หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อยเมื่อผู้คนจะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คือการเรียก “เคส” ว่า “ซีพียู” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ซีพียู (Central Processing Unit) คือชิปขนาดเท่าฝ่ามือที่มีบทบาทสำคัญในการประมวลผลข้อมูลและควบคุมการทำงานต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ มันทำหน้าที่เสมือนหัวใจหลักในการประมวลผล เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการเลือกซีพียูที่เหมาะสมจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการประกอบคอมพิวเตอร์ แต่ด้วยปัจจุบันที่มีซีพียูหลายรุ่นและหลายค่ายให้เลือก หลายคนอาจรู้สึกสับสนว่า ควรเลือกซีพียูตัวไหนให้เหมาะสมกับการใช้งานของตัวเอง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีการเลือกซีพียูที่ตรงกับความต้องการและช่วยในการตัดสินใจซื้อในปี 2025 ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

ในปี 2025 วงการคอมตั้งโต๊ะอาจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่เท่าฝั่งโน้ตบุ๊ก ค่ายหลักยังคงเป็น Intel และ AMD เช่นเดิม ซึ่งแต่ละค่ายก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน Intel ขึ้นชื่อเรื่องความเสถียรและประสิทธิภาพในการทำงานที่ไว้ใจได้ ส่วน AMD มักให้ความแรงที่คุ้มค่า เล่นเกมดีในราคาที่ถูกกว่า และรองรับการอัปเกรดได้นานกว่า โดยแต่ละค่ายจะมีซีพียูแบบไหนให้เลือกบ้างเราได้ทำการสรุปมาให้แล้ว
สารบัญคู่มือการจัดสเปกคอม
สำหรับใครที่สนใจวิธีการเลือกอุปกรณ์ต่างๆ ในการประกอบคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ผมจะเริ่มทำเป็นซีรี่ย์เพื่อแนะนำวิธีการเลือกอุปกรณ์แต่ละตัวให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยในตอนแรกนี้เราจะเริ่มต้นที่ ซีพียู ก่อนครับ และในตอนต่อไปจะมีการแนะนำการเลือก เมนบอร์ด และอุปกรณ์อื่นๆ ตามมาทีละตัว ไปติดตามกันได้ครับ
- เมนบอร์ด (ยังไม่เสร็จ)
- การ์ดจอ (ยังไม่เสร็จ)
- แรม (ยังไม่เสร็จ)
- HDD / SSD
- PSU (ยังไม่เสร็จ)
- เคส (ยังไม่เสร็จ)
CPU คืออะไร
CPU (Central Processing Unit) หรือ หน่วยประมวลผลกลาง คือส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ในการรับคำสั่งจากโปรแกรมต่างๆ ที่อยู่ในหน่วยความจำหลัก จากนั้นทำการอ่านคำสั่ง ตีความหมาย และดำเนินการตามคำสั่งนั้น ๆ เมื่อเสร็จสิ้นการประมวลผล CPU จะเขียนผลลัพธ์กลับไปยังหน่วยความจำหลัก

ดังนั้น CPU เปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ หาก CPU ทำงานช้าหรือมีประสิทธิภาพต่ำ คอมพิวเตอร์ก็จะทำงานช้าลงตามไปด้วย ในปัจจุบัน CPU มีหลายรุ่น และแต่ละรุ่นมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน การเลือก CPU ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น งบประมาณ, ประเภทการใช้งาน, และ ประสิทธิภาพที่ต้องการ
ก่อนหน้านี้ ความเร็วของ CPU มักจะวัดจาก ความถี่สัญญาณนาฬิกา (GHz) ซึ่งใช้กำหนดความเร็วในการประมวลผล แต่ในปัจจุบัน GHz ไม่ใช่ตัวชี้วัดประสิทธิภาพทั้งหมด เนื่องจาก CPU รุ่นใหม่ๆ มักจะมีการเพิ่ม จำนวนคอร์ (Cores) และ แกนประมวลผล (Threads) ที่มากขึ้น ซึ่งช่วยให้ประมวลผลได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เลือกซื้อซีพียูต้องดูอะไรบ้าง
ในการเลือกซื้อ ซีพียู (CPU) มีหลายปัจจัยที่ควรพิจารณานอกจากยี่ห้อที่จะช่วยให้เลือกซีพียูที่เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณของคุณ นี่คือปัจจัยหลักที่ควรพิจารณา

คอร์ (Core) / เธรด (Thread)
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ซีพียูแต่ละรุ่นต่างกันหลัก ๆ แล้วจะเป็นเรื่องของคอร์และเธรดนี่แหละ โดยจะสังเกตว่าซีพียูรุ่นใหญ่ราคาแพงมักจะหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ซีพียูแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันคือจำนวน คอร์ และ เธรด โดยทั่วไป ซีพียูรุ่นใหญ่ราคาแพงมักจะมาพร้อมกับคอร์และเธรดที่มากกว่า ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในงานหลายประเภท
คอร์ (Core) คือชุดของหน่วยประมวลผลในซีพียู ซึ่งในหนึ่งซีพียูอาจมีหลายคอร์ โดยในที่นี้เราหมายถึง Physical Core หรือคอร์จริงที่มีอยู่ในซีพียู เหมือนกับการมีพนักงานหลายคนที่ช่วยกันทำงาน โดยการกระจายงานออกเป็นส่วน ๆ ทำให้สามารถทำงานได้พร้อมกันหลายงาน ซึ่งเพิ่มความเร็วในการประมวลผล ตัวอย่างเช่น ซีพียูที่มี 4 Physical Cores สามารถทำงานได้ 4 งานพร้อมกัน

ในปัจจุบัน ซีพียู ส่วนใหญ่จะใช้เทคโนโลยี Hyper-Threading (ของ Intel) หรือ SMT (ของ AMD) ซึ่งช่วยให้แต่ละ Physical Core สามารถทำงานได้มากกว่าหนึ่งงาน โดยการแบ่งคำนวณเป็น Logical Core หรือ เธรด ซึ่งทำให้สามารถประมวลผลได้หลายงานพร้อมกันในคอร์เดียว
เธรด (Thread) หรือ Logical Core คือการแบ่งงานภายใน Physical Core ที่ช่วยให้คอร์หนึ่งสามารถทำงานได้มากกว่าหนึ่งงานในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ซีพียู 4 Physical Cores ที่ใช้ Hyper-Threading จะมี 8 Logical Cores (4 คอร์ × 2 เธรด) ซึ่งทำให้สามารถทำงานได้ 8 งานพร้อมกันในเวลาเดียวกัน

