การเลือกเมนบอร์ดเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญของการประกอบคอมพิวเตอร์ เพราะเมนบอร์ดทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นซีพียู แรม การ์ดจอ หรืออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล การเลือกเมนบอร์ดที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังมีผลต่อความสามารถในการอัปเกรดในอนาคตอีกด้วย แต่หลายคนอาจสับสนเมื่อต้องเลือกเมนบอร์ด เพราะมีรายละเอียดมากมายให้พิจารณา วันนี้เราจะพาไปดูวิธีเลือกเมนบอร์ดให้เหมาะกับการใช้งานกัน

สารบัญคู่มือการจัดสเปกคอม

สำหรับใครที่สนใจวิธีการเลือกอุปกรณ์ต่างๆ ในการประกอบคอมพิวเตอร์ ตอนนี้ผมจะเริ่มทำเป็นซีรี่ย์เพื่อแนะนำวิธีการเลือกอุปกรณ์แต่ละตัวให้เหมาะสมกับการใช้งาน โดยในตอนนี้เราจะพาไปรู้จักฮาร์ดแวร์ที่หลายคนมองข้าม แต่ส่วนตัวมองว่าก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นอุปกรร์ที่ช่วยให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นแบบ 300%

  • ซีพียู CPU
  • การ์ดจอ (ยังไม่เสร็จ)
  • แรม (ยังไม่เสร็จ)
  • HDD / SSD
  • PSU (ยังไม่เสร็จ)
  • เคส (ยังไม่เสร็จ)

เมนบอร์ดคืออะไร?

เมนบอร์ด (Mainboard) หรือที่เรียกกันว่า Motherboard เป็นแผงวงจรหลักของคอมพิวเตอร์ มีหน้าที่เป็นตัวกลางที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ทุกชิ้นให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นซีพียู (CPU), หน่วยความจำ (RAM), การ์ดจอ (GPU), อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล (SSD/HDD) และพอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ เช่น USB และ LAN เมนบอร์ดยังมีชิปเซ็ตที่เป็นตัวกำหนดฟีเจอร์และความสามารถของระบบ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพและการรองรับอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ

ดังนั้นเมื่อเราเลือกซีพียูได้แล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ เมนบอร์ด เนื่องจากซีพียูแต่ละรุ่นมี Socket หรือ ขาพิน ที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ แม้ว่าจะมาจากแบรนด์เดียวกันก็ตาม

วิธีเลือกเมนบอร์ดให้เหมาะกับซีพียู

1. เลือกเมนบอร์ดให้ตรงกับ Socket ของซีพียู

สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดในการเลือกเมนบอร์ดคือการเลือกให้ตรงกับ Socket ของซีพียู เพราะถ้า Socket ไม่ตรงกัน จะไม่สามารถติดตั้งซีพียูได้ แต่หากซีพียูในปีหรือ Generation ที่แตกต่างกันแต่มี Socket เดียวกัน ก็สามารถใส่ร่วมกันได้

Intel

SocketSupported CPUsChipsets
LGA 1851Core Ultra 200Arrow Lake-S : H810, B860, Z890
LGA 1700Core i Gen 12
Core i Gen 13
Core i Gen 14
Raptor Lake : H710, B760, H770, Q770, Z790, W780
Alder Lake : H610, B660, H670, Q670, Z690, W680
LGA 1200Core i Gen 10
Core i Gen 11
Rocket Lake : H510, B560, H570, Q570, Z590, W580
Comet Lake : H410, B460, H470, Q470, Z490, W480
LGA 1151Core i Gen 8
Core i Gen 9
Coffee Lake : H310, B360, H370, Q370, Z370
Coffee Lake : Z390, B365, B360

AMD

SocketSupported CPUsChipsets
AM5AMD Ryzen 7000, 8000, 9000 SeriesA620, B650, B650E, X670, X670E ,B840, B850, X870, X870E
AM4AMD Ryzen 1000, 2000, 3000, 4000, 5000A320, B350, X370, B450, X470, A520, B550, X570

