วันนี้ผมได้มีโอกาสได้มารีวิว Motorola Defy Mini ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้องของตระกููล Motorola Defy ที่พร้อมกับหน้าจอขนาดจิ๋ว 3.2 นิ้ว แต่ยังคงความถึก กันฝุ่น และ กันน้ำ ได้เหมือนกับรุ่นพี่ (ตามมาตรฐาน IP67) โดย Motorola Defy Mini ถิอเป็น smart phone ที่ Motorola หวังจะมาเจาะตลาดระดับล่างโดยเฉพาะ เหมาะกับคนที่มีเหตุจำเป็นต้องเจอฝุ่นเจอน้ำบ่อยๆ อย่างวิศวกรที่จะจำเป็นต้องออกไปทำงานกลางแจ้ง

ซึ่ง Motorola Defy Mini และ Defy XT ถือเป็นรุ่นใหม่ที่มาแทน Defy รุ่นแรก (Defy, Defy+) โดยรูปทรงได้ถูกปรับเปลี่ยนให้บางขึ้นและดูดีขึ้นเยอะ แต่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกได้ว่าจะกันน้ำได้หรือเปล่า ความรู้สึกนี้เกิดจากประสบการณ์ที่ผมเคยได้ใช้ Motorola Defy รุ่นแรก ซึ่งวัสดุมันเป็นยางออกหนึบๆ ทำให้เชื่อได้ว่ากันน้ำได้จริง แต่ใน Defy Mini และ Defy XT ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เพราะฝาหลังและขอบด้านข้างๆ ไม่ใช่พลาสติกที่เป็นยางหนึบๆ เหมือนเคย เป็นเหมือนพลาสติกแข็งๆ ธรรมดามากกว่า ส่วนประสิทธิภาพของการกันน้ำจะเป็นยังไง รอดูได้ตอนท้ายพรีวิวครับ

เกริ่นมาพอสมควรแล้ว เรามาเริ่มพรีวิวกันดีกว่า โดยในการพรีวิวครั้งนี้ ผมจะเริ่มที่ตัวฮาร์ดแวร์ก่อน ส่วนซอฟต์แวร์จะตามในมาเร็วๆ นี้

รูปลักษณ์และขนาด

Motorola Defy Mini มีหน้าจอมีขนาด 3.2 นิ้ว ที่มาพร้อมกับความละเอียดระดับ HVGA (480 x 320) และกันรอยขีดข่วนด้วยด้วย Corning® Gorilla® Glass โดยเจ้า Defy Mini

ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล จะมีปุ่ม setting, home, back และ search ส่วนตรงช่องด้านล่างเป็นช่องของไมโครโฟน

ตรงมุมล่างซ้ายของหน้าจอ เป็นช่อง Micro USB ซึ่งเหมือนกับ Defy รุ่นอื่นๆ ที่จะมีจุกยางไว้สำหรับปิดช่อง Micro USB เพื่อกันฝุ่นและกันน้ำ

ส่วนด้านบนเป็นช่องแจ็คเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม. มีจุกยางไว้สำหรับปิดเพื่อกันฝุ่นกันน้ำเช่นกัน ส่วนด้านข้างเป็นปุ่ม Power ไว้ เปิด/ปิด เครื่องและหน้าจอ

ช่องตรงกลางเป็นช่องสำหรับลำโพงสนทนา ส่วนตรงด้านบนตัวอักษร A เป็นกล้องหน้าที่มีความละเอียดระดับ VGA นอกจากนี้ยังมีไฟสถานะแจ้งเตือน ด้วย ส่วนช่องระหว่าง ไฟสถานะแจ้งเตือน และ กล้องหน้า คือ proximity sensor เป็นเซนเซอร์ไว้ปิดหน้าจอเวลาเอามือถือแนบหู

ด้านข้างมุมบนขวา เป็นปุ่ม volume ไว้ปรับลดเพิ่มเสียง ส่วนมุมขวาล่างเป็นปุ่ม camera เป็นปุ่มลัดและกด shutter สำหรับถ่ายรูป

ด้านหลังจะมีแถบล็อค ซึ่งก่อนจะลงน้ำอย่าลืมกดล็อคฝาหลังให้ Defy Mini ด้วย ตรงข้างๆ แถบล็อคคือช่องลำโพง ส่วนด้านบนเป็นกล้องหลังขนาด 3 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับ LED Flash แต่น่าเสียดายที่อุตสาห์มี LED Flash แล้ว แต่กล้องหลังดันเป็นแบบ fixed-focus =_=;

โดยฝาหลังนั้นต้องบอกว่าแกะยากมากๆ ยากกว่า Motorola Defy และ Defy+ ถ้าใครไม่มีเล็บอาจจะพบกับความลำบาก มันยากยังไงลองไปดูในวิดีโอครับ

Play video

โดย Motorola Defy Mini จริงๆ แล้วมันมีด้วยกันสองสี คือ Black slate และ Black tangerine ซึ่งประเทศไทยนำเข้ามาขายเพียงสีเดียว คือ Black slate ส่วน Black tangerine นั้นมีขายแค่ในยุโรป

เรื่องการกันน้ำ

หลังจากที่ได้ทดลอง พบว่า ถึงแม้วัสดุในรุ่น Defy Mini จะเปลี่ยนไป แต่ก็ยังกันน้ำได้ดีเช่นเดิม แต่ก็มีข้อควรระวังเหมือน Defy รุ่นแรก หลังจากเล่นน้ำแล้ว ควรแกะฝาหลังเอาออกมาเช็ด หลายคนงงว่าทำไมต้องเช็ด ลองดูรูปด้านล่างนี้ครับ

จะสังเกตุว่าฝาหลังจะมี ส่วนที่นูน มาครอบในส่วนที่เป็นแบตเตอร์รี่เท่านั้น ดังนั้นถ้าเราไม่เช็ดออก น้ำก็จะขังอยู่ในช่องตรงนั้นดังรูป (Defy รุ่นแรกก็เป็น) ซึ่งหากไม่เช็ดออก น้ำมันก็ไม่เข้าตัวเครื่องหรอกครับ แต่ความชื้นอาจจะทำให้ประกันเราเสียไปได้ เสียไปเพราะอะไรมาดูรูปด้านล่างกัน

จะเห็นว่าตรงแบตเตอร์รี่มีแถบวัดความชื้นอยู่ ซึ่งสติ๊กเกอร์ที่มีรูปกากบาทสีแดง ถ้าหากมีความชื้นมากๆ ก็จะทำให้แถบวัดความชื้นเปลี่ยนสีแดงทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประกันของ Defy Mini ก็อาจจะเสียไปได้

สรุปก็คือ Motorola Defy Mini กันน้ำได้ แต่ถ้าหากไม่จำเป็นก็ไม่ควรเอามือถือไปเล่นน้ำบ่อยๆ เพราะอาจจะทำให้ประกันเสียได้ และถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังเล่นน้ำเสร็จก็ควรแกะฝาหลังออกมาเช็ดให้แห้งด้วยครับ

ขอจบการพรีวิวในส่วนฮาร์ดแวร์เพียงเท่านี้ หากมีข้อผิดพลาดประการ ขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ส่วนรีวิวตัว software จะตามมาเร็วๆ นี้ ขอบคุณครับ

ปล. ตอนนี้ Motorola Defy Mini สามารถหาซื้อตามร้านมือถือทั่วไปได้แล้ว โดยเปิดตัวมาที่ 6900 บาท ใครสนใจก็ลองไปหาซื้อได้