ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีราคาไม่แพงมากได้เข้าถึงแทบจะทุกบ้านในประเทศไทยแล้ว แน่นอนว่าอินเทอร์เน็ตที่เรามักใช้กันตามบ้านส่วนมากคือ Wi-Fi นั่นเอง เพราะทุกคนล้วนมีสมาร์ทโฟนกันทั้งนั้น แต่การจะใช้ Router ที่ผู้ให้บริการแถมมาก็อาจจะไม่เพียงพอกับความต้องการของคนในบ้าน

หลายคนเลยอยากอัปเกรดความแรงกันสักหน่อยให้ใช้งานได้ลื่นไหลมากขึ้น วันนี้เราเลยจะพาไปดูวิธีเลือกซื้อ Router Wi-Fi ให้เหมาะสมกับการใช้งานในบ้านประจำปี 2023 กัน โดยก่อนที่เราจะซื้อก็มีเรื่องที่ควรคำนึงถึงเวลาเลือกซื้อ Router Wi-Fi ดังนี้

1. สเปค

ในปี 2023 เรียกได้ว่าเป็นปีของ Wi-Fi 6 ที่แท้ทรู เนื่องจากราคาที่ไม่ได้สูงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และมีรุ่นให้เลือกหลากหลายรุ่น หลากหลายแบรนด์ ดังนั้นเราควรเลือก Router รุ่นที่รองรับ Wi-Fi 6 มากกว่าเพราะสเปคในภาพรวมสูงกว่า Wi-Fi 5 ช่วยให้การรับ-ส่งข้อมูลมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่า Wi-Fi 5 ด้วยเทคโนโลยี OFDMA ที่ส่งข้อมูลหาเครื่อง Client ในระบบได้หลายเครื่องในหนึ่งรอบการส่งข้อมูล ส่วนวิธีการเลือกมีดังนี้

