แท็บเล็ตตัวคุ้ม Samsung Galaxy Tab S10 FE และ Galaxy Tab S10 FE+ คู่แฝดประจำซีรีส์ Galaxy Tab S10 Series ที่กลับมาพร้อมการอัปเกรดหลายด้าน ตั้งแต่หน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่สุดถึง 13.1 นิ้ว อัตรารีเฟรชเรท 90Hz มีปากกา S Pen มาให้เลยตั้งแต่แกะกล่อง ใช้งาน Muti-tasking หรือจดเลคเชอร์หายห่วง มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 แบตอึด ใช้งานได้นานกว่า 10-11 ชั่วโมง กับราคาเริ่มต้น 17,900 บาท

ดีไซน์มินิมอล พรีเมียม ทรงพลัง
Samsung Galaxy Tab S10 FE และ Galaxy Tab S10 FE+ ใช้ดีไซน์ต่อยอดมาจากรุ่นพี่อย่าง Tab S10 Series ขอบเครื่องโค้งมน และการกระจายน้ำหนักทั่วถึง ทำให้การหยิบจับ หรือถือใช้งานพกพาไปยังที่ต่างๆ สามารถทำได้แบบสะดวกสบาย รุ่นที่เราได้มาทดสอบเป็นรุ่น WiFi ทั้งสองรุ่น โดย Galaxy Tab S10 FE+ มีน้ำหนัก 664 กรัม และ Galaxy Tab S10 FE มีน้ำหนักอยู่ที่ 497 กรัม
การออกแบบด้านหลังของทั้งสองรุ่น มีผิวสัมผัสแบบด้าน ไม่มันเงา ใครที่ชอบถือใช้งานแบบไม่ใส่เคส ฟีลลิ่งการจับถือจะดีสุดๆ และข้อดีอีกหนึ่งอย่างก็คือ ไม่ทิ้งรอยนิ้วมือไว้ที่ตัวเครื่องอีกด้วย งานประกอบโดยรวมดูพรีเมียมแข็งแรง ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง กับปุ่มพาวเวอร์ที่ใช้เป็นเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านบนฝั่งซ้ายของตัวเครื่อง พร้อมกับถาดใส่ SD Card ด้านบนฝั่งขวา ส่วนลำโพงคู่สองตัวยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ซ้าย 1 ตัว และขวา 1 ตัว ข้างๆ พอร์ตเชื่อมต่อ USB-C
สำหรับกล้อง ในปีนี้ทั้งสองรุ่นให้กล้องหลังมา 1 ตัว คือเซนเซอร์หลักความละเอียด 13 ล้านพิกเซล ซึ่งอัปเกรดขึ้นมาจาก 8 ล้านพิกเซล ส่วนตัว FE+ จะไม่มีกล้องอัลตราไวด์แล้วนะ กล้องหน้ามุมมองกว้าง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล วางอยู่ในตำแหน่งแนวนอน ซึ่งเหมาะมากๆ สำหรับคนที่ต้องใช้สำหรับการประชุมออนไลน์ หรือใช้ถ่ายวิดีโอกล้องหน้าบ่อยๆ


จอใหญ่เต็มตา ใหญ่ที่สุดใน Tab FE Series
ขึ้นชื่อว่าแท็บเล็ตสำหรับทำงาน การใช้งานแบบ Multi-tasking หรือใช้งานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ต้องไม่อ่อม ซึ่ง Galaxy Tab S10 FE และ Tab S10 FE+ ดูจะเข้าใจผู้ใช้งานอย่างเรา เลยให้หน้าจอขนาดใหญ่ถึง 13.1 นิ้ว สำหรับรุ่น FE+ ส่วนตัวรุ่นน้องจะได้เป็นหน้าจอขนาด 10.9 นิ้ว พาแนลหน้าจอ LCD อัตตรารีเฟรชเรท 90Hz ความสว่างสูงสุด 800 nits ทั้งสองรุ่น มี Algorithm Vision booster ช่วยปรับแสงให้มองเห็นได้แบบชัดเจน ถึงแม้จะอยู่กลางแจ้งก็ตาม


