมาได้ดีพอ ๆ กัน วัสดุใช้พลาสติกเกรดเดียวกัน ไม่ได้หนีจากกันมาก ความรู้สึกตอนเปิดปิดกล่องทำออกมาได้สมกับเป็นตัวท็อปทั้งคู่ คือทำออกมาแน่น ไม่คลอน แบบหูฟังราคาหลักพันต้น ๆ

ฟีเจอร์

หูฟังจากทั้ง 2 ค่ายนี้มีจุดเด่นที่เด่นกันคนละแบบจาก Ecosystem ของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าต้นตำรับในเรื่องนี้ยังไงก็ต้องนึกถึง Apple เพราะอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันอย่างดีที่สุด ซึ่งหูฟังก็เป็นหนึ่งในนั้น เช่นเดียวกับ Samsung ที่พักหลังมานี้เริ่มออกแบบ Ecosystem ของตัวเอง และนำไปใส่ในอุปกรณ์หลาย ๆ อย่างเช่นกัน

เทคโนโลยีด้านเสียง

เรื่องแรกที่ต้องพูดถึงคงเป็นเรื่องของการฟังเพลงที่ต้องบอกเลยว่าหูฟังทั้งสองรุ่นนี้มีจุดเด่นคนละแบบเริ่มกันที่ AirPods Pro 2 และ AirPods 3 ที่ Apple นำเสนอเรื่องระบบเสียงรอบทิศทาง Spatial Audio บน Apple Music ที่ช่วยเพิ่มอรรถรสการฟังเพลงให้มีมิติมีสีสันมากขึ้น ถ้าคนชอบก็คือชอบเลย

แต่ต้องอย่าลืมว่าทั้งหมดนี้ยังคงทำงานอยู่บน Codec AAC รุ่นเก่าของทาง Apple เหมือนเดิม ความกว้างของช่องสัญญาณ Bandwidth ในการรับส่งข้อมูลก็ยังอยู่ในระดับมาตรฐานปกติ ทำให้การส่งข้อมูลมีการบีบอัดและตัดทอน (Lossy) ลงไปมากกว่า Codec ใหม่ ๆ ซึ่งก็ยอมใจ Apple จริง ๆ ที่ปรับจูน (Tweak) รีดความสามารถของตัว Codec AAC ออกมาได้สุดจริง ๆ ในที่นี้คือต้องใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ Apple ด้วยนะ

ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบ Spatial Audio เท่าไหร่ เพราะเพลงที่ฟังส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ Spatial Audio และพอเปิดฟีเจอร์นี้แล้วรู้สึกว่าฟังเพลงประจำมีเสียงที่ไม่เพราะเหมือนเดิม ปกติแล้วชอบฟังที่เนื้อเสียงของเพลงมากกว่าลูกเล่น

ทำให้รู้สึกชอบของทาง Samsung มากกว่าที่ รองรับการเล่นไฟล์ความละเอียดสูง 24bit/96kHz ผ่าน Codec พิเศษของทาง Samsung ที่ช่วยยกระดับการฟังเพลงแบบที่ฟังกันที่เนื้อเสียงมากกว่า ในเมื่อเรามีไฟล์ต้นทางที่ดี ๆ แล้ว จะปล่อยให้โดนบีบอัดก็เสียดายของ

แต่ Galaxy Buds3 Pro และ Galaxy Buds3 ก็ยังมีเรื่องที่สู้ AirPods ไม่ได้อยู่ในเรื่องของ Ecosystem ในการหาไฟล์หา Souce ที่สามารถดึงความสามารถของหูฟังออกมาได้หมดจดเหมือน Apple ที่มี Apple Music ที่ออกแบบมาเพื่อ AirPods รออยู่ ทำให้การจะหาอะไรมาเปิดแล้วรับรู้ถึงความเทพของระบบเสียงรอบทิศทาง 360 ใน Galaxy Buds นั้นทำได้ยากกว่า

