นับตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2015 ที่ Windows 10 เปิดตัวต่อสายตาชาวโลก ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันนี้ก็ได้กลายเป็น “หัวใจหลัก” ของผู้ใช้พีซีทั่วโลกอย่างรวดเร็ว Microsoft โปรโมต Windows 10 ว่าเป็น “Windows เวอร์ชันสุดท้าย” ที่จะได้รับการอัปเดตและพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ แทนที่จะมีการออกเวอร์ชันใหม่แบบเดิม ๆ
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Windows 10 ผ่านการปรับปรุงครั้งใหญ่หลายครั้ง ทั้งการเปลี่ยนดีไซน์ เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ปรับประสิทธิภาพการทำงาน และแก้ไขข้อบกพร่องที่สะสมมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้า จนสามารถสร้างฐานผู้ใช้นับพันล้านเครื่องทั่วโลก แต่แม้จะมีการอัปเดตหลายต่อหลายรอบ ก็ยังมีบางปัญหาและองค์ประกอบบางส่วนที่เหมือน “เงาตามตัว” ที่ Microsoft ไม่เคยจัดการได้จนถึงที่สุด
เมื่อ Windows 10 กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีที่ 10 อย่างเป็นทางการในวันที่ 29 กรกฎาคม 2025 นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะหันกลับไปทบทวน ว่าอะไรคือเรื่องค้างคาเหล่านั้น ปัญหาที่อยู่คู่ Windows 10 มาตลอดทศวรรษ และยังคงเป็นประเด็นพูดถึง แม้ระบบปฏิบัติการนี้จะเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอย่างการสิ้นสุดการซัพพอร์ตจาก Microsoft แล้วก็ตาม

1. ย้ายการตั้งค่าระบบจาก Control Panel ไป Settings ไม่ได้ทั้งหมด
ตั้งแต่ Windows 10 เปิดตัวเมื่อปี 2015 Microsoft ได้ประกาศทิศทางสำคัญว่าจะค่อย ๆ ลดบทบาทของแผงควบคุมแบบดั้งเดิม (Control Panel) และย้ายทุกฟังก์ชันเข้าสู่ “การตั้งค่า” (Settings) ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟซใหม่ที่ออกแบบมาให้ทันสมัย ใช้งานง่าย และรองรับการอัปเดตในอนาคตได้ดีกว่า เหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจนี้ก็เพื่อทำให้ระบบมีความเป็นเอกภาพ ลดความซับซ้อนของโค้ด และปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของ Windows ให้เร็วและเสถียรมากขึ้น
แนวคิดนี้ฟังดูเรียบง่าย แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะ Control Panel มีประวัติยาวนานและซับซ้อน ฟังก์ชันภายในเชื่อมโยงกับระบบหลายส่วนที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ยุค Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 การจะย้ายทั้งหมดเข้าสู่ Settings ให้สมบูรณ์แบบจึงต้องใช้เวลาและการทดสอบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะไม่เจอปัญหาในการเข้าถึงหรือใช้งาน

เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี โครงการนี้ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้แต่ใน Windows 11 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการใหม่กว่า เรายังคงเห็น Microsoft ทยอยย้ายเมนูและเครื่องมือต่าง ๆ จาก Control Panel ไปยัง Settings อย่างช้า ๆ ในบางครั้งยังพบว่าฟังก์ชันเดียวกันมีอยู่ทั้งใน Settings และ Control Panel ทำให้เกิดความซ้ำซ้อน และสร้างความสับสนให้กับผู้ใช้
การตอบรับของผู้ใช้ต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ก็มีทั้งเสียงบวกและเสียงลบ สำหรับผู้ใช้ทั่วไปโดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ได้ต้องการปรับแต่งเชิงลึก Settings ถือว่าใช้งานง่ายและค้นหาฟังก์ชันต่าง ๆ ได้สะดวกกว่าเดิม แต่สำหรับผู้ใช้ระดับแอดวานซ์หรือผู้ดูแลระบบ (IT Admin) กลับมองว่า Control Panel ยังคงตอบโจทย์มากกว่า เพราะสามารถเข้าถึงตัวเลือกการตั้งค่าได้อย่างละเอียด ลึก และรวดเร็ว ซึ่งในบางกรณี Settings ยังไม่สามารถแทนที่ได้เต็มร้อย
ดูเหมือน Microsoft เองก็ยังไม่กล้าตัดสินใจ “ปิดตำนาน” Control Panel ลงอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลด้านความเข้ากันได้ของระบบ (compatibility) หรือเพราะต้องรองรับซอฟต์แวร์รุ่นเก่าจำนวนมาก ถึงอย่างนั้น ความจำเป็นที่ผู้ใช้ต้องกลับไปเปิด Control Panel ในปัจจุบันก็ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงแรกที่ Windows 10 เปิดตัว
2. ข้อผิดพลาด 0x80070643 ใน WinRE
รหัสข้อผิดพลาด 0x80070643 เป็นปัญหาที่ผู้ใช้ Windows 10 เจอกันมานานกว่าหนึ่งปี โดยมักเกิดในส่วน WinRE (Windows Recovery Environment) หรือโหมดกู้คืนระบบ แม้ข้อผิดพลาดนี้จะไม่กระทบกับการใช้งานปกติของ Windows แต่ก็สร้างความรำคาญไม่น้อย เพราะ Microsoft ยังแก้ไม่ได้แบบอัตโนมัติ ต้องให้ผู้ใช้แก้เอง
ปัญหานี้เกิดขึ้นชัดเจนในอัปเดตเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพราะ Microsoft พยายามปรับขนาดพื้นที่ของ WinRE เพื่ออุดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับ BitLocker แต่ถ้าคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้มีพื้นที่ว่างไม่พอ กระบวนการปรับขนาดจะล้มเหลว ทำให้ขึ้นข้อผิดพลาด 0x80070643 และบางกรณีอัปเดตอาจค้างจนทำให้ Windows ทำงานผิดปกติ

Microsoft แนะนำให้ผู้ใช้ตรวจสอบว่ามีพื้นที่ในไดรฟ์ C: เพียงพอก่อนทำการอัปเดต หากเจอข้อผิดพลาดแล้ว ผู้ใช้ทั่วไปอาจต้องรอให้ Microsoft ออกอัปเดตใหม่มาแก้ ส่วนผู้ใช้ที่มีความรู้สามารถปรับพื้นที่ WinRE ด้วยตนเองได้ แต่ขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อน
แต่จนถึงขณะนี้ Microsoft ยังไม่มีอัปเดตเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทำให้ข้อผิดพลาดนี้ยังคงอยู่ต่อไป ผู้ใช้จึงต้องหาวิธีแก้ไขด้วยตนเอง ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ไม่ควรเกิดขึ้นในระบบปฏิบัติการที่พัฒนามาอย่างยาวนาน
3. Tablet Mode ใช้งานไม่สะดวกอย่างที่คิด
Tablet Mode เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ Microsoft โปรโมตอย่างจริงจังในช่วงเปิดตัว Windows 10 โดยออกแบบมาเพื่อให้คอมพิวเตอร์แบบ 2‑in‑1 และแท็บเล็ตใช้งานได้สะดวกขึ้น อินเทอร์เฟซถูกปรับให้เหมาะกับการสัมผัส เช่น ไอคอนใหญ่ขึ้น เมนูถูกจัดวางให้แตะได้ง่ายขึ้น
แม้แนวคิดจะดูน่าสนใจ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้มากนัก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับระบบปฏิบัติการแท็บเล็ตเต็มรูปแบบอย่าง iPadOS หรือ Android อินเทอร์เฟซของ Tablet Mode ใน Windows 10 ยังคงถูกมองว่าดูเทอะทะ ปุ่มกดเล็ก การตอบสนองไม่ลื่นไหล และไม่ช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น หลายคนจึงเลือกปิดโหมดนี้และใช้งานในโหมดปกติแทน แม้จะอยู่บนอุปกรณ์ที่มีจอสัมผัสก็ตาม