โดยข้อดีของการได้หน้าจอใหญ่ พร้อมขอบจอที่บางลง จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการทำงานแบบ Multi-tasking หรือดูหนัง ดูซีรีส์ได้แบบจุใจเต็มตามากขึ้น หรือจะเป็นการประชุมออนไลน์ แชร์หน้าจอ มุมมองที่กว้างหรือมากกว่าก็จะทำให้เราได้เปรียบไปด้วย
นอกจากนั้นแล้วการทำงานเอกสาร ทำงาน Multi-task หรือการแบ่งหน้าแอปพลิเคชันที่ทำได้สูงสุดถึง 3 แอปพลิเคชัน หรือสูงสุดถึง 15 แอปพลิเคชันหากใช้ Samsung Dex ฟีเจอร์จำลองการใช้งานแท็บเล็ตใน UI และ UX แบบเดียวกับบน Desktop ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังใช้งานแล็ปทอป เป็นผลมาจากหน้าจอขนาดใหญ่ ช่วยให้สามารถย่นระยะเวลาในการทำงานของเราลงไปได้เยอะเหมือนกัน จากแต่ก่อนที่ต้องสลับหน้าแอปพลิเคชันไปมา พอมีหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น พื้นที่ทำงานเราก็เยอะขึ้นตามไปด้วย
ปากกา S Pen วิเศษ ช่วยทำงานเลิศในปฐพี
ตัวเครื่องมาพร้อมกับมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68 สำหรับการทำงานนอกสถานที่ ดังนั้น การจะทำงานให้มีประสิทธิภาพเต็มที่ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เข้าคลาสจดเลคเชอร์ ใช้ทำสไลด์หรือเขียนเนื้อหาสอน จะเป๊ะขึ้นได้ต้องมีตัวช่วยอย่างปากกา S Pen โดยจะแถมมาให้ตั้งแต่แกะกล่อง ไม่ต้องหาซื้อให้วุ่นวาย แถมการใช้งาน S Pen ก็ไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตให้ยุ่งยากด้วย


เพื่อนๆ คนไหนที่เคยใช้งาน Tab Series หรือ Note และ S Series มา จะรู้กันว่าปากกา S Pen คือหนึ่งในปากกาสำหรับการเขียนบนหน้าจอที่ดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการรองรับแรงกดหลายระดับ วาดรูป จดเลคเชอร์ก็ทำได้ดี และยังสามารถ ‘วางมือบนจอ’ ตอนเขียนหรือวาดรูปได้ด้วย เดี๋ยวจะพาไปดูกันว่า S Pen 1 ด้าม สามารถทำอะไรได้บ้างกับแท็บเล็ตสองเครื่องนี้
- Screen Write : อยากแคปหน้าจอ หรือคอมเมนต์งานแบบเร็วๆ แต่ยังต้องเสียเวลากดปุ่มเพื่อแคปหน้าจออีกทีหนึ่ง ด้วยฟีเจอร์ Screen Write จะช่วยให้เราสามารถแคปภาพทั้งหน้าจอได้เพียงปลาย S Pen กดปุ๊บ แคปปั๊บ พร้อมคอมเมนต์ เซฟเก็บในคลังภาพ หรือจะแชร์ต่อก็ทำได้ทันที


