หลังจากที่ Apple เปิดตัวแว่น Vision Pro ไปในงาน WWDC 2023 จนทำเอาหลาย ๆ คนรู้สึกว้าวกันเต็มที่ เพราะมันแทบจะเหมือนหนัง Sci-Fi เข้าไปทุกที ๆ แน่นอนว่าคนที่ได้ดูพรีเซ้นท์การใช้งานของอุปกรณ์สุดล้ำตัวนี้ก็ต้องอยากลองกันบ้างล่ะ ว่ามันจะเจ๋งจริงรึเปล่า และมันเอามาทำอะไรได้บ้าง เหมาะกับใคร หรือมีข้อจำกัดตรงไหน…แม้ว่าทาง Droidsans จะไม่ได้ไปลองตัวจริงให้ดู แต่เราก็ขอรวบรวมประสบการณ์การใช้งานจริงจากสื่อหลาย ๆ สำนักมาให้ดูกัน ว่าเค้าคิดยังไงกับเจ้า Vision Pro กันบ้างครับ
สำหรับคนที่ยังไม่ค่อยเก็ตว่า Vision Pro คืออะไรกันแน่ มันเป็นแค่แว่น VR / AR เหมือนกับของค่ายอื่น ๆ ในตลาดรึเปล่า ก็ไปดูข้อมูลเพิ่มเติมกันได้จากบล็อก “รวมข้อมูล Apple Vision Pro จริง ๆ แล้วมันคืออะไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง?” เลยครับ ส่วนคนที่เก็ตแล้ว ก็มาดูฟีดแบ็คจากสื่อต่างประเทศหลาย ๆ สำนักกันซะหน่อย ว่ามันว้าวจริงมั้ย
การแสดงผลชัดเจนแค่ไหน?
หน้าจอของ Vision Pro ทั้งซ้าย-ขวา มีความละเอียดสูงถึงข้างละ 4K เป็นจอแบบ micro-OLED ที่ให้ภาพแบบคมกริบ ละเอียดยิบ และสีสันสดสวยสมจริง แถมยังครอบด้วยเลนส์ ZEISS เพิ่มความชัดเจน และลดความผิดเพี้ยนของมุมมองด้านในด้วย
จากประสบการณ์ของสำนักข่าวสายเทคหลาย ๆ เจ้า บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า Vision Pro แสดงผลทั้งภาพจากแอป และภาพจากภายนอกได้แบบชัดเจนเหมือนตาเห็นจริง ๆ
คนใส่แว่นสายตาใช้ได้มั้ย?
Vision Pro มีขนาดที่ค่อนข้างเล็กหากเทียบกับพวกแว่น VR อื่น ๆ ในตลาดที่ถูกออกแบบมาให้ใส่แว่นสายตาซ้อนไว้ได้ นั่นหมายความว่าคนที่ใส่แว่นสายตา ต้องถอดแว่นออกก่อนถึงจะใช้ Vision Pro ได้ ทีนี้ก็เกิดคำถามแล้วว่าแบบนี้คนสายตาสั้น/ยาว/เอียง จะมองชัดเหรอ?
ตรงนี้แหละคือปัญหาของคนที่มีปัญหาสายตา เพราะจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมที่ต้องเอาเลนส์สายตาของเราไปแปะเพิ่มในตัว Vision Pro (เป็นคลิปเลนส์แบบใช้แม่เหล็กติด) ถึงจะใช้งานได้แบบชัดเจน ซึ่งเลนส์ดังกล่าวจะผลิตโดย ZEISS และต้องเป็นเลนส์ที่รองรับการใช้ Eye Tracking รวมถึงการสแกนม่านตาเพื่อเข้าบัญชีด้วย เดาไว้ก่อนเลยว่าราคาไม่น่าจะถูก ๆ เลยล่ะ
เล็กเกินกว่าที่จะใส่แว่นสายตาข้างในได้
เลนส์แว่นเป็นแบบใสรึเปล่า ทำไมมองเห็นหน้าคนใส่ด้วย?