และเรื่องทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเราฟังเพลงผ่านระบบสตรีมมิ่งที่มีไฟล์เพลงแบบมาตรฐาน ไม่ได้เป็นแบบ Hi-Fi เพราะหูฟังของทั้งสองค่ายยังไงก็สามารถดับความสามารถของไฟล์ที่ใช้เล่นออกมาได้หมดอยู่ดี

การเชื่อมต่อหลายอุปกรณ์

Galaxy Buds3 Pro และ AirPods Pro 2 รองรับการสลับสัญญาณเสียงข้ามอุปกรณ์กันทั้งคู่ เพียงแต่จะอยู่ในคนละ Ecosystem ซึ่งทาง AirPods Pro สามารถสลับข้ามอุปกรณ์แบรนด์ Apple ได้ง่ายดาย เช่น iPhone, iPad, Mac ไม่ต้องเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง ขอแค่อุปกรณ์เหล่านี้ใช้ Apple ID เดียวกัน

ทาง Galaxy Buds3 Pro ก็รองรับฟีเจอร์ลักษณะนี้เช่นกัน สามารถสลับข้ามอุปกรณ์แบรนด์ Samsung และ Windows ได้ง่ายดาย ไม่ต้องเชื่อมต่อใหม่อีกครั้ง ขอแค่อุปกรณ์เหล่านี้ใช้ Samsung ID เดียวกัน

จากการใช้งานพบว่า Apple เป็นระบบที่คุ้นเคยอยู่แล้วเลยสามารถใช้งานได้แบบไร้รอยต่อตามที่ผู้ผลิตออกแบบไว้ ส่วนของทาง Samsung เนื่องจากเป็นระบบที่เพิ่งมีมาไม่นาน ทำให้ยังไม่คุ้นเคยลักษณะการทำงานเท่าไหร่ เลยยังใช้ได้ไม่สะดวก มีความงง ๆ ติด ๆ ขัด ๆ อยู่บ้าง

การกันน้ำกันฝุ่น

AirPods Pro 2 มาพร้อมกับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นแบบ IP54 ส่วน Galaxy Buds3 Pro มาพร้อมกับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่นแบบ IP57 ซึ่งถ้าดูจากตัวเลขบอกเลยว่า Galaxy Buds3 Pro ชนะขาด

แต่สำหรับการใช้งานจริง อาจจะไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ เพราะสถานการณ์ปกติที่เรานำหูฟังเหล่านี้ไปใช้งาน เช่น ตอนออกกำลังกายแบบเหงื่อฉ่ำ ๆ หรือตอนตากฝน มาตรฐานการกันน้ำ IP54 ที่ให้มาเพียงพอแล้ว เว้นแต่ถ้าใส่ลงน้ำ IP57 ถึงจะเห็นผล และตอนเกิดอุบัติเหตุ ทำหูฟังตกลงไปในน้ำ เช่น ตอนพลัดตกน้ำ Galaxy Buds3 Pro ก็จะมีโอกาสรอดมากกว่า

การตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling (ANC)

จากที่ได้ลองมาทั้งสองตัวพบว่า AirPods Pro 2 มีภาพรวมที่ดีกว่าตัดเสียงรบกวนในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เงียบสงัดมากกว่า Galaxy Buds3 Pro และเวลาตอนเปิดโหมดนี้ไม่รู้สึกอึดอัด หรือปวดหัวเลย

โหมด Ambient sound หรือโหมดเปิดรับเสียงรอบข้าง AirPods Pro 2 ก็ยังคงทำได้ดีกว่าเล็กน้อยในเรื่องของระยะใกล้ไกลของแหล่งกำเนิดเสียง เสียงมีมิติที่ดีกว่า

ส่วนถ้าปิดโหมดตัดเสียงรบกวนทั้งหมดทดสอบแบบ Passive Noise Cancelling พบว่า Galaxy Buds3 Pro ตัดเสียงรบกวนได้ดีกว่า AirPods Pro 2 เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากลักษณะการออกแบบจุกยางที่ Galaxy Buds3 Pro ยื่นเข้าไปลึกมากกว่า ทำให้ป้องกันเสียงรบกวนได้ดีกว่า ใกล้เคียงกับหูฟัง In-Ear ปกติ