ตัวอย่างการทำงานของคอร์และเธรด:
- ซีพียู 4 Physical Cores: สามารถทำงานได้ 4 งานพร้อมกัน
- ซีพียู 4 Physical Cores + Hyper-Threading/SMT: จะทำให้มี 8 Logical Cores (4 คอร์ × 2 เธรด) ซึ่งทำให้สามารถทำงานได้ 8 งานพร้อมกัน
การใช้ Logical Core เพิ่มเติมช่วยให้ซีพียูทำงานได้มากขึ้นในแต่ละคอร์ โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวน Physical Core ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในงานที่ต้องใช้การประมวลผลหลายๆ งานพร้อมกัน เช่น การตัดต่อวิดีโอ การเรนเดอร์กราฟิก หรือการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

คอร์ใหญ่และคอร์เล็ก
ในปัจจุบัน ซีพียูรุ่นใหม่ๆ เริ่มมีการนำ คอร์แบบ Hybrid ที่ประกอบไปด้วย คอร์ใหญ่ (P-core) และ คอร์เล็ก (E-core) เข้ามาใช้ในการประมวลผล ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการออกแบบในโทรศัพท์มือถือ โดยแต่ละคอร์จะมีความถนัดในงานที่แตกต่างกัน:
- คอร์ใหญ่ (P-core): จะถนัดในการทำงานที่ใช้กำลังประมวลผลสูง เช่น การเล่นเกมหรือการทำงานหนักที่ต้องการความเร็วในการประมวลผล
- คอร์เล็ก (E-core): จะถนัดในงานที่ไม่หนักมาก เช่น งานเบื้องหลังที่ไม่ได้ใช้ประสิทธิภาพสูง แต่จะมีข้อดีตรงที่ กินไฟน้อย และ ร้อนน้อย ทำให้เหมาะสำหรับการทำงานที่ไม่ได้ต้องการพลังประมวลผลมาก เช่น การทำงานของโปรแกรมพื้นฐานหรือบริการที่ทำงานในพื้นหลัง

ตัวอย่างการคำนวณคอร์และเธรด
บางครั้งอาจจะเกิดความสับสนเมื่อเห็นจำนวน คอร์ และ เธรด ของซีพียู Intel บางรุ่น เช่น Intel Core i7 14700 ที่มี 20 คอร์ และ 28 เธรด โดยปกติแล้วจำนวนคอร์และเธรดจะเป็นสองเท่าของกันและกัน (เช่น 4 คอร์ = 8 เธรด) แต่ในกรณีของ Core i7 14700 ซึ่งเป็นซีพียูแบบ Hybrid ที่มี 8 P-core (คอร์ใหญ่) และ 12 E-core (คอร์เล็ก) จะไม่มีการใช้ Hyper-Threading ที่คอร์เล็ก (E-core) จึงทำให้จำนวน Logical Cores จะเป็น 28 ตัว (8 × 2 + 12) แทน

สำหรับ Intel Core Ultra 200 รุ่นใหม่ ไม่มีการใช้ Hyper-Threading และให้ E-core เข้ามาทำหน้าที่แทนที่ในส่วนนี้ ทำให้จำนวน คอร์ และ เธรด เท่ากัน ซึ่งแตกต่างจากระบบเดิมที่มักจะมีคอร์และเธรดเป็นสองเท่า
ส่วนทาง AMD จะยังคงใช้ SMT (Simultaneous Multithreading) เช่นเดิม ทำให้ คอร์ และ เธรด มีจำนวนเป็นสองเท่าของกันและกัน
สรุปโดยทั่วไป ซีพียูที่มี คอร์ และ เธรด มากมักจะมีประสิทธิภาพสูงกว่า ซีพียูที่มี คอร์ และ เธรด น้อยกว่า แต่ก็ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น ความสามารถในการ โอเวอร์คล็อก, เทคโนโลยีการผลิต, ค่า IPC (Instructions Per Clock) หรือผล Benchmark เพื่อการเปรียบเทียบที่ละเอียดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบซีพียูข้ามรุ่น (ข้าม Gen) ที่มีเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมแตกต่างกัน

ความเร็ว (GHz) ของ CPU
ความเร็วของ ซีพียู มักจะวัดกันด้วยหน่วย GHz (Gigahertz) หรือ MHz (Megahertz) ซึ่งบ่งบอกถึงความเร็วในการประมวลผลของ CPU คล้ายกับการใช้ แรงม้า ในรถยนต์ โดย Hertz (Hz) คือหน่วยที่ใช้วัดความเร็วในหน่วยคำสั่งต่อวินาที ซึ่งหมายถึงจำนวนคำสั่งที่ CPU สามารถประมวลผลได้ใน 1 วินาที ส่วนคำว่า Giga หมายถึงหลักพันล้าน ดังนั้น Gigahertz คือการวัดความเร็วที่เท่ากับพันล้านคำสั่งต่อวินาที
ตัวอย่างเช่น 1.4 GHz หมายความว่า CPU สามารถทำงานได้ 1,400 ล้านคำสั่งต่อวินาที โดยทั่วไปแล้ว ซีพียูที่มี GHz สูงจะมีประสิทธิภาพในการประมวลผลที่ดีกว่า แต่ในปัจจุบัน GHz สูงอาจไม่ได้สะท้อนประสิทธิภาพที่ดีที่สุด เนื่องจากต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น จำนวนคอร์, สถาปัตยกรรม, เทคโนโลยีการผลิต, และ ค่า IPC เพราะความเร็ว 2 GHz เมื่อ 5 ปีที่แล้ว กับ 2 GHz ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพต่างกันมากพอสมควร ทำให้การดูแค่ตัวเลข GHz เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในการตัดสินใจเลือกซื้อ

ความเร็วพื้นฐาน vs. บูสท์
การทำงานของ ซีพียู จริง ๆ จะไม่ได้ใช้ ความเร็วพื้นฐาน (Base Clock) ตลอดเวลา ในบางครั้ง ซีพียู จะปรับความเร็วให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ถ้า ซีพียู มีความเร็วพื้นฐานที่ 3.6 GHz ในบางช่วงเวลาการทำงานอาจเห็นว่า ซีพียู ทำงานที่ 1.2 GHz หรือค่าต่ำกว่านี้ ขึ้นอยู่กับภาระงานที่ทำอยู่ ซึ่งหากพบว่า GHz ไม่ตรงกับสเปก อาจเป็นเพราะ CPU กำลังลดความเร็วเพื่อประหยัดพลังงานหรือทำงานในภาระงานที่ไม่หนักมาก