จากที่เราเห็นภาพของ Vision Pro ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือตามคลิปวิดีโอ จะเหมือนว่ามันเป็นเลนส์โปร่งใสที่ตอนใส่แล้วจะมองเห็นหน้าคนใส่ได้ด้วย แต่จริง ๆ แล้วเลนส์ด้านนอกเป็น “หน้าจอ 3D” ที่จะแสดงภาพบริเวณดวงตาของผู้ใส่ออกมาให้คนด้านนอกเห็นได้ ซึ่งหน้าจอดังกล่าวเป็นแบบ 3 มิติ ที่คนมองด้านนอกจะเห็นหน้าเราตามองศาที่มอง ทำให้เหมือนว่ามองหน้าคนใส่แว่นที่เป็นเลนส์ใสจริง ๆ ไม่ใช่แค่เป็นจอ 2 มิติ แบน ๆ มองแล้วรู้สึกแปลก ๆ
เหตุผลที่ Vision Pro ถูกออกแบบมาให้แสดงหน้าของคนใส่แบบนี้ก็เพราะ คนภาพนอกจะได้รู้ว่าตอนนั้นเรากำลังมองโลกภายนอกอยู่ ไม่ใช่ทำเป็นเนียนใส่แว่นดูหนัง แต่จริง ๆ แล้วแอบมองอยู่นั่นเองครับ และพอคนใส่กลับเข้าสู่โลกเวอร์ชวลแบบที่ไม่ได้มองโลกภายนอกปุ๊บ หน้าจอก็จะเปลี่ยนเป็นกราฟิกสีสันมัว ๆ แทน
ในฝั่งของคนใส่ก็จะมองเห็นโลกภาพนอกได้แบบชัดเจน ซึ่งการมองออกไปข้างนอกจะใช้กล้องสีที่ติดไว้ตรงด้านนอกของตัวแว่น (เรียกว่าโหมด Passthrough) จากประสบการณ์ของคนที่ได้ลองแล้วบอกว่ามันเป็นแว่นที่มีโหมด Passthrough ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยใช้มา แถมยังไม่มีอาการ Lag ให้เวียนหัวด้วย คือเรียกว่ามันแสดงผลได้แบบเรียลไทม์เหมือนว่ามองผ่านเลนส์ใสจริง ๆ เลย
เทคโนโลยี Eye Tracking ใช้สายตาแทนเมาส์ แม่นแค่ไหน?
Vision Pro ไม่มีคอนโทรลเลอร์มาให้เหมือนกับพวก VR Headset ทั่วไป ทำให้เวลาจะเลือกแอป เลือกปุ่มกด เลือกเมนูต่าง ๆ ต้องใช้เทคโนโลยี Eye Tracking แทน โดยเทคโนโลยีดังกล่าวจะใช้เซนเซอร์ที่อยู่ด้านในของแว่นเพื่อจับการเคลื่อนไหวของดวงตาแทนการใช้เมาส์หรือเคอเซอร์ สมมุติตอนเปิดเครื่องขึ้นมาแล้วต้องการเลือกแอป Safari เราก็แค่จ้องไปที่ไอค่อนของแอปดังกล่าว จากนั้นก็จีบนิ้วแทนการคลิกเพื่อเปิดแอปได้เลย
จากประสบการณ์ใช้งานของสื่อแทบทุกสำนักบอกว่า Eye Tracking ของ Vision Pro มีความแม่นยำในระดับสุดยอดแบบที่ไม่เคยใช้จากที่ไหนมาก่อน ซึ่งการใช้งานครั้งแรกระบบจะให้เรา Calibrate เซนเซอร์การตรวจจับสายตาก่อนเพื่อความแม่นยำในการใช้งานก่อนด้วย
เทคโนโลยี Hand Tracking จับการเคลื่อนไหวของมือ แม่นแค่ไหน?
อย่างที่บอกว่า Vison Pro ไม่มีคอนโทรลเลอร์มาให้ด้วย เวลาจะใช้งานหลัก ๆ คืออาศัยเซนเซอร์ตรวจจับสายตาและเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวของมือเอา โดยการจีบนิ้วเข้าด้วยกันคือการคลิกเมาส์ และไม่จำเป็นต้องยกมือขึ้นมาจีบนิ้วให้เมื่อยด้วย เพราะมันมีกล้องจับภาพด้านล่างแม้จะนั่งวางมือไว้บนขาก็ยังจีบนิ้วเพื่อคลิกได้อยู่ หรือจะเดินไปใช้นิ้วจิ้มเอาเลยก็ยังได้
นอกจากนี้ยังจับการเคลื่อนไหวของมือได้แม่นยำไปจนถึงนิ้วต่าง ๆ ทำให้ตอนพิมพ์ด้วยคีย์บอร์ดเสมือนที่ลอยอยู่ตรงหน้าเรา สามารถใช้ทุกนิ้วพิมพ์ได้เหมือนพิมพ์บนคีย์บอร์ดจริง ๆ เลย เพราะเซนเซอร์ตรวจจับมือได้แม่นมาก ในระดับที่ว่าพวกแว่น VR ในตลาดตอนนี้เทียบไม่ติดเลย
ใช้ทำงานได้จริงมั้ย? ลื่นมั้ย?