เมื่อเรารู้แล้วว่าซีพียูที่ต้องการใช้งานใช้ซ็อกเก็ตอะไร ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกชิปเซ็ตที่เหมาะสม เพราะชิปเซ็ตแต่ละรุ่นไม่เพียงแต่ต้องรองรับซีพียู แต่ยังมีผลต่อการใช้งานอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น RAM, การ์ดจอ (GPU) และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ การเลือกชิปเซ็ตที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าเมนบอร์ดสามารถทำงานร่วมกับฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

2. ดูชิปเซ็ตให้เหมาะกับการใช้งาน

หลังจากเลือกเมนบอร์ดที่มี Socket ตรงกับซีพียูแล้ว ลำดับถัดไปคือการพิจารณา ชิปเซ็ตที่ใช้ในเมนบอร์ดนั้น เพราะชิปเซ็ตเป็นตัวกำหนดฟีเจอร์และความสามารถต่าง ๆ ของเมนบอร์ด เช่น การรองรับ PCIe เวอร์ชันใหม่ จำนวนพอร์ต USB ภาคจ่ายไฟ จำนวนแรมที่ใส่ได้ และการรองรับ RAM แบบ Overclock (โอเวอร์คล็อก) ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับหลัก ๆ ดังนี้

ชิปเซ็ตระดับเล็ก (Entry-Level)

เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่มีงบประมาณจำกัด หรือผู้ที่ต้องการประกอบคอมพิวเตอร์สำหรับงานพื้นฐาน เช่น งานเอกสาร ท่องเว็บ ดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกม นอกจากนี้ยังเหมาะกับการประกอบคอมพิวเตอร์สำหรับสำนักงาน หรือคอมพิวเตอร์สำรองที่ไม่ต้องการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในอนาคตมากนัก เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านพอร์ตการเชื่อมต่อและความสามารถในการรองรับอุปกรณ์เสริม ตัวอย่างเช่น Intel H610 / H810 หรือ AMD A620 / A520 / A320

ข้อดี

  • ราคาไม่สูง เข้าถึงง่าย
  • รองรับฟีเจอร์พื้นฐานเพียงพอสำหรับการใช้งาน

ข้อจำกัด

  • พอร์ตการเชื่อมต่อมีน้อยกว่า เช่น พอร์ต USB M.2 และ PCIe
  • รองรับแรมได้ไม่มาก 2 Slot และอาจจำกัดการอัปเกรดในอนาคต
  • ภาคจ่ายไฟมีน้อยกว่า ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้งานกับ ซีพียูระดับสูง หรือการโอเวอร์คล็อก ที่กินไปเยอะ ๆ
  • ไม่รองรับฟีเจอร์ที่ทันสมัยมากนัก เช่น PCIe 4.0 หรือ PCIe 5.0 ทำให้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการการอัปเกรดหรือพอร์ตการเชื่อมต่อที่รวดเร็วในอนาคต

ชิปเซ็ตระดับกลาง (Mid-Range)

เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจากระดับเริ่มต้น และมีงบประมาณเพิ่มขึ้นพอสมควร เหมาะกับการประกอบคอมพิวเตอร์สำหรับการทำงานทั่วไป เล่นเกม หรืองานที่ต้องการพลังประมวลผลมากขึ้น เช่น ตัดต่อวิดีโอหรือทำงานกราฟิก นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเมนบอร์ดที่สามารถรองรับการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ในอนาคตได้ รองรับอุปกรณ์ต่อพ่วงมากขึ้น เช่น ใส่แรมได้ 4 ช่อง รองรับ SSD M.2 หลายตัว และมีพอร์ตการเชื่อมต่อที่ครบถ้วนเพียงพอ รองรับฟีเจอร์พื้นฐานครบถ้วนแต่ไม่ต้องการ Overclock ซีพียู (เฉพาะ intel) ส่วน AMD Overclock เพิ่มได้เล็กหน่อย ตัวอย่างเช่น Intel B760 / B860 หรือ AMD B550 / B650 / B850

