Droidsans นั่งคุยกับ Carl Pei ซีอีโอ Nothing หลังงานเปิดตัวมือถือ Nothing Phone (3) และหูฟัง Headphone (1) ที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ เราถามหาสาเหตุว่าทำไมถึงชอบทำมือถือที่เน้นดีไซน์มากกว่าสเปค ที่มาของหูฟังครอบหูตัวแรก บทเรียนต่าง ๆ ก่อนที่จะได้เกิดมาเป็น “มือถือเรือธงที่แท้จริง” รวมถึงแผนการดำเนินงานในประเทศไทย
เนื้อหามาจากที่ Nothing เชิญ Droidsans ไปร่วมงาน Nothing Launch Event เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568
ขอขอบคุณทีม GU ZAP ที่ช่วยในการบันทึกภาพและวิดีโอ

คุณเกลียดอะไรมือถือ
“ผมว่าคุณถามผิดคนแล้ว ผมรักสมาร์ทโฟนจะตาย เราถึงได้สร้างบริษัทนี้ขึ้นมายังไงล่ะ”
“แต่ก็อย่างที่ผมพูดไปบนเวที ว่าตอนนี้ดีไซน์มือถือน่าเบื่อมาก ซอฟต์แวร์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนมานานแล้ว แอปที่เราเห็นกันนี่มีมานานกว่า 20 ปีแล้วนะ ตั้งแต่ยุค PalmPilot (PDA) นู่นเราก็มีทั้ง Home Screen, Lock Screen, และแอปต่าง ๆ เหมือนกับสมาร์ทโฟนยุคนี้”
“ดูเหมือนว่าสมาร์ทโฟนจะมาช่วยพวกเราได้อีกเยอะ แต่ปรากฏว่าตอนนี้เราต่างติดกับดัก คอยไถแอปโซเชียลมีเดียกันอยู่ทั้งวัน นี่แหละที่ผมไม่ชอบเลย”
“เราเลยสร้างบริษัทสมาร์ทโฟนขึ้นมา เพราะเราสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้”

วงการนี้เค้าชอบเครื่องแรง ๆ แต่ทำไมบริษัทคุณเน้นดีไซน์มากกว่าสเปค
ทุกครั้งที่มีเปิดตัวมือถือใหม่ หรือมีการพูดถึงมือแต่ละรุ่น ก็ไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงชิปเซ็ต และเอาคะแนน AnTuTu เยอะ ๆ มาโชว์ เปรียบเทียบกันให้เห็นทุกครั้ง แต่ Nothing กลับเลือกใช้ชิปรองเรือธง Snapdragon 8s Gen 4 มาใช้ใน Phone (3) แทน เป็นอีกครั้งที่แบรนด์นี้ไม่หยิบชิปแรงและแพงที่สุดมาใช้ในมือถือเรือธงของตัวเอง
“ผมจำได้เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว คะแนน AnTuTu เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผม แต่ผมไม่ได้ใช้มันอีกเลยใน 10 ปีที่ผ่านมา”
“คือตลาดสมาร์ทโฟนมันใหญ่มาก มียอดขายทั่วโลกมากกว่าพันล้านเครื่องทุกปี แล้วก็มีหลายแบรนด์ที่เน้นไปที่ตัวเลขคะแนนจากแอปทดสอบความแรง แต่พวกเราต้องการสร้างสิ่งที่แตกต่างออกไป เรามีเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ คนที่มีความครีเอทีฟ รักดีไซน์ดี ๆ และชื่นชอบในเทคโนโลยี ซึ่งก็ดูเหมือนว่าเราจะสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์พวกเค้าได้ดีมาก ๆ”
“เวลาถามลูกค้าว่าทำไมถึงเลือกมือถือ Nothing พวกเค้าจะตอบว่าซื้อเพราะเพราะดีไซน์ กับซอฟต์แวร์ เป็นอันดับแรก ๆ และถึงแม้ว่าเรื่องความแรงจะสำคัญ แต่ก็ยังเป็นสาเหตุรองลงมา มักอยู่ในลำดับที่ 4 หรือ 5 ดังนั้นเราก็จะรักษาแนวทางนี้ไว้เพื่อแฟน ๆ ของเราโดยเฉพาะ”

