Gemini โมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่ Google ใช้ขับเคลื่อนฟีเจอร์ Google AI มีอายุครบ 5 เดือนแล้ว นับตั้งแต่เผยโฉมสู่สาธารณะเมื่อเดือนธันวาคมปีกลาย ประกอบกับเดือนนี้มีการจัดงาน Google I/O 2024 พอดี Google จึงถือโอกาสนี้ออกมาเล่าถึงเรื่องราวเบื้องหลัง เกี่ยวกับการตั้งชื่อ Gemini ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เป็นครั้งแรก

Google บอกว่าผู้ที่ตั้งชื่อให้ Gemini คือ DeepMind ที่ดูแลด้านการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ จึงยกหน้าที่ให้ Jeff Dean หัวหน้าทีม Google AI มาพูดเรื่องนี้ด้วยตนเอง

Dean เล่าว่าแรกเริ่มเดิมที โปรเจกต์ปัญญาประดิษฐ์ของ Google ใช้ชื่อว่า Titan ที่เป็นชื่อของดวงจันทร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของดาวเสาร์ แต่เจ้าตัวไม่ถูกใจชื่อนี้ เลยต้องไปคิดชื่อกันใหม่ โดยที่ Dean อยากให้คงความเกี่ยวข้องกับความเป็นอวกาศเอาไว้ หลังจากขบคิดกันอยู่นาน สุดท้ายก็ได้ชื่อออกมาเป็น Gemini ที่ตรงตามคอนเซปต์ มีนัยแฝงที่น่าสนใจหลายอย่างที่สอดคล้องกัน แถมชื่อนี้ยังเป็นชื่อที่ตัว Dean เอง เคยเสนอไว้นานแล้ว (แต่ตอนแรกไม่ได้ถูกนำมาใช้)

Gemini มีความหมายว่า ‘ฝาแฝด’ ในภาษาละติน เป็นชื่อของกลุ่มดาวคนคู่ในทางดาราศาสตร์ หนึ่งในกลุ่มดาว 12 จักรราศีประจำราศีเมถุน ที่มีคำกล่าวกันว่าคนที่เกิดในราศีนี้มักมีลักษณะเป็นคนสองบุคลิก ซึ่งถูกมองว่าคล้ายคลึงกับความสามารถในการปรับตัวได้อย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ และสามารถเชื่อมโยงกับผู้คนได้หลากหลาย มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้จากมุมมองที่แตกต่างกัน

เหตุผลอีกประการคือ Gemini เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างทีมปัญญาประดิษฐ์สองทีมของ Google คือ DeepMind และ Google Brain ซึ่งก็ไปตรงกับภาพลักษณ์ ‘คนคู่’ ของ Gemini อย่างลงตัว

นอกจากนี้ ชื่อ Gemini ยังได้แรงบันดาลใจเสริมมาจาก Project Gemini ของโครงการ Moonshot ในยุคแรกของ NASA ช่วงปี 1965 ถึง 1968 ที่มีการส่งนักบินอวกาศขึ้นไปสองคนบนยานลำหนึ่ง แล้วให้ไปเชื่อมต่อ – ประกอบร่าง เข้ากับยานอีกลำหนึ่งที่เป็นส่วนฐานบนอวกาศเพื่อลงจอดบนดวงจันทร์

ซึ่งก็มีความบังเอิญอีกอย่างพ่วงมาด้วย คือจรวดขับเคลื่อนตอนปล่อยยาน ที่ดันมีชื่อว่า Titan II GLV ตรงกับชื่อโปรเจกต์ดั้งเดิมของ Google พอดิบพอดีอีกเช่นกัน

จากความเข้ากันได้และความบัญเอิญหลายอย่างที่เกิดทับซ้อนกันราวกับโชคชะตานำพา ในท้ายที่สุด Gemini จึงถูกหยิบมาใช้เป็นชื่อปัญญาประดิษฐ์ของ Google ด้วยประการฉะนี้

ที่มา : Google