- ครอปเฉพาะจุด (AI Select) : เคยเป็นมั้ย บางทีกำลังหาไอเดีย หรือเล่น Social Media อยู่ แล้วไปเจอรูปที่ชอบมากๆ จะกดแคปทั้งหน้าจอกลัวเสียเวลาต้องมานั่ง Crop ใหม่อีกที แต่ว่าฟีเจอร์ครอปเฉพาะจุด หรือ ‘AI Select’ จะทำให้เราสามารถเลือกวงแค่เฉพาะพื้นที่ที่ต้องการเพื่อแคปหน้าจอได้เลย แต่ที่เด็ดกว่านั้น คือเราสามารถเลือกครอปเฉพาะจุด แล้วแคปเป็นวิดีโอในรูปแบบไฟล์ GIF ได้สูงสุด 15 วินาที และยังเซฟภาพ หรือแชร์ต่อได้ด้วย


- ปากกาแปลภาษา : อยากฝึกภาษา หรือต้องนั่งอ่านเปเปอร์ อ่านเว็บไซต์ที่มีแต่ภาษาที่ไม่เข้าใจ คำศัพท์ไม่คุ้นเคย จะให้เสียเวลาสลับแอป Translate หรือมานั่งพิมพ์ทีละประโยคก็ยังไงอยู่ S Pen เลยเสิร์ฟฟีเจอร์ Translate มาให้ใช้ แปลได้ทั้งซับไตเติลในคลิปวิดีโอ ไปจนถึงข้อความในรูปภาพยังทำได้ ไม่จำกัดแค่ว่าต้องเป็นไฟล์ PDF หรือ Text ปกติเท่านั้น กดที่ปุ่มรูปปากกา (Air Command) จากนั้นเลือก Translate สามารถนำปากกามาจ่อที่ประโยค หรือคำที่ต้องการจะแปลได้เลย


- S Pen to Text : จดโน้ตอยู่ดีๆ แต่ต้องสลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก Google ต้องคอยสลับไปมาระหว่างปากกา กับคีย์บอร์ดหรือใช้นิ้วพิมพ์ แต่ถ้าใช้ S Pen ปัญหานี้จะหมดไป เพราะฟีเจอร์ S Pen to Text ให้เราสามารถเขียนเป็นลายมือลงไปในช่องพิมพ์ข้อความ หรือช่องค้นหาได้เลย พร้อมเปลี่ยนเป็น Text ให้อัตโนมัติ


แอปโน้ตใช้ฟรีตลอดชีพที่จริงใจ อัดเต็มฟีเจอร์เพียบ
ในเมื่อมีปากกา S Pen มาให้ใช้แล้ว จะไม่มีแอปโน้ตดีๆ ที่จริงใจเป็นเพื่อนเคียงข้างอยู่มันก็ยังไง Samsung Notes จะช่วยให้การจดโน้ตเป็นเรื่องง่าย ใครเป็นสายจด เขียนสรุปไฟล์ เลคเชอร์ตึงๆ หรือใช้แท็บเล็ตเขียนและวาดอะไรบ่อยๆ ล่ะก็ Samsung Galaxy Tab S10 FE และ Tab S10 FE+ ตอบโจทย์ตรงนี้ได้แบบเต็มรูปแบบแน่นอน แค่เปิดแอปโน้ตก็ปิดจ็อบได้ทุกงาน เดี๋ยวพาไปส่องฟีเจอร์เด็ดๆ ว่าใช้ Samsung Notes กับปากกา S Pen ยังไงให้คุ้ม
- เปิดโน้ตด่วน : หัวหน้าบรีฟงานด่วน อาจารย์บอกแนวข้อสอบกะทันหัน แค่กดปุ่มบนปากกา S Pen ค้างไว้ แล้วเคาะหน้าจอสองครั้ง หน้าจอสำหรับจดโน้ตด่วนก็จะขึ้นมาทันทีถึงแม้ว่าหน้าจอจะปิดอยู่ บอกลาการกดเปิดหน้าจอ แล้วเลื่อนหาแอปโน้ตให้เสียเวลา


- ตัวช่วยการเขียน : ยิ่งเขียนบรรทัดยิ่งเบี้ยว แก้ได้ด้วย Handwriting Assist จัดระเบียบลายมือ และบรรทัดให้ออกมาสวย จดบันทึกไปอ่านทีหลังแบบสบายตา หรือจะเป็น S Pen to Text เปลี่ยนลายมือเป็นข้อความ Copy ไปใช้ต่อได้ง่ายๆ ไม่เสียเวลานั่งพิมพ์ใหม่


