โดยปกติแล้ว Google จะมีไทม์ไลน์ในการปล่อย Android เวอร์ชันใหม่ที่เหมือนเดิมทุก ๆ ครั้ง แต่ดูเหมือนว่า Android 16 ที่กำลังจะเป็นรุ่นต่อไป จะเปิดตัวเร็วกว่าที่คิดกันไว้ โดย Google ออกมายืนยันแล้วว่าจะเปิดตัว Android 16 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 แทนที่จะเป็นไตรมาส 3 อย่างทุกที ซึ่งทำให้นักพัฒนา หรือคนที่อยากลอง ได้ลองใช้ Developer Build ก่อนกำหนด

โดย Android 16 ที่ใช้โค้ดเนม ‘Baklava’ ซึ่ง Google ยังคงสานต่อการตั้งชื่อโค้ดเนมเป็นขนมในการพัฒนา แม้จะไม่ใช้ในการทำการตลาดแล้ว จากที่เคยรายงานมาก่อนหน้านี้ ถ้าเปิดตัวเร็วกว่าเดิม ก็จะทำให้สามารถเปิดตัวซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่ได้ไล่เลี่ยกันกับการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ของพาร์ตเนอร์ได้ด้วย

ซึ่งจากการประกาศของ Android สำหรับนักพัฒนากล่าวถึงการเปิดตัวที่เร็วขึ้นนี้ไว้ว่าจะได้ซิงก์กันระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ใน Ecosystem เพื่อให้มีอุปกรณ์ที่พร้อมใช้งาน Android เวอร์ชันใหม่ทันทีที่อุปกรณ์นั้น ๆ เปิดตัวได้จำนวนมากที่สุด และการเปิดตัวในไตรมาส 2 แทนที่จะเป็นไตรมาส 3 จะช่วยลดช่องว่างระหว่างการเปิดตัวเวอร์ชัน Android อย่างเป็นทางการ กับการเปิดตัวอุปกรณ์ที่ใช้งาน Android เวอร์ชันใหม่ที่สุดได้ เพราะสมาร์ตโฟน Android หลายรุ่น มักจะมาพร้อมกับ Android เวอร์ชันที่เก่ากว่าที่เพิ่งเปิดตัวใหม่

นอกจากนั้น Google จะทำให้การใช้งาน Google Play Store มีความเฉพาะบุคคล (Personalized) มากยิ่งขึ้น โดยจะให้แต่ละผู้ใช้งานปรับการตั้งค่าการแนะนำแอปฯ ได้ด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้ว Google ได้ปรับให้สำหรับแอปฯ ประเภทเกมแล้ว แต่จะถือว่าน่าสนใจเลย ถ้าเกิดว่าฟีเจอร์นี้ได้นำมาปรับใช้กับทางฝั่งแอปฯ ด้วย เพราะจะทำให้การแนะนำแอปฯ ต่าง ๆ ตรงใจแต่ละคนมากกว่าเดิม แถม Google ยังจะฝัง Gemini AI ลงไปในโปรแกรม Android Studio อีกด้วย ซึ่งจะเข้ามาช่วยในการเขียน, ปรับปรุง และทำ Document ให้กับโค้ดของแอปฯ Android ที่นักพัฒนาจะเขียนได้ด้วย

การเลื่อนการเปิดตัว Android 16 ขึ้นมาเป็นไตรมาสที่ 2 จะช่วยลดปัญหาความแตกแยกในการเปิดตัวสมาร์ตโฟนรุ่นต่าง ๆ ที่สมาร์ตโฟนหลาย ๆ แบรนด์ที่เป็นเจ้าอื่น (นอกจาก Google Pixel) ได้อัปเดต Android เวอร์ชันใหม่ช้ากว่าของ Google เองเป็นหลักเดือน และทำให้การขยับเวอร์ชัน Android เป็นไปได้ยากกว่าที่ควรจะเป็นทั้งสำหรับนักพัฒนา และผู้ใช้เอง การเลื่อนเปิดตัวขึ้นมานี้จะช่วยให้การออกอัปเดตในภาพรวมนั้นเร็วขึ้น ต่อเนื่องขึ้น และทำให้ผู้ใช้ได้ใช้ฟีเจอร์ใหม่ ๆ เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยนั่นเอง

ที่มา : Wccftech