  • มองหาคำว่า AX ตามด้วยตัวเลข เช่น AX 1800, AX 3000, AX 5400 โดยเลขพวกนี้หมายถึงความเร็วที่อุปกรณ์ตัวนี้ทำได้ เลขยิ่งเยอะยิ่งแรง แต่เลขยิ่งเยอะก็ยิ่งแพงตามไปด้วย คือบางทีเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้รุ่นสเปคสูงขนาดนั้นก็ได้
  • Port Gigabit LAN (10/100/1000) ฟีเจอร์นี้เอาจริง ๆ ควรเป็นพื้นฐานของอุปกรณ์ Network ทุกตัวแล้วด้วยซ้ำในปี 2023 เพราะได้ความเร็วต่างกันหลายเท่าตัวถ้าเทียบกับ Port แบบธรรมดา (10/100) ทำให้เรารับเน็ตจาก Router ของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตได้แรงขึ้นด้วย ซึ่ง Router ที่หาซื้อกันทั่วไปมักใส่ฟีเจอร์นี้มาให้อยู่แล้ว แต่จะมี Router บางรุ่นที่ราคาถูกมาก ๆ ไม่ได้ใส่มา เพื่อลดต้นทุน ดังนั้นก่อนซื้อก็ควรดูตรงนี้ด้วย เพื่อไม่ให้เสียรู้คนขาย
  • ช่อง USB หัวข้อนี้อาจจะไม่ได้สำคัญสักเท่าไหร่ แต่มีไว้อุ่นในกว่า แม้ว่าเราไม่ได้ต่อ Flash drive หรือ Extrenal HDD สำหรับแชร์ไฟล์ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เอาไว้ต่อพัดลมระบายความร้อนของตัว Router ได้ บอกเลยช่วยให้ใช้งานได้เสถียรขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ
  • MU-MIMO ต้องบอกเลยว่าสเปคตรงส่วนนี้ก็สำคัญเช่นกัน เพราะเทคโนโลยีนี้ช่วยให้การรับ-ส่งข้อมูลทำได้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ต้องบอกก่อนว่าโดดยปกติ Wi-Fi จะรับ-ส่งข้อมูลได้ทีละ 1 เครื่องเท่านั้น แต่ที่เราใช้งานได้ไม่รู้สึกเพราะว่ามันสลับไปมาเร็วมาก แล้วทีนี้ถ้ามีใครต้องโหลดข้อมูลขนาดใหญ่ใช้เวลาเชื่อมต่อนาน ก็จะทำให้เครื่องอื่น ๆ ในระบบใช้งานได้ช้าตามไปด้วย เพราะต้องรอให้เครื่องที่โหลดข้อมูลเยอะเสร็จงานก่อน การมีฟีเจอร์นี้จะช่วยให้ลดปัญหาการคลิ๊กแล้วหมุน ไม่โหลดข้อมูลสักทีลงได้
  • เสาสัญญาณ ไม่ควรน้อยกว่า 4 เสา เพื่อให้สามารถใช้งานฟีเจอร์ MU-MIMO แบบ 2×2 ได้ สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้พร้อมกัน 2 สตรีม ลดปัญหาการดึงเน็ตกันไปมา คือเสาเยอะไม่ได้ช่วยให้ Wi-Fi กระจายสัญญาณได้กว้างขึ้นแต่อย่างใด จะช่วยเรื่องของประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูลมากกว่า หรือช่วยเรื่องของการรวมสัญญาณ (Aggregation) ทำให้เพิ่มความเร็ว เพราะมีเรื่องขีดจำกัดการรับส่งข้อมูลของเสาต้นนั้น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คือที่เห็น Testspeed ได้ความเร็วสูง ๆ เบื้องหลังคือมีหลายเสาช่วยกันนะ
  • Beam Forming เทคโนโลยีการบีบสัญญาณ ให้พุ่งตรงไปที่เครื่อง Client ทำให้ได้รับสัญญาณได้แรงขึ้น หรือ ส่งสัญญาณได้ไกลขึ้น ทะลุสิ่งกีดขวางได้ดีขึ้น คือต้องบอกว่าการกระจายสัญญาณ Wi-Fi โดยปกติแล้วจะกระจายออกมารอบ ๆ ตัว Router ซึ่งก็มักจะเป็นแบบไร้ทิศทาง เพื่อให้ได้ coverage area ที่เยอะที่สุด ซึ่งการทำแบบนั้นมีข้อดีคือทั่วถึง แต่ก็แลกมากับการไม่พุ่งตรง เฉพาะเจาะจงไปที่ใดที่หนึ่ง เทคโนโลยี Beam Forming จึงเป็นเหมือนเป็นการเข้ามาจัดระเบียบสัญญาณให้สัญญาณที่กระจัดกระจายพุ่งตรงไปที่ใดที่หนึ่งในช่วงเวลานั้น ๆ
  •  Wi-Fi 6E หรือ Wi-Fi ที่ใช้คลื่นความถี่แบบ 6 GHz สำหรับคนงบเหลือต้องการความสุด เมื่อไม่นานมานี้ทางกสทช.ได้อนุญาตให้สามารถใช้งานคลื่นความถี่แบบ 6 GHz แบบไม่ต้องขออนุญาตใช้ได้ได้ฟรี ทำให้มีอุปกรณ์ Network รุ่นใหม่ที่รองรับมาตรฐาน Wi-Fi 6E ทยอยเปิดตัวกันออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับใครที่งบเหลือการเลือกซื้อ Router ที่รองรับ Wi-Fi 6E ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะเป็นคลื่นความถี่ที่ย่านใหม่ ยังไม่มีผู้ใช้งานเยอะ สัญญาณรบกวนน้อย แรงเต็มคาราเบล โล่ง ๆ เลยว่างั้น แต่ Router ที่รองรับเทคโนโลยี Wi-Fi 6E ในช่วงแรกยังมีอยู่ในเฉพาะรุ่นราคาสูงเท่านั้น และมือถือ โน้ตบุ๊ค ที่รองรับมาตรฐานนี้ยังมีน้อยอยู่