AI แปลภาษา

ฟีเจอร์นี้เป็นอีกฟีเจอร์ด้าน AI ที่ Samsung นำเสนอใน Galaxy Buds3 Pro เยอะเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ AirPods Pro 2 ไม่มี Galaxy Buds3 Pro เลยชนะไปแบบไม่มีข้อเปรียบเทียบ แต่ทั้งนี้การจะใช้ฟีเจอร์นี้ต้องใช้งานร่วมกับโทรศัพท์ที่มีฟีเจอร์ด้าน AI ในการแปลภาษาด้วย ตัวหูฟังทำหน้าที่เป็นแค่ Input และ Output เท่านั้น ไม่ได้แปลภาษาได้แบบ Stand Alone

คุณภาพเสียง

หูฟังทั้งสองรุ่นนี้ให้เสียงที่มีคาแรคเตอร์ต่างกันอย่างชัดเจน เสียงของ AirPods Pro 2 จะมีความใสกว่า โปร่งกว่าเล็กน้อย มิติเสียงกว้างกว่าเยอะ เสียงเบสไม่กระหึ่มดุดันเท่า เบสมาแค่หัวโน้ต รายละเอียดเบสด้อยกว่า เสียงแหลมรายละเอียดดีเหมือนกัน แต่โทนจะออกไปกลาง ๆ มากกว่า ไม่ Color จัดจ้านเท่า และตัว Galaxy Buds3 Pro จะได้ยินเสียงเล็กเสียงน้อยได้ง่ายกว่า

ส่วนถ้าใครไม่ถูกใจแนวเสียงเดิม ๆ หูฟังทั้งสองรุ่นสามารถปรับ EQ เพิ่มได้ เพียงแต่ Galaxy Buds3 Pro สามารถปรับ EQ ได้ละเอียดกว่า AirPods Pro 2 อยู่พอสมควร ไม่ได้มีแค่พรีเซ็ตสำเร็จรูปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

สรุปคือถ้าชอบแนวฟังสบาย ฟังเรื่อย ๆ AirPods Pro 2 จะเหมาะกว่า ส่วนถ้าชอบฟังสนุกชอบเสียงพุ่ง ๆ จัดจ้าน Galaxy Buds3 Pro จะเหมาะกว่า

ทดสอบดีเลย์

หูฟังทั้งสองรุ่นเอาจริง ๆ ก็ทำเรื่องของการดีเลย์ออกมาได้ดีเหมือนกันทั้งคู่ คือแทบไม่มีอาการดีเลย์เลย เอาไปดูหนัง เล่นเกม แทบจะแยกไม่รู้สึก ปากตรงกับเสียงที่เราได้ยินตลอด แต่ถ้าใครกังวลเรื่องนี้ทาง Galaxy Buds3 Pro จะมีฟีเจอร์เกมโหมดมาให้ด้วย ที่จะช่วยลดอาการดีเลย์ลงอีก ส่วน AirPods Pro 2 ไม่มีการตั้งค่าแยกตรงนี้ ระบบเป็นคนจัดการให้ทั้งหมด

ไมโครโฟน

Galaxy Buds3 Pro และ AirPods Pro 2 มาพร้อมกับไมโครโฟนที่เท่ากัน คือข้างละ 3 ตัว แบ่งเป็นสำหรับรับเสียงภายนอก 2 ตัว และภายในอีก 1 ตัว สำหรับตรวจสอบเสียงหลังจากที่ ANC ทำงาน

จากที่ได้ทดสอบมาส่วนตัวชอบไมโครโฟนของ Galaxy Buds3 Pro มากกว่าในเรื่องของการตัดเสียงรบกวนที่เวลาใส่ริมถนนเนื้อเสียงที่ได้ฟังง่ายกว่า AirPods Pro 2 และเวลาอยู่ในห้องเงียบ ๆ เนื้อเสียงของ Galaxy Buds3 Pro ก็มีความใกล้เคียงกับไมโครโฟนที่อยู่บนโทรศัพท์ คือแยกไม่ออกเลยว่ากำลังใช้หูฟังอยู่