ตัวเลขที่ผู้ผลิตเคลมมักจะเป็น P-Core ใน ซีพียูตระกูล Hybrid หรือคอร์แบบปกติ ซึ่งความเร็วสูงสุดนั้นจะไม่ทำงานตลอดเวลา แต่จะเป็นการบูสต์ขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ และมักบูสต์แค่คอร์เดียว ไม่ได้บูสต์ทุกคอร์ด้วย และบางครั้งเมื่อ ซีพียู ทำงานหนักจนถึง Full Load ความเร็วของ All Core อาจลดลง เพื่อไม่ให้เกิดความร้อนสูงเกินไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ระบบระบายความร้อน, การออกแบบของชิป และ การตั้งค่าผ่าน BIOS ทำให้ตัวเลข Boost Clock บางครั้งอาจดูเหมือนเป็น ตัวเลขทางการตลาด มากกว่า
ยกเว้นว่ารุ่นไหนที่เราสามารถ OC ปรับตัวคูณได้อิสระ เราสามารถล็อกค่าตัวคูณเองได้ เมื่อทำงานหนักซีพียูจะไม่ลดความเร็ว แต่ถ้าร้อนจนทนไม่ไหว หรือเครื่องทำงานไม่เสถียร ระบบก็จะปล่อยให้เกิดขึ้น เช่นเครื่องดับ จอฟ้าเป็นต้น

ข้อดีข้อเสียของซีพียูที่มีความเร็ว GHz สูง ๆ
ข้อดี:
- ซีพียูที่มี GHz สูงจะให้ประสิทธิภาพที่ดีในงานที่ต้องใช้ Single Thread เช่น การเล่นเกมจะทำให้ได้ FPS ที่สูงกว่า หรือการใช้งานทั่วไปที่ต้องการการตอบสนองที่เร็วขึ้น
ข้อเสีย:
- อาจส่งผลต่อ ความทนทาน ของซีพียูเนื่องจากความร้อนที่สูงขึ้น อาจทำให้ซีพียูเสียหายหรือลดอายุการใช้งานได้
- การรีดความเร็ว GHz สูง ๆ อาจทำให้ซีพียูใช้พลังงานมากขึ้น กินไฟเยอะ และเกิดความร้อนสูง ซึ่งอาจส่งผลให้เครื่องทำงานไม่เสถียรได้

แคช (Cache) ใน CPU
แคช (Cache) คือหน่วยความจำที่อยู่ภายในซีพียู ซึ่งทำหน้าที่คล้ายแรมแต่เร็วกว่ามาก ๆ ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและชุดคำสั่งที่ซีพียูจะนำไปใช้ในการประมวลผล เพื่อเพิ่มความเร็วในการทำงาน โดยการพยากรณ์ข้อมูลที่ซีพียูอาจจะต้องใช้ในอนาคต และดึงข้อมูลจากแรมหรือ SSD มาเก็บล่วงหน้า ทำให้ซีพียูสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องรอดึงข้อมูลจากอุปกรณ์อื่นที่อยู่ไกลกว่า ซึ่งอาจทำให้ระบบมีประสิทธิภาพที่ลง

แคชจะมีการแบ่งระดับตามระยะห่างจาก Execution Unit หรือส่วนประมวลผลหลักของซีพียูโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
- L1 Cache: เป็นแคชที่อยู่ใกล้กับ CPU ที่สุด มีขนาดเล็กที่สุดแต่มีความเร็วสูงสุด ใช้ในการเก็บข้อมูลที่ CPU ต้องใช้บ่อย ๆ
- L2 Cache: อยู่ถัดออกมา แต่ยังอยู่ในคอร์ของ CPU มีความจุมากกว่า L1 แต่ก็มีความเร็วต่ำกว่า
- L3 Cache: เป็นแคชส่วนกลางที่ใช้ร่วมกันระหว่างคอร์ต่าง ๆ ใน CPU โดยทุกคอร์จะสามารถเข้าถึงข้อมูลใน L3 ได้ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด แต่ก็ช้ากว่า L1 และ L2
ในปัจจุบันการโฆษณาของซีพียูส่วนใหญ่จะเน้นที่ L3 Cache โดยเฉพาะ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า L1 และ L2 เนื่องจากเป็นแคชที่ใช้ร่วมกันหลายคอร์ แต่สำหรับซีพียูบางรุ่น เช่น AMD X3D จะมี L3 Cache ที่มีขนาดใหญ่พิเศษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานบางประเภท เช่น การเล่นเกม

แคชเยอะช่วยอะไร?
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของซีพียูสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้เร็วขึ้น ลดเวลาที่ต้องรอข้อมูลจาก RAM หรือ สตอเรจ โดยเฉพาะในงานที่มีการคำนวณซ้ำ ๆ หรือการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เช่น การเล่นเกมหรือการเรนเดอร์กราฟิก นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มเฟรมเรตในการเล่นเกม และทำให้ซีพียูทำงานได้ราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในงานที่ต้องการความเร็วสูง ยิ่งมีเยอะยิ่งดี แต่เหตุผลที่ผู้ผลิตซีพียูไม่ใส่มาเอยะ ๆ เพราะต้นทุนมันแพงมาก

สถาปัตยกรรมของซีพียู
ซีพียูแต่ละรุ่นในแต่ละปีมาพร้อมกับ สถาปัตยกรรม ที่แตกต่างกัน แม้ว่าเป็นซีพียู เจนเดียวกัน แต่ก็อาจใช้สถาปัตยกรรมที่ต่างกันตามรุ่น เช่น รุ่นแพงมักมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในขณะที่รุ่นราคาถูกอาจใช้เทคโนโลยีเก่ามาปรับปรุงใหม่ขึ้นอยู่กับการออกแบบ
สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ หมายถึงโครงสร้างและวิธีที่ส่วนประกอบต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ทำงานร่วมกันเพื่อให้ระบบสามารถประมวลผลข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานของ CPU รุ่นต่าง ๆ เช่น Zen 4, Zen 5, Intel Raptor Lake, และ Intel Arrow Lake ซึ่งเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

สถาปัตยกรรมยังมีผลต่อการใช้งานร่วมกับฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ด้วย เช่น ประเภทของ แรม, PCIe, พอร์ตการเชื่อมต่อ และอื่น ๆ จึงทำให้ สถาปัตยกรรมของซีพียู เปรียบเสมือนชุดแนวทางในการออกแบบโครงสร้างทั้งหมดของ ซีพียู และการทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นในคอมพิวเตอร์
หลัก ๆ แ้ลวสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์จะประกอบไปด้วย CISC (Complex Instruction Set Computer) และ RISC (Reduced Instruction Set Computer) โดยในบทความนี้จะเน้นไปที่ CISC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ชุดคำสั่งที่ซับซ้อนที่ใช้ในซีพียูบน พีซี ซึ่งมีการออกแบบเพื่อรองรับชุดคำสั่งที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ทำให้สามารถประมวลผลคำสั่งที่ซับซ้อนได้ในหนึ่งคำสั่งเดียว