ส่วนสเปคที่ทีมงานแนะนำคือ รุ่นที่มีงบประมาณ 2,000 บาท รุ่น AX 1800 ขึ้นไป เพราะทดสอบแล้วเหมาะสำหรับอินเทอร์เน็ตความเร็ว 500 Mbps ซึ่งคิดว่าเป็นความเร็วที่ใช้งานได้ลื่นไหลในปี 2023 ไม่ว่าจะเล่นเน็ต ดูหนัง หรือแม้แต่เล่นเกมก็ทำได้สบาย ๆ

ส่วนถ้าต้องการความเร็วมากกว่านี้ ก็แนะนำรุ่นที่มีสเปคสูงกว่านี้ เช่น AX 3000 ขึ้นไปหรือ AX 6000 ถ้างบถึง จะทำให้ความเร็วของ Wi-Fi ที่ได้เพิ่มขึ้น แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของสมาร์ทโฟนด้วยนะ รุ่นที่ทดสอบแล้วได้ความเร็ว Wi-Fi สูง ๆ ส่วนมากจะมีเฉพาะรุ่นใหม่ ๆ ตัวท็อป ๆ เท่านั้นถึงจะได้ความเร็วระดับนี้

2. แบรนด์

อุปกรณ์พวกนี้ส่วนมากเราซื้อมาแล้วใช้ยาว ๆ เปิด 24/7 ไม่ปิดเลย และมักจะไม่ได้เปลี่ยนกันบ่อย ๆ (ยกเว้นมันพัง) ดังนั้นควรเลือกใช้แบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในประเทศไทย มากกว่าแบรนด์ที่ไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ เพื่อเวลาที่มีปัญหา หรือเกิดพังขึ้นมา จะได้มีคนช่วยเหลือ มีการรับประกันที่เชื่อถือได้ และมั่นใจได้ว่าของเขาดีจริง ไม่ปวดใจในทีหลัง

3. ดีไซน์

หัวข้อนี้แล้วแต่รสนิยมของแต่ละบ้านแล้ว เพราะบางบ้านไม่ชอบ Router ที่มีเสายุบยับ เป็นแมงมุม ชอบอะไรที่คลีน ๆ หรือบางบ้างไม่ใช้ของสีดำ อะไรแบบนั้น ซึ่งที่วางขายกันอยู่ก็มีให้เลือกหลากหลายแบบบางครั้งของที่ใช่ แค่หน้าตามันใช่ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอให้เราเลือกมันแล้ว

4. ราคา

อย่างแรกที่ต้องทำก็คือ มีงบประมาณเท่าไหร่ในการลงทุนเรื่องนี้ เพราะแต่ละบ้านมีมุมมองเรื่องการใช้เงินที่ต่างกัน (แต่ก็ไม่ควรน้อยจนเกินไป หรือมากจนเกินไป) ควรอยู่ในจุดที่แต่ละบ้านสบายใจที่จะจ่ายมากกว่า ถ้าให้แนะนำจะอยู่ในช่วงงบ 2 พันบาท ต่อ 1 ตัว เพราะเป็นช่วงราคาที่ได้ Router ที่มีฟีเจอร์ครบ เหมาะที่จะนำไปใช้งานได้อย่างไม่ติดขัดแล้ว

5. ตัวอย่าง Routert ที่แนะนำ

อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะมีงง และสุดท้ายเลือกไม่ถูกกันบ้างเราเลยคัดรุ่นที่น่าสนใจ ตามสเปคที่เราได้แนะนำไปแล้วก่อนหน้านี้