ข้อดี

  • รองรับฟีเจอร์ครบถ้วน เช่น PCIe เวอร์ชันใหม่ ใส่แรมได้ 4 Slot และโอเวอร์คล็อกเพิ่มความแรงเพิ่มได้ในบางรุ่น
  • รองรับการอัปเกรดในอนาคตได้ดีกว่า เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น มี Slot แรม 4 แถว ใส่ SSD M.2 ได้หลายตัว
  • มีพอร์ตหลังเครื่องความเร็วสูงมาให้ใช้พอประมาณ เช่น USB-C 20 Gbps
  • ภาคจ่ายไฟเพียงพอที่จะใช้กับซีพียูรุ่นระดับสูงได้

ข้อจำกัด

  • ไม่สามารถโอเวอร์คล็อกซีพียูหรือแรมแบบเต็มที่ได้
  • พอร์ตการเชื่อมต่อความเร็วสูงที่มีมาให้น้อยกว่า
  • เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดบางอย่างไม่มี เช่น PCIe 5.0 หรือ USB 4.0 (ในบางรุ่น)

ชิปเซ็ตระดับสูง (High-End):

เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้งานซีพียูระดับสูงแบบเต็มประสิทธิภาพ หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการ Overclock และต้องการรีดพลังจากซีพียูและแรมให้ถึงขีดสุด นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เช่น PCIe 5.0, USB 4.0 หรือ Thunderbolt 4 รวมถึงพอร์ตการเชื่อมต่อที่มากเพียงพอสำหรับอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เหมาะกับผู้ที่ใช้ซีพียูรุ่นท็อป และต้องการระบบที่รองรับการอัปเกรดระยะยาวโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ดบ่อย ๆ ตัวอย่าง เช่น Intel Z790 / Z890 หรือ AMD X570 / X670E / X870E

ข้อดี

  • ช่วยให้ใช้งานซีพียูและแรมระดับสูงได้เต็มประสิทธิภาพ
  • มีพอร์ตการเชื่อมต่อเทคโนโลยีที่ดีที่สุดอย่าง Thunderbolt 4 USB 4.0 หลายพอร์ต
  • มี USB-C 2 พอร์ตขึ้นไป
  • ใส่ SSD M.2 ได้เยอะมาก
  • รองรับการ Overclock ซีพียูและแรมแบบจัดเต็ม

ข้อจำกัด

  • ราคาค่อนข้างสูง
  • มักจะมีฟีเจอร์เกินความต้องการของผู้ใช้งานทั่วไป

3. เลือกขนาดของเมนบอร์ดให้เหมาะกับเคส

เมื่อเราตัดสินใจได้แล้วว่าต้องการเมนบอร์ดระดับไหนและอยู่ในช่วงราคาเท่าใด ขั้นตอนต่อไปคือการเลือกขนาดของเมนบอร์ดให้เหมาะสมกับเคสที่ใช้ เมนบอร์ดสำหรับพีซีมีขนาดหลัก ๆ อยู่ 3 ขนาด ได้แก่ ATX, Micro-ATX และ Mini-ITX นอกจากนี้ ยังมีขนาดอื่น ๆ เช่น E-ATX ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า ATX แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากต้องใช้เคสที่รองรับเฉพาะทาง

ATX (ขนาดมาตรฐาน)

ATX เป็นขนาดเมนบอร์ดมาตรฐานที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรองรับอุปกรณ์เสริมจำนวนมาก และต้องการระบบที่มีความยืดหยุ่นในการอัปเกรดในอนาคต ด้วยขนาดที่ใหญ่กว่าเมนบอร์ดแบบ Micro-ATX และ Mini-ITX ทำให้มีพื้นที่มากขึ้นสำหรับติดตั้งการ์ดจอ การ์ดเสียง การ์ด Wi-Fi และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถจัดการสายไฟและการระบายความร้อนได้ดีขึ้น เมนบอร์ดขนาด ATX เหมาะกับเคสขนาดมาตรฐาน ซึ่งช่วยให้ตัวเครื่องดูเต็ม ดูแน่น และให้ประสบการณ์ใช้งานที่สมดุลทั้งในด้านประสิทธิภาพและความสวยงาม

ข้อดี

  • รองรับการอัปเกรดและติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้มาก
  • มีพื้นที่เพียงพอให้ฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้น ไม่ต้องติดตั้งแบบเบียดเสียด
  • เมื่อติดตั้งในเคส ATX จะดูลงตัวและสมดุล