เทคโนโลยีการผลิต Nano / นาโน / nm
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นาโนเมตร (nm) ใช้เพื่อบ่งบอกขนาดของ ทรานซิสเตอร์ ที่ใช้ในการผลิต ซีพียู ยิ่งตัวเลขนาโนน้อยลงเท่ากับว่าทรานซิสเตอร์จะเล็กลง ทำให้ประหยัดพลังงานและลดความร้อน อีกทั้งยังสามารถเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ในชิปได้มากขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพของ ซีพียู สูงขึ้น
ในปัจจุบันตัวเลขนาโนอาจไม่สะท้อนถึงขนาดทรานซิสเตอร์ทั้งหมดในชิป เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตไม่ได้ก้าวกระโดดเร็วเหมือนในอดีต การระบุนาโนจึงไม่ได้บ่งบอกถึงการเปรียบเทียบประสิทธิภาพได้เหมือนก่อน เช่น ในยุค Pentium 4 Prescott หรือ Intel Core รุ่นแรก ๆ ที่การลดขนาดนาโนจะมีผลต่อประสิทธิภาพและการใช้พลังงานอย่างเห็นได้ชัด แต่ในปัจจุบัน นาโนเมตร กลายเป็นตัวเลขทางการตลาดที่ใช้บ่งบอกความใหม่หรือความเก่าของเทคโนโลยีที่นำมาใช้ผลิตชิปมากกว่า

ซ็อกเก็ต (Socket)
ซ็อกเก็ตคือช่องหรือสล็อตที่ใช้ใส่ซีพียูบนเมนบอร์ด ซึ่งซีพียูต้องทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ชิ้นอื่นผ่านเมนบอร์ด โดยภายในซ็อกเก็ตจะประกอบไปด้วยขั้วจุดเชื่อมต่อของซีพียูที่ต้องตรงกับเมนบอร์ดเพื่อให้สามารถใช้งานได้
การเลือกซ็อกเก็ตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่วางแผนจะซื้อซีพียูสำหรับเครื่องเดสก์ท็อปพีซี ไม่ว่าจะเป็นการประกอบเครื่องใหม่หรืออัปเกรดเครื่องเดิม เพราะแต่ละซ็อกเก็ตมีความแตกต่างกันทั้งในด้านขนาดและการออกแบบทางกายภาพ ซึ่งไม่สามารถใช้งานข้ามกันได้

Intel และ AMD ต่างก็มีซ็อกเก็ตของตัวเอง โดยแต่ละรุ่นและแต่ละยี่ห้อมีการเปลี่ยนแปลงซ็อกเก็ตอยู่เป็นระยะ ๆ ตัวอย่างเช่น
- LGA 1700: สำหรับชิป Core รุ่น gen 12/13/14
- LGA 1200: สำหรับชิป Core รุ่น gen 10/11
- AM4: สำหรับชิป Ryzen 1000/2000/3000/4000/5000
- AM5: สำหรับชิป Ryzen 7000/8000/9000
นอกจากนี้ซ็อกเก็ตยังมีบทบาทในการกำหนดชุดระบายความร้อนที่ใช้ด้วย เพราะแต่ละเมนบอร์ดมักจะมีจุดยึดชุดระบายความร้อนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการออกแบบซ็อกเก็ตเพื่อให้การระบายความร้อนของซีพียูมีประสิทธิภาพสูงสุด ในบางรุ่นอาจใช้ชุดระบายความร้อนร่วมกันได้

iGPU / Graphics
ซีพียูส่วนใหญ่ที่วางขายในปัจจุบันมักมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลกราฟิกในตัว ซึ่งเรียกว่า iGPU หรือ Integrated GPU โดยส่วนมาก iGPU ที่ให้มาจะเป็นรุ่นพื้นฐานที่ไม่แรงมาก เพื่อให้สามารถเปิดเครื่องใช้งานได้แม้ไม่ได้ต่อการ์ดจอ สำหรับการใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องการพลังกราฟิกสูง เช่น การท่องเว็บ หรือทำงานเอกสาร ซึ่งมีข้อดีคือไม่ต้องใช้การ์ดจอแยก ทำให้เครื่องกินไฟน้อยลง
แต่ถ้าจะนำ iGPU มาใช้ในการประมวลผลหนัก ๆ เช่น การเล่นเกม iGPU สามารถทำได้ แต่ประสิทธิภาพอาจจะไม่ดีเท่ากับการใช้การ์ดจอแยก การเลือกซีพียูที่มี iGPU เหมาะสำหรับผู้ที่ประกอบคอมพิวเตอร์เพื่อใช้งานทั่วไปที่ไม่เน้นกราฟิกหนัก

โดยในบางรุ่นซีพียูจะไม่มี iGPU เพื่อช่วยลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพโดยการเพิ่มจำนวนคอร์ เพราะการไม่มี iGPU ช่วยให้ซีพียูสามารถทำงานได้เต็มที่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความร้อนสะสม ส่วนวิธีดูว่าซีพียูรุ่นไหนมี iGPU หรือไม่ จะอธิบายในหัวข้อถัดไป
นอกจากการใช้ iGPU ในการแสดงผลภาพแบบเดียวกับการ์ดจอแล้ว สำหรับเครื่องที่มีการ์ดจอแยกและ iGPU ก็จะทำให้เครื่องมีการ์ดจอถึงสองตัว ซึ่งสามารถนำ iGPU มาช่วยประมวลผลงานอื่น ๆ เช่น การไลฟ์สตรีม หรือการเรนเดอร์ภาพบางประเภทที่ใช้ตัวถอดรหัส Codec ที่มีเฉพาะในซีพียู ช่วยให้การทำงานไม่กระทบกับการทำงานของซีพียูหรือการ์ดจอแยกได้ด้วย

TDP / Watt / วัตต์
นอกจากความเร็วและจำนวนคอร์ ค่า TDP (Thermal Design Power) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ใช้ประเมินว่าซีพียูใช้พลังงานและปล่อยความร้อนมากแค่ไหน โดยมีหน่วยเป็นวัตต์ (W) ซึ่งช่วยกำหนดแนวทางการออกแบบระบบระบายความร้อนให้เหมาะสม
TDP คือค่าพลังงานความร้อนที่ซีพียูปล่อยออกมาในระหว่างการทำงาน ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไป โดยทั่วไป ซีพียูที่มีประสิทธิภาพสูงมักมีค่า TDP สูงขึ้น ซึ่งหมายถึงการใช้พลังงานมากขึ้นและต้องการการระบายความร้อนที่ดีขึ้น