ปัญหาหนึ่งคือ Windows 10 ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานร่วมกับเมาส์และคีย์บอร์ดมากกว่าหน้าจอสัมผัส แม้ Microsoft จะพยายามปรับปรุง Tablet Mode หลายครั้ง เช่น ปรับตำแหน่ง Start Menu ปรับ Taskbar ให้ใช้งานด้วยการแตะง่ายขึ้น หรือปรับขนาดหน้าต่างอัตโนมัติ แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ จนในที่สุด Windows 11 จึงตัดสินใจยกเลิก Tablet Mode และเปลี่ยนมาใช้การปรับอินเทอร์เฟซอัตโนมัติเมื่อถอดคีย์บอร์ดแทน
สำหรับ Windows 10 นั้น Tablet Mode ยังคงอยู่ในรูปแบบเดิม และไม่เคยได้รับการอัปเดตครั้งใหญ่เพื่อปรับปรุงให้ใช้งานได้ดีขึ้น ทำให้มันกลายเป็นฟีเจอร์ที่ถูกมองข้ามและแทบไม่มีใครพูดถึงในปัจจุบัน
4. Windows Search เน้น Bing มากเกินไป
Windows Search ถือเป็นหนึ่งในฟีเจอร์หลักของ Windows 10 ที่ Microsoft ตั้งใจให้เป็นศูนย์กลางการค้นหาทุกอย่างในระบบ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาแอป การตั้งค่า หรือไฟล์ในเครื่อง อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านมาหลายปี ฟังก์ชันนี้ก็ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกสถานการณ์
ปัญหาที่ผู้ใช้จำนวนมากพบคือ การค้นหาการตั้งค่าและไฟล์ในเครื่องยังไม่แม่นยำ แม้จะพิมพ์ชื่อหรือคำใกล้เคียง แต่ระบบก็อาจไม่แสดงผลลัพธ์ที่ต้องการ หรือแสดงล่าช้าจนผู้ใช้เลือกที่จะเปิดเมนูเองแทน เช่น การค้นหาการตั้งค่าบางหมวดใน Settings หรือ Control Panel มักไม่เจอจากการค้นหาโดยตรง ทั้งที่เมนูนั้นอยู่ในระบบ ข้อบกพร่องนี้สร้างความหงุดหงิดให้ผู้ใช้จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้ที่คุ้นเคยกับการใช้ Search เป็นทางลัดเพื่อเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ

อีกประเด็นที่ถูกวิจารณ์คือ การผนวก Bing เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบปฏิบัติการซึ่งยังทำได้ไม่ลงตัว ส่งผลให้หลายครั้งแสดงผลการค้นหาไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยเมื่อค้นหาแล้วไม่พบผลลัพธ์ในเครื่อง Windows Search มักดึงข้อมูลจาก Bing มาแสดงแทน ซึ่งบางครั้งเนื้อหาที่แสดงก็ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ค้นหา และยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่า Microsoft ให้ความสำคัญกับการโปรโมต Bing มากกว่าประสบการณ์ค้นหาในเครื่อง
แม้ Microsoft จะตั้งใจใช้การผนวก Bing เข้ามาเป็นจุดแข็งเพื่อเชื่อมข้อมูลออนไลน์และในเครื่องให้ไหลลื่น แต่ในทางปฏิบัติกลับยังไม่เป็นที่น่าพอใจ และเสี่ยงที่จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าจะสร้างความสะดวก
5. ความไม่สอดคล้องของ UX
Fluent Design System
ในปี 2017 Microsoft ได้เปิดตัวแนวทางการออกแบบ Fluent Design System เพื่อยกระดับประสบการณ์ใช้งาน (UX) และภาพลักษณ์ของ Windows 10 ให้ดูทันสมัยขึ้น โดยเป็นการต่อยอดมาจากโครงการ Project Neon และมีเป้าหมายให้นักพัฒนาและแอปทั้งหมดในระบบนำไปใช้ร่วมกัน Fluent Design ชูจุดเด่นด้านความโปร่งใส มิติของเลเยอร์ การไล่เฉดสี และขอบโค้งมน เพื่อให้ส่วนติดต่อผู้ใช้ดูเป็นมิตรและสวยงามกว่าดีไซน์แบบเก่า
หนึ่งในจุดที่เห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนคือชุดไอคอนและโลโก้แอปใหม่ที่ Microsoft เปิดตัว เริ่มจากชุดโปรแกรม Microsoft Office ในปลายปี 2019 ที่ปรับดีไซน์ไอคอนให้มีมิติ ความลึก ไล่เฉดสี และความโค้งมนที่ดูโดดเด่น แตกต่างจากไอคอนในยุค Windows 8 ที่เคยถูกวิจารณ์ว่าดูแข็งและทื่อเกินไป ต่อมา Microsoft ได้ทยอยเผยภาพไอคอนแอปอื่น ๆ เพิ่มอีกกว่า 100 รายการในคอนเซปต์ Fluent Design ทำให้ภาพรวมของระบบดูสวยงามและกลมกลืนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักยังคงอยู่ที่ ความสม่ำเสมอในการนำ Fluent Design มาใช้จริง ถึงแม้จะมีการเปิดตัวและโปรโมตอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2017 แต่การนำไปใช้ในระบบกลับเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ Windows 10 ซึ่งอยู่ในช่วงอายุเกือบ 10 ปีแล้วยังคงมีการผสมกันขององค์ประกอบสมัยใหม่และองค์ประกอบเก่าจากยุคก่อนหน้า เช่น เมนูบางส่วน ป๊อปอัป และหน้าต่างการตั้งค่าที่ไม่ได้ถูกอัปเดตให้สอดคล้องกัน