สเปคของ Vision Pro เรียกว่าอยู่ในระดับแรงเลยล่ะ เพราะมันมีทั้งชิป M2 สำหรับการประมวลผลทั่วไปและชิป R1 แยกอีกตัวสำหรับการประมวลผลภาพดิจิทัลที่ขึ้นมาผสานกับโลกจริง ทำให้การใช้งานต่าง ๆ ลื่นปรื๊ด ๆ ซึ่งจากประสบการณ์ของสื่อหลายสำนักได้ลองเล่นแล้ว พบว่าหน้าตาของ visionOS คล้าย ๆ กับ iPadOS แค่เปลี่ยนจากการแสดงผลบนหน้าจอแล้วใช้นิ้วจิ้มเป็นการแสดงผลลอยอยู่ตรงหน้าแล้วใช้สายตาแทนเคอเซอร์เอา
นอกจากนี้ทั้งการใช้มือไถหน้าฟีด หน้าเว็บต่าง ๆ ก็ไหลลื่นมาก แถมภาพก็คมชัดบาดตาสุด ๆ เพราะจอแต่ละข้างแสดงผลได้ที่ความละเอียดระดับ 4K ที่มีความหนาแน่นของเม็ดพิกเซลมากกว่าทีวี 4K ทั่วไปซะอีก
ใช้งานด้านบันเทิงดีมั้ย?
เอามาใช้ด้านบันเทิงก็บอกเลยว่าเด็ดดวงสุด ๆ เพระเราสามารถใช้ Vision Pro มาดูหนังจอยักษ์ได้แบบส่วนตัว, ใช้เล่นเกมจอยักษ์ก็ได้ แถมในอนาคตยังจะมีคอนเท้นต์จากฝั่ง Disney ที่รองรับการใช้งานกับแว่นตัวนี้ และจะมีฟีเจอร์ Live Sports ให้ดูกีฬาถ่ายทอดสดจากได้แบบสมจริงเหมือนไปนั่งอยู่ขอบสนามเองเลย
ตัวแว่นถ่ายรูปได้มั้ย?
Vision Pro ใส่กล้อง + เซนเซอร์มาให้เพียบขนาดนี้ แน่นอนว่ามันเอามาใช้ถ่ายรูปถ่ายวิดีโอได้อยู่แล้ว โดยจุดเด่นอย่างนึงก็คือใช้ถ่ายวิดีโอแบบ 3D ได้ และเมื่อเอามาเปิดเล่นบนตัวแว่นทีหลัง ก็จะให้อารมณ์เหมือนได้กลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ
แบตเตอรี่เป็นแบบไหน?
แบตเตอรี่ของ Vision Pro จะใช้แบบต่อสายออกมาข้างนอกซึ่งสามารถเปลี่ยนแบตก้อนใหม่ได้เหมือนพาวเวอร์แบงค์ เพื่อช่วยลดน้ำหนักของตัวแว่นไม่ให้คนใส่รู้สึกหนักหัวเวลาใช้ไปนาน ๆ และยังทำให้ตัวแว่นไม่มีความร้อนจากแบตเตอรี่ด้วย
แต่! เนื่องจาก Vision Pro ไม่มีแบตเตอรี่ในตัวนะครับ หากแบตเตอรี่หมดแล้วจะเปลี่ยนก้อนใหม่ก็ต้องปิดเครื่องก่อน และจากที่ Apple บอกไว้ แบตเตอรี่ที่มากับเครื่องจะใช้งานได้สูงสุด 2 ชม. ถ้าต้องการจะใช้งานแบบนาน ๆ ก็ต้องเสียบไฟบ้านเอา แน่นอนว่าก็จะต้องนั่งเล่นยืนเล่นอยู่กับที่เท่านั้น
ใช้แอปอะไรได้บ้าง?