ดังนั้นเราควรเลือกชุดระบายความร้อนที่เหมาะสมกับค่า TDP ของซีพียู เพื่อให้สามารถระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้เครื่องทำงานเสถียร ลดปัญหาประสิทธิภาพตก และลดเสียงรบกวนจากรอบพัดลมที่สูงเกินไป
นอกจากชุดระบายความร้อนแล้วการเลือกเมนบอร์ดที่มีภาคจ่ายไฟที่เหมาะสม รวมถึง PSU ที่สามารถรองรับการใช้พลังงานของซีพียูจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้ซีพียูรุ่นที่สามารถ Overclock ได้ซึ่งมักจะไม่ได้แถมพัดลมมาให้ในกล่อง ทำให้ผู้ใช้ต้องเลือกซื้อชุดระบายความร้อนที่เหมาะสมเอง เพื่อให้สามารถดึงประสิทธิภาพของซีพียูออกมาได้อย่างเต็มที่

การ OC (Overclock)
ผู้ผลิตซีพียูแต่ละค่ายมักแบ่งรุ่นย่อยของผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย โดยนอกจากการจัดกลุ่มตามระดับประสิทธิภาพ เช่น Core Ultra 9, 7, 5, 3 หรือ Ryzen 9, 7, 5, 3 แล้ว ในแต่ละเจนเนอเรชันยังมีหลายรุ่นย่อยที่มีสเปกแตกต่างกัน โดยบางรุ่นได้รับการออกแบบให้สามารถโอเวอร์คล็อกและปรับแต่งตัวคูณ แรงดันไฟ และค่าต่าง ๆ ได้อย่างอิสระ
โดยทั่วไป รุ่นที่รองรับการโอเวอร์คล็อกมักเป็นรุ่นท็อปของซีรีส์นั้น ๆ และใช้ชิปที่คัดเกรดมาดีที่สุดในกลุ่ม ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูงกว่ารุ่นมาตรฐาน ซึ่งอาจใช้ชิปที่ไม่ได้ผ่านการคัดเลือกในระดับเดียวกัน สำหรับ Intel ซีพียูที่สามารถโอเวอร์คล็อกได้จะมีตัวอักษร K หรือ KF ต่อท้าย เช่น Core i5-14600K (มี GPU ในตัว) และ Core i5-14600KF (ไม่มี GPU ในตัว) ส่วน AMD เปิดให้โอเวอร์คล็อกได้เกือบทุกรุ่นตั้งแต่โรงงาน ยกเว้นซีพียูที่ใช้ 3D V-Cache ซึ่งมีรหัสลงท้ายด้วย X3D เช่น Ryzen 7 7800X3D ซึ่งไม่เหมาะกับการโอเวอร์คล็อกมากนัก

การโอเวอร์คล็อกทำให้ซีพียูใช้พลังงานมากขึ้น ส่งผลให้ค่า TDP สูงขึ้น การปรับตัวคูณ แรงดันไฟ และค่าต่าง ๆ เพิ่มเติม เปรียบเสมือนการล็อกค่าที่ซีพียูรุ่นปกติสามารถปรับขึ้นลงตามการใช้งาน ให้คงอยู่ที่ค่าหนึ่งตลอดเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม แต่การโอเวอร์คล็อกทำให้ซีพียูทำงานที่ความถี่คงที่โดยไม่มีช่วงให้ลดลงหรือพัก ส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมสูงขึ้นกว่าปกติ
ดังนั้นเพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างเสถียร ควรเลือกใช้ ชุดระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง และ เมนบอร์ดที่มีภาคจ่ายไฟที่รองรับการโอเวอร์คล็อกได้ดี เพื่อช่วยควบคุมอุณหภูมิ ลดความร้อนสะสม และป้องกันปัญหาการทำงานที่ไม่เสถียร

การเลือก Cooler พัดลม / Fan / Thermal Solution / CPU Cooler
โดยปกติแล้วซีพียูส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับ Heatsink หรือพัดลมระบายความร้อนที่แถมมาในกล่อง ซึ่งถูกออกแบบให้รองรับการทำงานในระดับพื้นฐานที่ค่า Base Clock หรือ TDP ที่ผู้ผลิตกำหนด แต่ชุดระบายความร้อนที่แถมมามักไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับการทำงานที่ Boost Clock ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เมื่อใช้งานจริงอาจเกิดอาการ Thermal throttling หรือการลดความเร็วของซีพียูชั่วขณะเพื่อป้องกันความร้อนสูงเกินไป

ผลกระทบของ Thermal throttling แตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ยิ่งซีพียูมีคอร์มากขึ้นและมีความเร็วสูงขึ้น ก็จะถึงจุดที่เกิดความร้อนสะสมเร็วขึ้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง ดังนั้นหากต้องการให้ซีพียูทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ควรอัปเกรดไปใช้ ชุดระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อลดปัญหา Thermal throttling และช่วยให้ซีพียูสามารถทำงานที่ Boost Clock ได้ต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังมีซีพียูบางรุ่นที่ ไม่ได้แถม Heatsink มาจากโรงงาน เนื่องจากผู้ผลิตทราบดีว่าชุดระบายความร้อนแบบเดิมอาจไม่สามารถรองรับซีพียูรุ่นนั้นได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะรุ่นที่รองรับการโอเวอร์คล็อก (OC) หรือรุ่นที่มี TDP สูง เช่น
- Intel: รุ่น Unlocked (รหัส K และ KF) มักจะไม่มีพัดลมแถมมา เช่น Core i7-14700K
- AMD: รุ่นที่ลงท้ายด้วย X และ X3D เช่น Ryzen 7 7800X3D ก็มักไม่มีพัดลมแถมมา

ดังนั้น หากต้องการประกอบคอมใหม่ให้งบประมาณน้อยที่สุด ควรตรวจสอบรายละเอียดในหน้าสเปกว่ามีชุดระบายความร้อนแถมมาหรือไม่ โดยสังเกตจากคำที่เกี่ยวข้อง เช่น Thermal Solution หรือ CPU Cooler หากรุ่นที่เลือกไม่มีพัดลมแถมมา อาจต้องเผื่องบเพิ่มเติมในการซื้ออุปกรณ์ระบายความร้อน ซึ่งราคาขั้นต่ำมักเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบาท ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพที่ต้องการ
เหตุผลที่ผู้ผลิตเลือกไม่แถมพัดลมในบางรุ่น เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้ที่เลือกซีพียูระดับสูงมักจะเปลี่ยนไปใช้ ชุดระบายความร้อนคุณภาพสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นพัดลมระบายความร้อนแบบประสิทธิภาพสูง (Air Cooler) หรือ ชุดน้ำปิด (AIO Liquid Cooling) ซึ่งสามารถจัดการความร้อนได้ดีกว่า