Dark Mode
Dark Mode เป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ได้รับความนิยมสูงในหลายระบบปฏิบัติการ เนื่องจากช่วยลดแสงจ้าในที่แสงน้อย เพิ่มความสบายตา และให้ภาพรวมที่ดูทันสมัยมากขึ้น Microsoft จึงได้เพิ่ม Dark Mode ให้กับ Windows 10 เพื่อตอบรับความต้องการนี้ แต่ปัญหาคือการใช้งานจริงกลับไม่เป็นไปอย่างที่ผู้ใช้คาดหวัง
ใน Windows 10 การเปิดใช้ Dark Mode มักทำงานได้ไม่ครบถ้วนทั่วทั้งระบบ แอปพลิเคชันจำนวนมาก โดยเฉพาะแอปของ Microsoft เอง เช่น File Explorer, Control Panel หรือแม้กระทั่งบางส่วนของ Settings ไม่สามารถแสดงธีมมืดได้เต็มรูปแบบ ทำให้ผู้ใช้เห็นแบ “ครึ่งมืดครึ่งสว่าง” ที่ดูไม่สอดคล้องกัน ผลลัพธ์คือประสบการณ์การใช้งานที่ขาดความเป็นเอกภาพ

ปัญหานี้ยิ่งเด่นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับ ระบบปฏิบัติการอื่น อย่าง macOS หรือ iOS ที่ Dark Mode ถูกออกแบบมาอย่างครบวงจร การเปิดโหมดมืดในระบบจะถูกส่งต่อไปยังทุกส่วนของอินเทอร์เฟซ และแอปของ Apple เองรวมถึงแอปของบุคคลที่สามส่วนใหญ่ก็รองรับการทำงานนี้อย่างกลมกลืน ทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้ต่อเนื่องและมีคุณภาพ
ในทางกลับกัน Dark Mode ของ Windows 10 ยังถูกมองว่าเป็นฟีเจอร์ที่ “เพิ่มเข้ามาแต่ไม่เสร็จสมบูรณ์” ซึ่ง Microsoft ก็ไม่ได้เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง แม้ในเวอร์ชันอัปเดตใหม่ ๆ จะมีการปรับปรุงเล็กน้อย แต่ปัญหาความไม่สม่ำเสมอยังคงอยู่ และผู้ใช้บางส่วนจึงเลือกปิด Dark Mode ไปเลยเพราะมองว่าให้ภาพรวมที่ไม่สวยงามและขาดความต่อเนื่อง

แม้ Windows 10 จะเดินทางมาถึงช่วงปลายอายุการซัพพอร์ตในเดือนตุลาคม 2025 แต่ความนิยมของระบบปฏิบัติการนี้ยังไม่ลดลง ด้วยความเสถียรและการใช้งานที่ลื่นไหล แม้บางปัญหาจะยังไม่ได้รับการแก้ไขเต็มที่ก็ตาม ในที่สุด ผู้ใช้ที่ต้องการความปลอดภัยและฟีเจอร์ใหม่ย่อมต้องอัปเกรดสู่ Windows 11 ขณะที่บั๊กและปัญหาที่เหลืออยู่ใน Windows 10 อาจจะถูกปล่อยให้คงอยู่จนถึงวันที่ระบบปิดฉากลง
อ้างอิง : Neowin
Comment