- อัดเสียงพร้อมกับจดบันทึก : คลาสก็ยาว ประชุมก็นาน จดบันทึกพร้อมกับบันทึกเสียงผ่าน Samsung Notes ได้โดยตรง กลับไปทบทวน หรือทำสรุปใหม่อีกครั้งก็ง่าย แค่จิ้มข้อความที่ต้องการ ก็จะเล่นเสียงบันทึกในช่วงนั้นให้เลยอัตโนมัติ แถมกดแชร์โน้ตให้เพื่อนเข้ามาช่วยแก้ไขโน้ตพร้อมกันได้เลย เหมือน Working Space ดีๆ นี่เอง


- Drag and Drop : เมื่อใช้งานแบบแบ่งหน้าจอกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้เราสามารถลากรูปภาพแบบไม่ต้องกดดาวน์โหลด หรือข้อความจากเว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน เช่น Canva หรือ Pinterest มาที่ Samsung Notes ได้โดยตรง


ชิป Exynos 1580 อัปเกรดแบบเบิ้มๆ
ถึงแม้จะเป็นแท็บเล็ตสำหรับการทำงาน แต่ทางซัมซุงก็ยังให้ชิปเซตที่สามารถใช้ทำงาน หรือรองรับ Performance ระดับกลางได้เป็นอย่างดีมาให้ โดยทั้ง Galaxy Tab S10 FE และ Tab S10 FE+ ใช้เป็นชิปเซตใหม่ล่าสุดอย่าง Exynos 1580 ที่ CPU และ GPU มีประสิทธิภาพมากขึ้นถึง 53% และ 35% ตามลำดับเมื่อเทียบกับ Galaxy S9 FE Series ที่ใช้ชิปเซต Exynos 1380 มาพร้อม One UI 7 และ Android Version 15 ซัพพอร์ตการอัปเดต OS ระยะยาวนานถึง 6 ปี



สามารถใช้เล่นเกมทั่วไปได้แบบโอเค จากการทดลองใช้งานมาสำหรับเกมพื้นฐาน เช่น PUBG Mobile, RoV, Roblox ส่วนเกมที่ใช้ทรัพยากรเยอะๆ อย่าง Genshin Impact สามารถปรับเฟรมเรทได้สูงสุด 60FPS ก็จริง แต่อาจจะมีบ้างบางจังหวะที่ไม่ได้ลื่นตลอด เหมาะกับการเอาไปใช้เล่นทำเควสประจำวัน ตีมอนสเตอร์หรือบอสทั่วไปที่ไม่จริงจังมาก ใครที่จะซื้อไปเล่นเกมแล้วกลัวจอใหญ่เกินก็ยังสามารถต่อ Joy Controller กับเกมที่รองรับ (เช่น Genshin Impact หรือ Asphalt) นั่งเล่นได้สบายๆ เลย ไม่ต้องถือจอ
นอกจากชิปเซตที่อัปเกรดขึ้นมาแล้ว ก็ยังได้อัปเกรดในส่วนของหน่วยประมวลผล และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลด้วย โดยที่รุ่น FE+ อัปเกรดขึ้นมาเป็น 12GB + 256GB พร้อมรองรับการใส่ SD Card สูงสุด 2TB (จากเดิม 8GB + 128GB ในรุ่น S9 FE+) และรุ่นธรรมดา 8GB + 128GB ใส่ SD Card ได้สูงสุด 2TB เช่นกัน (จากเดิม 6GB + 128GB ในรุ่น S9 FE) และด้วยการอัปเกรดนี้นี่เองทำให้ฟีเจอร์ AI ถูกใส่ลงมาในแท็บเล็ตทั้งสองรุ่นด้วย รวมไปถึงฟีเจอร์ AI ไม่ว่าจะเป็น
- Auto Trim
- Best Face
- Read Aloud