Intel หรือ AMD
เมื่อเข้าใจถึงองค์ประกอบของซีพียูแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกซื้อซีพียูที่เหมาะสมกับการใช้งาน ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วในตลาดซีพียูสำหรับผู้ใช้ทั่วไปจะมีให้เลือกอยู่สองค่ายหลักคือ Intel และ AMD แต่ละค่ายมีจุดเด่นและจุดแตกต่างกันที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อตามนี้
Intel
ปี 2025 เป็นปีที่ Intel มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากปี 2024 ได้ยกเลิกการใช้ชื่อ Core i และเปลี่ยนมาใช้ Core Ultra อย่างเต็มรูปแบบ สถาปัตยกรรมยังคงเป็นแบบไฮบริด มี P-Core (Performance Core) และ E-Core (Efficient Core) ทำงานร่วมกัน จุดที่เปลี่ยนไปคือบางรุ่นเริ่มเพิ่ม NPU (Neural Processing Unit) เพื่อรองรับงาน AI และ Machine Learning โดยเฉพาะ
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญคือ การตัด Hyper-Threading ออกไปแล้ว โดยให้ E-Core มาทำหน้าที่นี้แทน ซึ่งช่วยลดความร้อนและการใช้พลังงานลง แต่ผลลัพธ์คือประสิทธิภาพโดยรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในบางงาน เช่น การเล่นเกม Core Ultra 200 ยังสู้ Core i Gen 14 ไม่ได้ในหลายการทดสอบ แต่ด้านการทำงานและการจัดการพลังงานดีขึ้นชัดเจน

วิธีการดูรหัสของซีพียู Intel ตระกูล Core i
หลัก ๆ แล้วให้ดูที่เลข 2 ตัวหน้าที่จะเป็นตัวเลขบ่งบอก Generation ของซีพียูยิ่งเลขสองตัวนี้เยอะยิ่งได้ชิปรุ่นใหม่ เช่น 14 หมายถึง Core i Gen 14 ส่วนตัวเลข 3 ตัวด้านหลังให้เข้าใจว่ายิ่งเยอะยิ่งแรงจะเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด เพราะรายละเอียดตรงนี้มีค่อนข้างเยอะ ควรนำรหัสไปค้นหาเป็นรุ่นจะดีกว่า และตัวอักษรที่ลงท้าย หลัก ๆ จะมีทั้งหมด 2 แบบ
- ซีพียูรหัส F คือซีพียูที่ไม่มี iGPU มาให้ในตัว ต้องใช้คู่กับการ์ดจอเท่านั้นถึงจะเปิดใช้งานได้
- ซีพียูรหัส K คือรุ่นพิเศษที่สามารถ Overclock ปรับแต่งความแรงแบบ Manual ด้วยตัวเองได้

วิธีการดูรหัสของซีพียู Intel ตระกูล Core Ultra
อย่างแรกที่ต้องดู คือตัวเลขหลังคำว่า Ultra ที่ยิ่งเยอะยิ่งแรง ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะแบ่งเป็น 3, 5, 7, 9 เหมือน Core i โดยเลขที่สูงกว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่า ตามด้วยรหัส 3 ตัว แบ่งออกเป็น
- เลขตัวแรก คือ Generation หรือ รุ่นปี เช่น “2” หมายถึงรุ่นปี 2025
- เลข 2 ตัวท้าย บอกว่า CPU นี้เป็นโมเดลแบบไหน มีความแรงเท่าไหร่ ยิ่งเลขมากยิ่งแรง
- ตัวอักษรท้าย
- ซีพียูรหัส F คือซีพียูที่ไม่มี iGPU มาให้ในตัว ต้องใช้คู่กับการ์ดจอเท่านั้นถึงจะเปิดใช้งานได้
- ซีพียูรหัส K คือรุ่นพิเศษที่สามารถ Overclock ปรับแต่งความแรงแบบ Manual ด้วยตัวเองได้

ดังนั้นสำหรับใครที่มองระยะยาวอัปเกรดได้อย่างน้อยหนึ่งเจน Core Ultra 200 ก็ดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า แต่สำหรับใครที่เน้นความคุ้มค่าเป็นหลัก ไม่ได้สนใจว่าจะอัปเกรดภายหลังได้หรือไม่ตัว Core i Gen 14 ก็เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าจริง ๆ
AMD
ปี 2025 เป็นช่วงที่ AMD ก้าวเข้าสู่ยุค Ryzen 9000 อย่างเต็มตัว โดยใช้ สถาปัตยกรรม Zen 5 ที่ปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดีขึ้นทั้งด้านการทำงานและการจัดการพลังงาน แม้ว่า Ryzen 9000 จะเป็นไฮไลต์หลัก แต่ AMD ยังคงวางขาย Ryzen 7000 และ 8000 สำหรับกลุ่มที่ต้องการความคุ้มค่า โดยใช้ Zen 4 ซึ่งแม้จะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็ยังให้ประสิทธิภาพที่ดีและราคาน่าคบหา

วิธีดูรหัสซีพียู AMD Ryzen 7000 8000 และ 9000 Series
AMD ตั้งชื่อรุ่นให้ดูง่ายกว่าฝั่งโน้ตบุ๊ก โดยเลขหลักแรกคือเจเนอเรชันของซีพียู
- Ryzen 9000 = ใช้สถาปัตยกรรม Zen 5
- Ryzen 8000 = ใช้สถาปัตยกรรม Zen 4 (บางรุ่นอาจเป็น Zen 4+)
- ตัวเลขที่มากขึ้นภายในรุ่น หมายถึงประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
- ตัวอักษรท้าย
- F = ไม่มี iGPU ต้องใช้คู่กับการ์ดจอแยก (เฉพาะ Ryzen 7000 Series ขึ้นไป)
- X = ปลดล็อกให้ Overclock ได้มากกว่า
- G = มี iGPU ที่แรงกว่ารุ่นปกติ เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่อยากซื้อการ์ดจอแยก
- 3D = มี 3D V-Cache ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นเกมโดยเฉพาะ