ข้อสังเกต

  • มักอยู่ในช่วงราคากลางถึงสูง ทำให้บางรุ่นอาจมีราคาสูงกว่าเมนบอร์ดขนาดเล็ก
  • ขนาดใหญ่ ไม่สามารถติดตั้งในเคส mATX หรือเล็กกว่านั้น
  • แม้จะเป็นเคส ATX เหมือนกัน แต่หากขนาดเล็กเกินไป อาจทำให้เข้าถึงพอร์ตเชื่อมต่อต่าง ๆ ได้ยาก

Micro-ATX (mATX)

เมนบอร์ด Micro-ATX เป็นเมนบอร์ดที่มีขนาดเล็กกว่า ATX เล็กน้อย แต่ยังคงรองรับการใช้งานได้ครบถ้วน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบคอมพิวเตอร์ขนาดกะทัดรัดแต่ยังเผื่อการอัปเกรดในอนาคต ไม่เล็กจนเกินไปเหมือน Mini-ITX ทำให้สามารถเพิ่มการ์ดจอ, RAM, หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ได้ในระดับที่เพียงพอ เคสที่เหมาะสมควรเป็นขนาด mATX เพื่อให้ตัวเครื่องดูสมดุลและเป็นระเบียบ หากใช้กับเคส ATX อาจทำให้ดูโล่ง ไม่เต็มพื้นที่

ข้อดี

  • ราคาประหยัด มักพบในเมนบอร์ดที่มีราคาคุ้มค่า
  • ขนาดกะทัดรัด แต่ยังรองรับอุปกรณ์ได้เพียงพอสำหรับการใช้งานระยะยาว
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเครื่องไม่ใหญ่เกินไป แต่ยังเผื่ออัปเกรดในอนาคต
  • ใช้พื้นที่ติดตั้งน้อยกว่า ATX ทั้งภายในและภายนอกเคส

ข้อสังเกต

  • ใส่อุปกรณ์เสริมอัปเกรดเพิ่มได้น้อยกว่า ATX
  • รุ่นสวย ๆ รุ่นบน ๆ มีให้เลือกน้อยกว่า เพราะส่วนใหญ่เน้นความประหยัด คุ้มค่ามากกว่า ATX
  • ฮาร์ดแวร์แต่ละชิ้นอยู่ใกล้กันมากกว่า ATX ต้องติดตั้งแบบเบียดเสียดกว่า
  • เมื่อใส่กับเคส ATX จะทำให้รู้สึกว่าเครื่องไม่เต็ม ไม่แน่น

Mini-ITX (ขนาดเล็กสุด)

Mini-ITX เป็นเมนบอร์ดขนาดเล็กที่สุดในบรรดาเมนบอร์ดสำหรับพีซี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ประหยัดพื้นที่ หรือเน้นความมินิมอล แน่นอนด้วยขนาดกะทัดรัด ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องการรองรับอุปกรณ์ เนื่องจากมีสล็อต PCIe เพียงช่องเดียว ทำให้ใส่การ์ดจอได้เท่านั้น รวมถึงรองรับ RAM และ SSD M.2 ได้จำกัด การเลือกใช้จึงต้องพิจารณาความต้องการให้ดี

ข้อดี

  • ขนาดเล็กกะทัดรัด เหมาะสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการประหยัดพื้นที่
  • ดีไซน์มินิมอล แต่ยังคงรองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
  • ใช้พื้นที่ติดตั้งน้อย ทั้งภายในและภายนอกเคส

ข้อจำกัด

  • รองรับอุปกรณ์ได้น้อยกว่าขนาดอื่น ๆ เช่น PCIe มีเพียงช่องเดียว, ใส่ RAM ได้สูงสุด 2 แถว
  • ตัวเลือกมีน้อย และราคาสูงกว่ากลุ่ม ATX หรือ mATX ในสเปกระดับเดียวกัน
  • ไม่ค่อยมีรุ่นราคาประหยัด ส่วนใหญ่เป็นรุ่นที่มีฟีเจอร์ครบครัน
  • ตัวเลือกในการอัปเกรดมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า