เรียนรู้อะไรมาจาก Phone (1) และ (2) บ้าง ก่อนจะได้มาเป็น Phone (3)
“บทเรียนแรกของเรา คือการเน้นดีไซน์ให้แตกต่างจากแบรนด์อื่น สำหรับ Phone (1) เราสร้าง Glyph Interface ที่ใช้แจ้งเตือนเฉพาะสิ่งที่สำคัญ เวลาที่คุณวางมือถือเอาไว้”
“ไม่รู้ว่าคุณเคยเจอปัญหาแบบนี้มั้ย ที่เวลาปลดล็อคมือถือเพื่อจะตอบอีเมล แต่กลับเผลอไปเล่น TikTok แป๊บนึงก่อน เลยทำให้เสียเวลาไปเยอะมาก เราเลยอยากสร้างระบบที่คุณจะได้รับแต่แจ้งเตือนสำคัญโดยไม่จำเป็นต้องปลดล็อคมือถือ นี่ถือเป็นบททดสอบแรกของเรา ที่ได้ผลตอบรับดี”
“สำหรับ Phone (2) เราได้เปิดตัวระบบ Nothing OS ที่เป็นจุดเริ่มต้นการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างจริงจัง โดยยังมีเป้าหมายเดียวกันกับฮาร์ดแวร์ คือการทำให้คุณได้โฟกัสกับสิ่งที่ทำ ด้วยการดีไซน์แบบโมโนโครม มีแค่สีขาวดำ ทำให้คุณไม่ถูกดึงดูดไปกับสีสันของแอปต่าง ๆ และยังสร้างวิดเจ็ตที่ใช้งานได้จริง จะได้ไม่ต้องกดเข้าไปในแอป”
“และในที่สุดรุ่น Phone (3) นี่เราก็เรียกว่าเป็น True Flagship ได้แล้ว เพราะว่าในราคานี้ผู้คนคาดหวังสิ่งที่ดีที่สุดทุกอย่าง ทั้งความแรง สเปค ดีไซน์ หน้าจอ กล้อง แบตเตอรี่ และทีมเราก็เก่งขึ้นมากจนพร้อมนำเสนอสิ่งเหล่านี้ให้แฟน ๆ ของเราได้”

ทำไมถึงเปิดตัว Headphone (1) ในยุคที่หูฟังอยู่จุดอิ่มตัวแล้ว
“สำหรับเหตุผลส่วนตัว คือเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ผมอยู่ที่สนามบินแล้วลืมเอาหูฟังมาด้วย ก็เลยเข้าร้านไปเพื่อหาซื้อหูฟังสักตัว แต่พบว่าหูฟังพวกนี้มีแต่ดีไซน์เดิม ๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนมานานเป็นสิบปีแล้ว ถึงผมมีเงินอยากจะซื้อ แต่ก็หาตัวไหนที่ถูกใจไม่ได้เลย”
“จริงอย่างที่ว่า หูฟังมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่ก็แปลว่ายังมีโอกาสให้พัฒนาสิ่งใหม่ ๆ ได้ เราจึงใช้เวลาอยู่พอสมควรเกี่ยวกับสินค้าตัวนี้ จนได้ไอเดียมาว่าเราควรสร้างหูฟังที่มีปุ่มให้กดจริง ๆ เป็นหลัก ดังนั้นไม่ใช่ว่าเราเน้นแค่ดีไซน์ที่แตกต่าง แต่ยังต้องใช้งานได้ดีกว่าเดิมด้วย และก็หวังว่าผู้คนจะชอบ”

แผนสำหรับ Nothing ในประเทศไทย
“ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับเรามาก เราพูดถึงกันบ่อย ๆ ที่ HQ ซึ่งตอนนี้เรากำลังขยายช่องทางจัดจำหน่ายมากขึ้นกว่าเดิมสามเท่า และได้เปิดระบบติดต่อบริการหลังการขาย ได้ตลอด 24 ชั่วโมงในภาษาไทย นอกจากนี้เราเพิ่งได้เปิดตัวร้าน Concept Store แห่งแรกที่ One Bangkok ไปด้วย”
โดยก่อนหน้านี้ระบบบริการหลังการขายของ Nothing จำกัดว่าต้องติดต่อด้วยภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ต่อไปนี้จะสามารถใช้ภาษาไทยได้ ผ่านทางโทรศัพท์ อีเมล ไลฟ์แชทบนเว็บไซต์ และ โซเชียลมีเดีย มีกำหนดว่าจะเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้
“ก่อนหน้านี้เราไม่ได้มีทีมจริงจัง (ในประเทศไทย) เราทำงานกันจากที่อื่น ตอนนี้เลยกำลังพยายามตั้งทีมประเทศไทยขึ้นมาโดยเฉพาะ ถ้ามีใครสนใจ ก็เปิดดูที่หน้า Careers ของเราได้เลย”

Nothing Phone (3) วางขายในราคา 799 ดอลลาร์ หรือประมาณ 25,900 บาท
Nothing Headphone (1) วางขายในราคา 299 ดอลลาร์ หรือประมาณ 9,700 บาท
มีกำหนดการเปิดตัวพร้อมประกาศราคาไทย 25 กรกฎาคมนี้
Comment