นอกจาก AMD Ryzen 7000 8000 และ 9000 Series ที่ใช่ Socket AM5 แล้วก็ยังมีซีพียูรุ่นที่เก่ากว่านั้นอีก อย่าง Ryzen 4000 และ 5000 Series ที่ใช้ Socket AM4 สำหรับใครที่อยากประกอบคอมที่เน้นประหยัดงบจริง ๆ ทาง AMD ยังไม่ทิ้ง Socket นี้ แม้ว่าจะออกมานานแล้ว แต่ก็ยังมีซีพียูรุ่นใหม่ออกมาเติมเสมอ แม้ว่ารุ่นเก่าที่ขายคู่กันจะน่าสนใจกว่าในเรื่องของราคาก็ตาม ใช้แรม DDR4 รุ่นเก่า
สิ่งที่ต่างนอกจาก Socket แรม DDR4 แล้วก็คงเป็นสเปกรายละเอียดภายในที่ไม่มี iGPU มาให้แบบ AM5 ที่ใส่มาให้พอเปิดเครื่องติดใช้งานทั่วไปได้ ถ้ามีต้องเป็นรุ่นรหัส G เท่านั้น

เลือกซีพียูตามการใช้งาน
สำหรับการใช้งานทั่วไป
หากไม่ได้เล่นเกม AAA หรือใช้งานกราฟิกที่หนัก และเพียงแค่ใช้คอมพิวเตอร์สำหรับ พิมพ์งาน หรือ ใช้งานทั่วไป เช่น เล่นเกมเบา ๆ หรือเล่นเกมที่ไม่กินกราฟิกมาก การใช้ การ์ดจอแยก อาจจะไม่จำเป็น เพราะจะทำให้ เปลืองงบประมาณ และ เปลืองไฟ เพิ่มขึ้น โดยไม่คุ้มค่ากับการใช้งานจริง การเลือกใช้ ซีพียูที่มีกราฟิกในตัว หรือ iGPU ที่มีประสิทธิภาพดี ๆ ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
ปัจจุบัน ซีพียูที่มี iGPU ที่สามารถรองรับการเล่นเกมเบา ๆ ได้มีอยู่หลายรุ่น เช่น Intel Core Ultra 200 และ AMD Ryzen 8000G ซึ่งมี กราฟิกในตัว ที่แรงพอจะใช้งานได้ดี แต่ทั้งนี้ AMD Ryzen 8000G จะมี ราคาที่สูงกว่า ซีพียู Ryzen ที่มีสเปกใกล้เคียงกันอยู่ระดับหนึ่ง ทำให้สำหรับ ผู้ใช้งานทั่วไป ที่ไม่ได้เล่นเกม อาจจะเป็นการเปลืองเงินโดยไม่จำเป็น ซื้อแค่รุ่นธรรมดาก็เพียงพอแล้ว

สำหรับการใช้เล่นเกม
การเลือกซีพียูสำหรับการเล่นเกม ควรให้ความสำคัญกับ จำนวนคอร์และเธรดที่เหมาะสม เพื่อให้เกมทำงานได้ราบรื่น โดยทั่วไป ซีพียูที่มีคอร์และเธรดในระดับที่พอดี จะช่วยให้สามารถบูสต์ Clock Speed ได้สูงขึ้นและจัดการความร้อนได้ดีกว่า ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเล่นเกมโดยตรง
ไม่ควรเลือกซีพียูรุ่นที่ต่ำเกินไป ควรพิจารณาให้สอดคล้องกับ การ์ดจอที่ต้องการใช้ เพื่อป้องกันปัญหา คอขวด (CPU Bottleneck) ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อซีพียูไม่สามารถประมวลผลได้เร็วพอ ทำให้การ์ดจอไม่ได้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ ในกรณีที่มีแผน อัปเกรดการ์ดจอในอนาคต ควรเลือกซีพียูที่มีศักยภาพรองรับการใช้งานระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องซื้อซีพียูราคาแพงเกินไป เพราะสำหรับการเล่นเกมโดยทั่วไป การ์ดจอมีผลต่อเฟรมเรตมากกว่า ดังนั้น ควรจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับการ์ดจอมากกว่าซีพียู
แต่หากต้องการทำมากกว่าการเล่นเกม เช่น ไลฟ์สตรีม เปิดหลายจอ หรือรันโปรแกรมเพิ่มเติมระหว่างเล่นเกม ควรเลือกซีพียูที่มี จำนวนคอร์และเธรดสูงขึ้น เพื่อรองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันเกมสมัยใหม่ได้รับการออกแบบให้ใช้ทรัพยากรซีพียูได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม โดยตัว เกมเอนจิ้น (Game Engine) สามารถกระจาย Workload ไปยังหลายคอร์ได้ดีขึ้น ส่งผลให้การใช้งานซีพียูสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเกมในอดีต
ดังนั้นการเลือกซีพียูที่ประหยัดเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาคอขวดกับบางเกมที่ใช้ซีพียูหนัก แม้ว่าเกมอื่นจะไม่ได้รับผลกระทบก็ตาม หมายความว่าแนวทางการดูว่าขวดไม่ขวดแบบเดิมที่เลือกซีพียูให้เหมาะสมกับการ์ดจอ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป ควรเผื่อประสิทธิภาพของซีพียูไว้เล็กน้อย เพื่อรองรับเกมที่ใช้ทรัพยากรซีพียูสูงได้อย่างเต็มที่ และไม่ควรเลือกซีพียูที่พอดีเกินไปจนไม่มีเผื่อสำหรับการใช้งานในอนาคต

สำหรับการใช้ทำงานกราฟิก
การเลือกซีพียูสำหรับงานกราฟิกควรให้ความสำคัญกับจำนวนคอร์และเธรดมากกว่าการเล่นเกม เนื่องจากซอฟต์แวร์ด้านกราฟิกถูกออกแบบมาให้ใช้ทรัพยากรของเครื่องได้เต็มที่ โดยเฉพาะซีพียู ซึ่งส่งผลให้การมีซีพียูที่มีคอร์และเธรดมากขึ้นช่วยให้การทำงานราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ดังนั้น การเลือกใช้ซีพียูระดับสูง เช่น Intel Core i7, i9, Core Ultra 7, 9 หรือ AMD Ryzen 7, 9 จึงคุ้มค่าสำหรับงานกราฟิกมากกว่าการใช้สำหรับเล่นเกมเพียงอย่างเดียว

การเลือกฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมควรพิจารณาตามลักษณะ Workload ของงาน เนื่องจากแต่ละประเภทของงานกราฟิกใช้ทรัพยากรแตกต่างกัน เช่น
- งานเรนเดอร์ 3D มักใช้พลังประมวลผลของทั้ง ซีพียูและการ์ดจอ โดยเฉพาะในซอฟต์แวร์ที่รองรับการเร่งความเร็วด้วย GPU
- งานตัดต่อวิดีโอและงานที่ใช้ AI อาศัย การ์ดจอ เป็นหลักในการประมวลผล รวมถึงต้องการซีพียูที่มีคอร์และเธรดสูงเพื่อรองรับการทำงานหลายกระบวนการพร้อมกัน
- หน่วยความจำ (RAM) มีความสำคัญกับทุกประเภทงาน ควรมีอย่างน้อย 32GB สำหรับงานทั่วไป และ 64GB+ หากต้องจัดการไฟล์ขนาดใหญ่หรือโปรเจกต์ที่ซับซ้อน

ส่วนงานที่ใช้ ซีพียู เป็นหลัก มักจะเป็นงานที่ต้องการประมวลผลแบบ มัลติเธรด และต้องการความเสถียรสูง เช่น
- การจำลองเครื่องเสมือน (VM – Virtual Machine): งานประเภทนี้ต้องการซีพียูที่มีจำนวนคอร์และเธรดสูง เนื่องจากต้องแบ่งทรัพยากรให้กับหลายระบบปฏิบัติการที่รันอยู่พร้อมกัน
- การคอมไพล์โค้ดและพัฒนาโปรแกรม: งานนี้ใช้พลังของซีพียูในการแปลงโค้ดต้นฉบับเป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถรันได้
- งานไลฟ์สตรีม (Live Streaming): ปกติแล้ว หลายคนนิยมใช้การ์ดจอเพื่อเข้ารหัสวิดีโอแบบ NVENC (NVIDIA) หรือ AMF (AMD) เนื่องจากช่วยลดภาระของซีพียู แต่บางคนเลือกให้ ซีพียู ประมวลผลแทน โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการคุณภาพของวิดีโอที่สูงขึ้น เพราะการเข้ารหัสด้วย x264 (CPU) ในโหมด Slow หรือ Slower ให้คุณภาพที่ดีกว่าการ์ดจอ

นอกจากนี้ ในงานกราฟิกบางประเภท โปรแกรมสามารถกำหนดได้ว่าจะใช้ ซีพียูหรือการ์ดจอ เป็นตัวประมวลผลหลัก เช่น
- Adobe Premiere Pro สามารถใช้ทั้งซีพียูและการ์ดจอ โดยสามารถเลือก Mercury Playback Engine (Software หรือ GPU) ได้
- Blender สามารถเรนเดอร์ได้ทั้งแบบ CPU rendering และ GPU rendering ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าและประเภทของงาน
การเลือกฮาร์ดแวร์ให้เหมาะสมกับลักษณะงานจะช่วยให้การทำงานลื่นไหลและลดปัญหาคอขวดของระบบ เช่น ในกรณีของทีมงาน DriodSans ที่ใช้ DaVinci Resolve Studio เป็นหลัก พบว่าซอฟต์แวร์นี้ใช้ การ์ดจอ (GPU) มากกว่าซีพียูในการประมวลผล ดังนั้น การจัดสรรงบประมาณจึงควรเน้นไปที่ การ์ดจอประสิทธิภาพสูง มากกว่าการลงทุนกับซีพียูเพียงอย่างเดียว
แล้วเลือกรุ่นไหนดี
ปัจจุบันปี 2025 ซีพียู 6 คอร์ 12 เธรด กลายเป็น มาตรฐานขั้นต่ำสำหรับเกมมิ่งพีซี ที่สามารถเล่นเกมทุกเกมได้อย่างราบรื่นไปอย่างน้อย 3 ปี รุ่นที่แนะนำในระดับเริ่มต้น ได้แก่
- Intel Core i5-12400
- AMD Ryzen 5 5600
ทั้งสองรุ่นนี้มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการเล่นเกมทั่วไปโดยไม่เกิดปัญหาคอขวด และถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับงบประมาณจำกัด

แต่ถ้าหากมีงบเพิ่มขึ้น ควรขยับไปซีพียูที่มีคอร์และเธรดมากขึ้น เพื่อรองรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถรองรับการอัปเกรดในอนาคตได้ ตัวเลือกที่แนะนำ ได้แก่
ฝั่ง Intel
- Core i5-13500 มีคอร์และเธรดเพิ่มขึ้น ทำให้รองรับงานมัลติทาสก์และเกมที่ใช้ซีพียูหนักได้ดีกว่า
- Core Ultra 5 235 เป็นรุ่นใหม่ที่ใช้สถาปัตยกรรมล่าสุด รองรับการอัปเกรดในอนาคต และมีประสิทธิภาพดีขึ้นในด้านการใช้พลังงาน
ฝั่ง AMD
- Ryzen 5 7600 ใช้แพลตฟอร์ม AM5 ที่สามารถอัปเกรดซีพียูในอนาคตได้ รองรับ RAM DDR5 และ PCIe 5.0
- Ryzen 5 9600X แม้ว่าจะยังคงมี 6 คอร์ 12 เธรด เช่นเดียวกับ Ryzen 5 5600 แต่มี IPC (Instructions per Cycle) ที่สูงขึ้น ทำให้ได้ FPS สูงขึ้นในเกม และมีอนาคตในการอัปเกรดที่ดีกว่า

สรุปการเลือกซีพียูเกมมิ่ง
- งบจำกัด: Core i5-12400 หรือ Ryzen 5 5600
- งบกลาง คุ้มค่า: Core i5-13500 หรือ Ryzen 5 7600
- เผื่ออัปเกรด: Core Ultra 5 235 หรือ Ryzen 5 9600X
หากต้องการรองรับอนาคตและอัปเกรดได้ยาว ควรเลือกซีพียูที่ใช้แพลตฟอร์มใหม่กว่า เช่น AM5 ของ AMD หรือ Intel Core Ultra ที่รองรับมาตรฐานใหม่ ๆ และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
แต่ถ้าหากใครที่มี งบประมาณมากขึ้น และต้องการซีพียูที่แรงกว่าเพื่อรองรับการเล่นเกมแบบ เฟรมเรตสูงสุด หรือใช้สำหรับงานที่ต้องการพลังประมวลผลเพิ่มขึ้น เช่น ไลฟ์สตรีม, ตัดต่อวิดีโอ, งานเรนเดอร์ 3D หรือทำงานหลายอย่างพร้อมกัน ก็สามารถขยับไปซีพียูระดับ Core i7, Core Ultra 7 หรือ Ryzen 7 ได้
อ้างอิง : itechtics cgdirector (1) (2) (3)(4) anandtech (1) (2) techpowerup Intel (1)(2) videocardz (1) (2) msi corsair arstechnica techspot pcgamer digitaltrends digit
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