Apple ยื่นอุธรณ์คำตัดสินของสหภาพยุโรปหรือ EU เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เพื่อคัดค้านคำสั่งภายใต้กฎหมายที่มีชื่อว่า Digital Markets Act (DMA) ที่ได้ออกคำสั่งถึง Apple ว่าต้องทำการเปิดให้อุปกรณ์เชื่อมต่อ 3rd Party เข้าถึงฟีเจอร์ต่างๆ ของระบบปฏิบัติการ iOS ได้มากขึ้น

ต้นตอของเรื่องราวในครั้งนี้ เริ่มต้นมาจากคำสั่งของคณะกรรมาธิการยุโรปในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งระบุแนวทางให้ Apple ต้องทำการแก้ไขระบบปฏิบัติการ iOS ของตัวเอง ให้สามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์เสริมค่ายอื่นๆ (3rd Party) ได้แบบไม่มีข้อจำกัด ยกตัวอย่างเช่น การเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบ P2P, การเข้าถึง NFC และการแจ้งเตือนบน iOS ของสมาร์ทวอช ไปจนถึงฟีเจอร์การส่งไฟล์ไร้สายที่นอกเหนือจาก AirDrop

Apple เลยทำการยื่นอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าวกับศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรป กรุงลักเซมเบิร์กเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา พร้อมชี้แจงจุดยืนของบริษัทแบบหนักแน่นว่า ข้อกำหนดของ EU กำลังทำลายประสบการณ์การใช้งานแบบไร้รอยต่อของผู้ใช้ในยุโรป ซึ่งเป็นจุดเด่นของ Apple ลงไปอย่างไม่มีเหตุผล ทำให้ต้องชะลอการออกฟีเจอร์ใหม่ๆ และมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากการต้องปรับหลายๆ สิ่งให้เป็นไปตามที่ EU ต้องการ

แต่ประเด็นที่ Apple หยิบยกขึ้นมาพูดเป็นประเด็นหลักในการยื่นอุทธรณ์ครั้งนี้ ก็คือความเสี่ยงร้ายแรงต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรป ที่อาจจะเกิดขึ้นหากอุปกรณ์เชื่อมต่อของผู้ผลิตรายอื่นๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลของกลุ่มผู้ใช้ได้ในที่สุด เช่น ข้อมูลการแจ้งเตือน ประวัติการเชื่อมต่อ Wi-Fi ซึ่งข้อมูลพวกนี้เป็นข้อมูลที่แม้แต่ตัว Apple เองก็ไม่เคยเข้าถึงหรือสามารถมองเห็นได้ Apple จึงชี้ว่าการยื่นอุทธรณ์ในครั้งนี้ คือการทำเพื่อปกป้องกลุ่มผู้ใช้งาน

The Wall Street Journal ระบุว่าหากในท้ายที่สุด Apple กลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรือเลือกจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ EU ขึ้นมาก็อาจต้องเจอกับค่าปรับมูลค่ามหาศาลที่อาจสูงถึง 10% ของรายได้ต่อปีทั่วโลกของ Apple

ที่มา: The Wall Street Journal