แบตเตอรี่

จากสเปคจะพบว่าหูฟังทั้งสองรุ่นนี้มีระยะเวลาที่ใช้งานได้อยู่ในระดับพอ ๆ กัน คือถ้าใช้คุยโทรศัพท์จะใช้ได้ 5.5 ชม. พอ ๆ กัน ส่วนถ้าใช้ฟังเพลง Galaxy Buds3 Pro จะฟังได้นานกว่า 30 นาที ส่วนถ้าใส่กลับกล่องชาร์จ AirPods Pro 2 จะชาร์จแบตได้มากกว่า Galaxy Buds3 Pro เล็กน้อย

ส่วนการใช้งานจริงพบว่าเมื่อใช้ไป 2 วันแบตเหลือพอ ๆ กัน ประมาณ 50% ทดสอบฟังวันละ 3-4 ชม. และแบตเตอรี่จะหมดเกลี้ยงเลยเมื่อผ่านการใช้งานไปประมาณ 5 วันระหว่างเดินทางมาทำงานและกลับบ้าน

สรุป

ท้ายที่สุดการที่จะเลือกหูฟังสองรุ่นนี้ทีมงานแนะนำว่า แม้จะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน แต่หูฟังไร้สายตัวท็อปทั้งสองรุ่นถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับใช้งานบนอุปกรณ์ที่ต่างกัน โดย AirPods Pro 2 จะใช้งานได้ดีที่สุดบนอุปกรณ์ iOS ขณะที่ Galaxy Buds3 Pro จะใช้งานได้ดีที่สุดบนอุปกรณ์ Android โดยเฉพาะค่าย Samsung

ดังนั้นผู้ใช้ iOS และ macOS ควรเลือกใช้ AirPods Pro 2 ส่วนผู้ใช้ Android และ Windows ควรใช้ Galaxy Buds3 Pro เพื่อให้สามารถใช้งานกับ Ecosystem ที่แบรนด์ตัวเองออกมาได้ดีที่สุด ถ้าฝืนใช้ข้ามค่ายจะไม่สามารถปรับตั้งค่าอะไรได้เลย กลายเป็นหูฟัง Bluetooth ธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น

ส่วนถ้าไม่สน Ecosystem เทียบกันแค่คุณภาพของหูฟังเพียงอย่างเดียว Galaxy Buds3 Pro จะดูคุ้มค่ากว่า AirPods Pro 2 อยู่เล็กน้อย เพราะมีราคาถูกกว่าพอสมควร และเปิดตัวออกมาหลังกว่าทำให้เทคโนโลยีมีความสดใหม่กว่า

Samsung Galaxy Buds3 ProAirPods Pro 2
ไดร์เวอร์2 ตัว ขนาด 10.5 มิลลิเมตร + 6.1 มิลลิเมตร1 ตัว
ไมโครโฟน6 ตัว6 ตัว
CodecAAC, SBC, SSC HiFi, SSC UHQAAC, SBC
ANCYesYes
Adaptive AudioYesYes
Adaptive EQYesYes
รองรับระบบเสียง 360 องศาYesYes
เซ็นเซอร์AccelerometerSkin-detect sensor
Gyro SensorMotion-detecting accelerometer
Hall SensorSpeech-detecting accelerometer
Pressure SensorTouch control
Proximity Sensor
Touch Sensor
VPU
มาตรฐานทนน้ำIP57IP54
แบตเตอรี่ใช้งานได้สูงสุด7 ชั่วโมง (ปิด ANC)6 ชั่วโมง (ปิด ANC)
6 ชั่วโมง (เปิด ANC)5.5 ชั่วโมง (เปิด ANC)
Bluetooth5.45.3
น้ำหนักหูฟัง5.45.3
น้ำหนักกล่องชาร์จ ก.46.550.8
ขนาด (หูฟัง) มม.18.1 x 19.8 x 33.221.8 x 24 x 30.9
ขนาด (กล่องชาร์จ) มม.48.7 x 58.9 x 24.445.2 x 60.6 x 21.7
พอร์ตชาร์จUSB-CUSB-C
ชาร์จไร้สายYesYes
ราคา74908990