ข้อแนะนำ

เนื่องจากขนาดที่เล็กของ Mini-ITX ทำให้การอัปเกรดทำได้จำกัด แนะนำให้เลือกเมนบอร์ดที่มีฟีเจอร์ครบตั้งแต่แรก เช่น Wi-Fi ในตัว, ชิปเสียงคุณภาพสูง และพอร์ตความเร็วสูงอย่าง USB-C 3.2 เพื่อให้รองรับการใช้งานได้อย่างคุ้มค่าที่สุด

การเลือกขนาดเมนบอร์ดจะต้องพิจารณาตามขนาดของ เคส และความต้องการในการใช้งาน เช่น หากต้องการความยืดหยุ่นและการอัปเกรดในอนาคต ATX อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่ถ้าต้องการประหยัดพื้นที่ Mini-ITX หรือ mATX ก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน

Mini-ITXMicroATXATXE-ATX
Size9.0 x 7.5 inches9.6 x 9.6 inches12 x 9.6 inches
Expansion Slots147
RAMDIMMDIMMDIMM
RAM Slots2Up to 4Up to 8
GPUsUp to 1Up to 3Up to 4
SATA portsUp to 6Up to 8Up to 12

4. ดูจากอุปกรณ์ที่เราต้องการใส่

หากเรามีอุปกรณ์ที่ต้องการติดตั้งอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการอัปเกรดจากเครื่องเก่า หรือมีแผนใช้งานเฉพาะทาง เช่น งานตัดต่อ งานสตรีมมิ่ง หรือการเล่นเกม การเลือกเมนบอร์ดให้รองรับอุปกรณ์เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เมนบอร์ดแต่ละรุ่นมีข้อจำกัดและความสามารถที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรตรวจสอบรายละเอียดต่อไปนี้ก่อนตัดสินใจซื้อ

Slot แรม

หากต้องการใช้ RAM ความเร็วสูงหรือเพิ่มจำนวนแรมในอนาคต ควรเลือกเมนบอร์ดที่มีจำนวนสล็อต RAM เพียงพอ โดยทั่วไป เมนบอร์ดขนาด ATX และ Micro-ATX มักจะมี 4 สล็อต ซึ่งช่วยให้เพิ่มแรมในอนาคตได้ง่ายกว่า ในขณะที่ Mini-ITX จะมีเพียง 2 สล็อต ทำให้ต้องเลือกใช้ความจุที่สูงขึ้นตั้งแต่แรก หากมีแผนเผื่ออัปเกรดในอนาคต การเลือกเมนบอร์ดที่มี 4 สล็อตจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการเพิ่มแรมโดยไม่ต้องถอดเปลี่ยนของเดิม

ประเภทของ RAM (DDR4 หรือ DDR5)

ซีพียู Intel Gen 12, 13 และ 14 รองรับทั้ง DDR4 และ DDR5 ขึ้นอยู่กับเมนบอร์ดที่เลือก แม้ว่าจะใช้ Socket LGA 1700 เหมือนกัน แต่เมนบอร์ดแต่ละรุ่นจะรองรับเพียง DDR4 หรือ DDR5 อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใส่ร่วมกันได้ ต่างจาก AMD ที่ Socket รุ่นใหม่ เช่น AM5 รองรับเฉพาะ DDR5 เท่านั้น ทำให้ต้องเลือกแรมให้ตรงกับแพลตฟอร์มที่ใช้งานตั้งแต่แรก

Slot PCIe (Expansion Slots)

ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ใช้การ์ดจอเพียง 1 ใบ แต่หากต้องการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม เช่น การ์ดเสียง, SSD แบบ PCIe, Capture Card, Wi-Fi Card หรือ การ์ดเพิ่มพอร์ต USB-C ความเร็วสูง 20 Gbps ควรตรวจสอบจำนวนและประเภทของ Slot PCIe ที่เมนบอร์ดรองรับ รวมถึงความยาวของ Slot และมาตรฐานที่ใช้ เช่น PCIe 4.0 หรือ PCIe 5.0