TP-LINK ARCHER AX23

มาดูกันที่ TP-LINK ARCHER AX23 กันก่อน บอกเลยว่าในงบประมาณ 2,000 บาท  Router ตัวนี้ได้ฟีเจอร์ที่ควรมีครบถ้วน เช่น Port LAN แบบ Gigabit, Wi-Fi AX 1800, แบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และการรับประกันแบบ Lifetime เป็น Router ที่เหมาะมากที่จะนำมาใช้ในบ้านที่มีสมาชิกประมาณ 4 คน

ASUS RT-AX1800HP

รุ่นถัดมาอย่าง ASUS RT-AX1800HP รุ่นนี้ก็น่าสนใจ เพราะได้ฟีเจอร์ครบ ๆ แบบรุ่นที่แล้ว แต่จะต่างกันที่เฟิร์มแวร์ ASUSWRT ที่ถูกออกแบบมาให้ปรับแต่งได้มากกว่า และรุ่นนี้มีราคาที่สูงกว่านิดนึงประมาณ 2,500 บาท ใครที่เป็นสายซนชอบปรับแต่ง รุ่นนี้ถูกใจแน่นอน

TP-LINK ARCHER AX72

ถ้าใครอยากจัดเต็มได้ความเร็วที่สูงขึ้น TP-LINK ARCHER AX72 ก็เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อย ด้วยราคาที่ไม่ได้แพงเวอร์มากประมาณ 3,500 บาท แต่ได้ Wi-Fi AX 5400, MU-MIMO 4×4, Beamforming และเสาอากาศที่เพิ่มขึ้น ทำให้นอกจากความเร็ว Wi-Fi ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังรองรับอุปกรณ์ได้เพิ่มากขึ้นด้วย บ้านไหนคนเยอะรุ่นนี้ตอบโจทย์

อย่างไรก็ตามต่อให้ Router จะสัญญาณแรงแค่ไหน แต่ถ้าเป็นบ้านที่มีพื้นที่กว้าง หรือหลายชั้น Router เพียงตัวเดียว กระจายสัญญาณได้ไม่ครอบคลุมทั่วบ้านแน่นอน ดังนั้นควรเลือกรุ่นที่เป็น Mesh Wi-Fi มากกว่า เพราะตั้งค่าง่าย หน้าตาดูดี กระจายสัญญาณได้ครอบคลุมทั่วบ้าน ใช้งานง่ายมาก และไม่ต้องเดินสาย LAN  แต่การจะใช้ Mesh Wi-Fi ก็มีข้อสังเกตด้านราคาที่ถ้าเทียบแล้วจะมีราคาสูงกว่า Router แบบเดี่ยว ๆ ที่สเปคเท่ากันอยู่พอสมควร

และต่อให้ Router มีสเปคที่เทพขนาดไหน แต่ถ้ามือถือของเราเป็นรุ่นเก่า หรือใช้เทคโนโลยีที่เก่ากว่า Router ความเร็วที่ได้ก็อาจจะไม่เป็นไปตามที่เราหวังไว้ เพราะอุปกรณ์พวกนี้ถ้าจะให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพจริง ๆ ต้องใช้ของที่มีมาตรฐานใกล้เคียงกัน เชื่อมต่อกัน ถึงจะได้ประสิทธิภาพสูงสุดของ Router ที่เราเสียเงินซื้อมา

หลายคนที่ไม่ได้มีงบประมาณขนาดนั้นเลยเลือกที่จะอัปเกรดแค่บางจุดเท่านั้น หรือบางบ้านที่ไม่ได้มีพื้นที่กว้างขนาดนั้น เช่น ผู้ที่อยู่ในคอนโด การซื้อ Router Wi-Fi แบบที่เราแนะนำไปก็ถือเป็นอะไรที่ตอบโจทย์เหมือนกัน ยังไงตอนที่จะตัดสินใจซื้อก็อย่าลืมเอาข้อมูลที่เรานำมาฝากกันไปช่วยตัดสินใจตอนซื้อด้วยนะ