ในตอนนี้ Vision Pro ยังมีแค่แอปพื้นฐานคล้าย ๆ กับที่ติดมาใน iPhone / iPad เท่านั้น อย่างพวก Safari, Photos, Apple TV, Mail, Notes อะไรประมาณนี้ แต่ทาง Apple ก็ปล่อยเครื่องมือในการพัฒนาแอปให้นักพัฒนาได้เอาไปใช้ทำแอปกันแล้ว คาดว่าตอนวางขายจริงในช่วงต้นปีหน้า น่าจะมีแอปเจ๋ง ๆ ที่ใช้งานคู่กับ Vision Pro โผล่ออกมาโชว์ศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ได้แบบเต็มที่เลย
ตอนนี้ยังมีแค่แอปพื้นฐานเท่านั้น คาดว่าตอนขายจริงน่าจะมีแอป Third party ออกมาอีกเพียบ
ข้อจำกัดของ Vision Pro
ไม่มีคอนโทรลเลอร์
พูดถึงแต่ความเจ๋งความล้ำของ Vision Pro มาขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องให้ติเลยนะครับ โดยสิ่งที่สื่อนอก หลาย ๆ สำนักบอกว่าเป็นจุดด้อยของแว่นตัวนี้ ก็คือการที่มันไม่มีคอนโทรลเลอร์มาให้ด้วย ทำให้เวลาจิ้มเวลาสั่งการอะไรไป มันเหมือนจิ้มอากาศเฉย ๆ เพราะไม่มีระบบ Haptic หรือระบบสั่นอะไรให้รู้สึกเลย ตัวอย่างเช่นตอนสาธิตความสมจริงของกราฟิก ให้คนใส่สามารถยื่นมือออกไปแล้วมีผีเสื้อบินมาเกาะนิ้วได้แบบสมจริง แต่ที่มือก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย คือเห็นได้อย่างเดียว แต่รู้สึกหรือสัมผัสไม่ได้
น้ำหนักค่อนข้างมากแม้ไม่มีแบตในตัว
อีกอย่างคือเรื่องน้ำหนักของ Vision Pro ที่ค่อนข้างหนักเลย โดยคนที่ได้ลองเล่นแล้วกะเอาคร่าว ๆ ว่าน่าจะอยู่ที่ราว ๆ 400+ กรัม (ประมาณมือถือ 2 เครื่อง) ซึ่งขนาดว่าไม่มีแบตเตอรี่อยู่ในตัวก็ยังหนักขนาดนี้ สำหรับการใช้งานที่ไม่นานนักราว ๆ 30 นาที – 1 ชม. อาจไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าใช้นานกว่านั้นน่าจะเมื่อยคอเลยล่ะ (อันนี้จากประสบการณ์ตัวเองที่เล่น Quest 2 น้ำหนัก 503 กรัม ซัก ชม. นึงก็รู้สึกว่าปวดคอแล้ว)
แบตไม่อึด
แบตเตอรี่ที่มากับ Vision Pro ใช้งานได้สูงสุดแค่ 2 ชม. เท่านั้น และหากว่าแบตหมดระหว่างใช้งานก็ต้องเสียบสายกับหัวชาร์จเอา เพื่อใช้งานยาว ๆ ซึ่งยังดีที่ตัวแบตเตอรี่มีพอร์ต USB-C ให้เสียบสายชาร์จได้อีกต่อนึง แต่ทีนี้ก็จะกลายเป็นว่าถูกจำกัดการเคลื่อนไหวไป เพราะหากเสียบสายแล้วคงจะเดินไปเดินมาไม่ได้มากนัก
คนใส่แว่นสายตา ต้องจ่ายเพิ่ม
อันนี้คืออย่างที่บอกไปด้านบนว่าคนสายตาสั้นสายตายาวแล้วต้องใส่แว่นสายตา จะต้องซื้อเลนส์พิเศษมาติดข้างใน Vision Pro ซะก่อน ถึงจะใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ
ราคานี้ทำมาขายใคร?
ด้วยราคากว่าหนึ่งแสนสองหมื่นบาท ทำให้หลาย ๆ คนคิดแล้วล่ะว่า Apple ทำมาขายใคร เพราะไม่ใช่ราคาที่ลูกค้าทั่ว ๆ ไปจะซื้อมาใช้กันได้แน่นอน ก็เลยมีการวิเคราะห์ว่า Vison Pro เป็นสินค้าที่น่าจะทำขึ้นมาสำหรับเหล่านักพัฒนาที่อยากลองเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเอาไปพัฒนาซอฟท์แวร์เตรียมไว้สำหรับ Vision รุ่นต่อ ๆ ไปที่มีราคาถูกลง
หรืออาจจะเป็นลูกค้าที่ชอบลองของใหม่ ๆ ล้ำ ๆ (และมีเงินเหลือเฟือ) เพราะ Apple ก็ไม่ได้หวังว่าจะขายแว่นตัวนี้ได้เป็นล้าน ๆ ชิ้นเหมือนกับ iPhone / iPad อยู่แล้ว
จะมีรุ่นถูกกว่าออกมามั้ย?
มีข่าวว่า Apple กำลังพัฒนา Vision รุ่นที่มีราคาถูกกว่าอยู่ด้วย อาจใช้ชื่อว่า Vision หรือ Vision One ซึ่งจะโดนลดสเปคบางอย่างลงมา โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2025
ที่มา : MKBHD, Mrwhosetheboss, Theverge, ZDNET, Mashable
เท่าที่อ่านและหาข้อมูลแบบไม่อคติมันคือเทพสุดๆ สำหรับคนที่ชอบเทคโนโลยีและเงินเหลือๆยังไงเขาก็ซื้ออยู่แล้วในราคาเพียงเท่านี้ แต่คนส่วนใหญ่ในโลกก็คงบอกว่ามันแพงเพราะแอปเปิลรู้อยู่แล้วว่า คนเหล่านั้นไม่ใช่ลูกค้าของเขาแน่นอน