อีกประเด็นที่ต้องคำนึงถึงคือ ระยะห่างของแต่ละ Slot เพราะการ์ดจอบางรุ่นในปัจจุบันใช้พื้นที่ติดตั้งมากถึง 4 Slot ซึ่งอาจบังช่อง PCIe อื่น ๆ และลดโอกาสในการติดตั้งการ์ดเสริม เมนบอร์ดบางรุ่นออกแบบให้มีช่อง PCIe เว้นระยะไว้เพื่อรองรับการ์ดจอขนาดใหญ่ ช่วยให้ติดตั้งอุปกรณ์เสริมได้สะดวกขึ้น

ส่วนถ้าใครอยากเจาะลึกเรื่อง Slot PCIe เราเคยเขียนสรุปไว้ให้แล้วนะ ช่อง PCIe คืออะไร นอกจากใส่การ์ดจอแล้วยังใส่อย่างอื่นได้หรือไม่ ใส่อะไรได้อีกบ้าง

Slot M.2

ควรพิจารณาว่าต้องการติดตั้ง M.2 SSD กี่ตัว และใช้มาตรฐานใด เช่น SATA, NVMe 3.0 หรือ NVMe 4.0 โดยปกติเมนบอร์ดรุ่นใหม่จะมี Slot M.2 อย่างน้อย 1 ช่อง และในรุ่นระดับกลางถึงสูงอาจรองรับได้ สูงสุดถึง 5 ช่อง

สำหรับเมนบอร์ดรุ่นเก่าที่มี Slot M.2 น้อย อาจต้องใช้พอร์ต SATA แทน แต่ในปัจจุบัน HDD SATA ไม่ได้รับความนิยมเท่าเดิม ทำให้เมนบอร์ดบางรุ่นลดจำนวนพอร์ต SATA ลง ดังนั้น หากต้องการใช้ฮาร์ดดิสก์ SATA หรืออุปกรณ์เก่า ๆ ควรตรวจสอบว่าบอร์ดรองรับพอร์ต SATA เพียงพอหรือไม่

5. พอร์ตการเชื่อมต่อ

หนึ่งในเรื่องที่มีสำคัญในการเลือกเมนบอร์ดคือ พอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกไม่ว่าจะเป็น เมาส์, คีย์บอร์ด, ไมโครโฟน, จอยเกม, หน้าจอ, ระบบเสียง หรือ External SSD นอกจากจะต้องดูว่ามีจำนวนพอร์ตเพียงพอหรือไม่ก็ควรพิจารณาเรื่อง ความเร็วและมาตรฐานของพอร์ต ด้วย

USB Ports ทั้งหน้าและหลัง

หากต้องการใช้งานอุปกรณ์หลายตัวพร้อมกัน เช่น เมาส์, คีย์บอร์ด, Soundcard, ไมโครโฟน, จอยเกม หรือ External SSD ควรตรวจสอบว่าพอร์ต USB มีจำนวนเพียงพอและมีความเร็วที่รองรับอุปกรณ์ที่ต้องการใช้งาน เช่น หากใช้ External SSD ควรเลือกบอร์ดที่มีพอร์ต USB-C ความเร็วสูง 20 Gbps ขึ้นไป

สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเสียบอุปกรณ์ที่พอร์ตด้านหลังเครื่อง การมี Header สำหรับพอร์ตหน้าเคสก็เป็นสิ่งที่จำเป็น โดยเฉพาะหากเคสมี USB-C ความเร็วสูงด้านหน้า ควรตรวจสอบว่า เมนบอร์ดมีช่องเสียบ Header USB-C เพียงพอหรือไม่

นอกจากนี้ Header USB Internal นอกจากจะใช้สำหรับต่อพอร์ตหน้าเคสแล้ว ยังใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เสริมรุ่นใหม่ ๆ เช่น ชุดน้ำ, กล่องควบคุมไฟ RGB หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ดังนั้นควรเลือกเมนบอร์ดที่มี Header เพียงพอสำหรับการใช้งานในอนาคตเพื่อรองรับการอัปเกรดได้อย่างยืดหยุ่น

คนที่ใช้ iGPU (ไม่มีการ์ดจอแยก)