แบตอึด ดูหนังยาวกว่า 10 ชั่วโมง ชาร์จไว 45W
Galaxy Tab S10 FE ให้แบตเตอรี่มาที่ขนาด 8,000 mAh และ Tab S10 FE+ มีแบตเตอรี่ขนาด 10,090 mAh รองรับการชาร์จไวที่ 45W ทั้งสองรุ่น จะใช้ทำงาน ประชุมออนไลน์ หรือดู YouTube ดูซีรีส์ยาวๆ ข้ามคืน แบตก็ไม่มีอ่อม นานขนาดที่ว่าใช้ดู Netflix และ YouTube ได้ถึง 10 ชั่วโมงเลย ยิ่งใครที่จำเป็นจะต้องออกไซต์ ไปทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ ที่หาจุดชาร์จแบตยาก ชาร์จไว้ตอนนอน ก็พร้อมออกไปทำงานตลอดวัน
สเปค Galaxy Tab S10 FE เทียบ Tab S10 FE+
Galaxy Tab S10 FE | Galaxy Tab S10 FE + | |
จอแสดงผล | LCD 10.9 นิ้ว (2304 x 1440) 90Hz ความละเอียด 2K (800 nits) | LCD 13.1 นิ้ว (2880 x 1800) 90Hz ความละเอียด 2K (800 nits) |
ขนาด | 254.3 x 165.8 x 6.0 มม. (บางลง 0.5 มม.) | 300.6 x 194.7 x 6.0 มม. (บางลง 0.5 มม.) |
วัสดุ | Full Metal | |
น้ำหนัก | 497g (Wi-Fi) / 500g (5G)(เบาลงเฉลี่ย 25 กรัม) | 664g (Wi-Fi) / 668g (5G) |
กล้องหลัง | 13MP | |
กล้องหน้า | 12MP Ultrawide | |
Ram | 8GB | 12GB |
Storage | 128GB | 256GB |
SD Card | รองรับการใส่ SD Card สูงสุด 2TB | |
CPU | Exynos 1580 | |
แบตเตอรี่ | 8,000 mAh ชาร์จไว 45W | 10,090 mAh ชาร์จไว 45W |
การเชื่อมต่อ | 5G (Sub-6), Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3 | 5G (Sub-6), Wi-Fi 6, Bluetooth 5.3 |
ลำโพง | Dual Speaker | |
มาตรฐาน | กันน้ำ กันฝุ่น IP68 |
สรุปการใช้งาน
ทั้ง Samsung Galaxy Tab S10 FE และ Tab S10 FE+ ถือเป็นแท็บเล็ตระดับกลางที่สามารถใช้ทำงานได้ดีมากๆ อีกรุ่นหนึ่ง รวมไปถึงสเปคภาพรวมที่นับว่าครบ และคุ้มค่ามากสำหรับใครที่ต้องการแท็บเล็ตสักเครื่องไปใช้เรียน หรือใช้ทำงาน จอก็ใหญ่ แบตก็เยอะ น้ำหนักก็เบา แถมยังได้ปากกา S Pen มาใช้ฟรีด้วยตั้งแต่เปิดกล่อง และไม่ต้องคอยชาร์จแบตปากกาให้วุ่นวาย ใช้งานได้เพลินๆ จดโน้ตจนลืมตัว


และยังไม่นับ Ecosystem ของ Samsung ที่เรียกว่าหากเอาแท็บเล็ตมาใช้คู่กับ Smartphone ของ Samsung แล้วล่ะก็ เหมือนได้ปลดล็อกฟีเจอร์เด็ดๆ อีกเพียบ เช่น การแคสต์หน้าจอ Smartphone มาไว้บนจอแท็บเล็ต การควบคุมหรือลากไฟล์บน Smartphone เข้าแท็บเล็ตได้โดยตรง ใช้กล้องสมาร์ทโฟนของเราระหว่างมีตติ้งบนแท็บเล็ตได้ด้วย แถมยังสามารถรับสายโทรเข้า หรือกดโทรออกผ่านแท็บเล็ตที่เชื่อมกับสมาร์ทโฟน Samsung ของเราได้ด้วยนะ ใครอยากรู้ว่าทำยังไงเดี๋ยวครั้งหน้ามาแนะนำให้แน่นอน!
จุดเด่นของ Galaxy Tab S10 FE Series
- ได้หน้าจอใหญ่เหมาะสำหรับการใช้ทำงาน หรือใช้งานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์
- Tab S10 FE : 10.9 นิ้ว (90Hz)
- Tab S10 FE+ : 13.1 นิ้ว (90Hz)
- ปากกา S Pen แถมมาให้เลยในกล่อง ไม่ต้องเสียเงินซื้อเพิ่ม และไม่ต้องชาร์จ
- มี DeX Mode ใช้ทำงานแบบ Desktop ให้ PC Experience ได้
- มี Galaxy AI รองรับภาษาไทยให้ใช้งาน ได้รับการอัปเดต OS ยาวถึง 6 ปี
- เป็นแท็บเล็ตไม่กี่รุ่น ที่ยังมีรุ่น WiFi และ Cellular ให้เลือกซื้อ
- รองรับการใส่ SD Card เพิ่มเติมสูงถึง 2TB
จุดพิจารณาของ Galaxy Tab S10 FE Series
- USB-C ยังไม่รองรับการต่อจอนอกด้วยสาย
- รุ่น FE+ ด้วยขนาดจอที่ใหญ่มากๆ หากใช้งานแบบไม่มีเคสสำหรับการตั้งอาจจะลำบากได้
- ชิปเซต Exynos 1580 เหมาะกับการทำงานระดับกลางๆ เป็นหลัก
- หน้าจอขนาดใหญ่ แต่น่าเสียดายที่รีเฟรชเรทยังเป็น 90Hz
ราคาและการวางจำหน่าย
Samsung Galaxy Tab S10 FE จะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 เมษายน 2568 เป็นต้นไป โดยมีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีเทา (Gray) และสีฟ้า (Blue)
ส่วน Samsung Galaxy Tab 10 FE+ มีให้เลือกเพียงแค่สีเดียวเท่านั้น ได้แก่ สีเทา (Gray) พร้อมตัวเลือกรุ่นความจุและราคา ดังนี้
- Galaxy Tab S10 FE Wi-Fi (8GB + 128GB) : 17,900 บาท
- Galaxy Tab S10 FE 5G (8GB + 128GB) : 20,900 บาท
- Galaxy Tab S10 FE+ Wi-Fi (12GB + 256GB) : 26,900 บาท
- Galaxy Tab S10 FE+ 5G (12GB + 256GB) : 29,900 บาท
โปรโมชัน
สำหรับลูกค้าที่พรีออเดอร์ในช่วงวันที่ 10 –23 เมษายน 2568 เฉพาะที่ Samsung Experience Store และเว็บไซต์ Samsung.com รับฟรีของแถมถึงสองรายการเพิ่มเติม ดังนี้
- Free Adapter 45W (1,090 บาท)
- Free Book Cover Keyboard (มูลค่า 2,990 บาท)
หรือใครที่กลัวจะซื้อช่วงพรีออเดอร์ไม่ทัน ก็สามารถรับของแถมสำหรับการซื้อในช่วงเปิดตัวได้เหมือนกัน วันที่ 21 เมษายน จนถึงวันที่ 1 มิถุนายน 2568 รับฟรี AI Book Cover Keyboard สำหรับ Galaxy Tab S10 FE หรือ Tab S10 FE+ ไปเลย (มูลค่า 2,990 บาท)
Comment