หากใช้ซีพียูที่มีกราฟิกในตัว (iGPU) ควรตรวจสอบว่าเมนบอร์ดมีพอร์ตต่อจอ เช่น HDMI, DisplayPort หรือ VGA รองรับหรือไม่ (เมนบอร์ดบางรุ่นพอร์ตเหล่านี้มาให้ เพราะถูกออกแบบมาใช้คู่กับซีพียูที่ไม่มี iGPU)

ระบบเสียง

สำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพเสียงระดับสูง (Hi-Fi) หรือเชื่อมต่อลำโพงหลายตัวควรเลือกเมนบอร์ดที่รองรับ ระบบเสียง 5.1 หรือ 7.1 และมี SPDIF Optical Output หากต้องการต่อเข้ากับอุปกรณ์เสียงระดับโปร

6. ภาคจ่ายไฟ (VRM) เรื่องเล็กน้อยที่หลายคนมองข้าม

เมื่อก่อนการเลือกภาคจ่ายไฟอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก เพราะซีพียูไม่ได้กินไฟสูงเหมือนในปัจจุบัน แต่ในยุคนี้โดยเฉพาะตั้งแต่ Intel Gen 12 มา หรือซีพียูรุ่นใหญ่ของ AMD การเลือกภาคจ่ายไฟที่เหมาะสมกับซีพียูกลายเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะประสิทธิภาพของซีพียูแปรผันตามการจ่ายไฟที่มีอยู่บนเมนบอร์ด

การมีภาคจ่ายไฟเยอะช่วยให้จ่ายไฟได้นิ่งและเสถียรขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ซีพียูที่กินไฟสูง หรือมีการ Overclock เพราะแต่ละเฟสต้องรับภาระน้อยลง ทำให้ความร้อนสะสมลดลง แต่ข้อเสียคือราคาของเมนบอร์ดจะสูงขึ้น และสำหรับซีพียูรุ่นเล็กอาจไม่จำเป็นต้องใช้ภาคจ่ายไฟเยอะมาก นอกจากนี้ เมนบอร์ดที่มีภาคจ่ายไฟเยอะมักมีฮีตซิงก์ขนาดใหญ่ อาจส่งผลต่อการจัดวางภายในเคส ดังนั้นควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งาน เพื่อให้ได้ความเสถียรที่ดีโดยไม่จ่ายเกินความจำเป็น

หมายความว่าหากใส่ซีพียูรุ่นใหญ่ในบอร์ดที่มีภาคจ่ายไฟไม่เพียงพอ ประสิทธิภาพที่ได้อาจจะไม่เต็มที่ เครื่องทำงานไม่เสถียร และไม่สามารถรีดประสิทธิภาพสูงสุดออกมาได้ ดังนั้นการเลือกเมนบอร์ดที่มีภาคจ่ายไฟเพียงพอและเหมาะสมกับซีพียูจึงเป็นสิ่งสำคัญ

วิธีดูภาคจ่ายไฟง่าย ๆ

ให้สังเกตที่ช่องต่อไฟเลี้ยงซีพียู (CPU Power Connector) โดยไม่ต้องสนใจรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับ MOSFET ว่ามีกี่เฟส เป็น DrMOS หรือ Low-side High-side ก็ได้สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป เพราะบางครั้งจำนวนเฟสที่มากอาจเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาด ไม่ได้หมายถึงคุณภาพที่ดีกว่าเสมอไป การดูที่ช่องต่อไฟเลี้ยงจะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นดังนี้

  • 8-pin: เหมาะสำหรับซีพียูรุ่นเริ่มต้นถึงระดับกลาง
  • 8+4 Pin: เหมาะสำหรับซีพียูรุ่นกลางถึงสูง หรือสำหรับการใช้งานที่ต้องการเสถียรภาพเพิ่มขึ้น
  • 8+8 Pin: แนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการ Overclock หรือซีพียูที่กินไฟเยอะ ๆ

การเลือกเมนบอร์ดที่มีภาคจ่ายไฟที่ดีไม่เพียงช่วยให้เครื่องทำงานได้เสถียรขึ้น แต่ยังรองรับการอัปเกรดในอนาคตและช่วยให้เราสามารถปรับแต่งระบบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

7. ลูกเล่นเสริม

แม้ว่าลูกเล่นเสริมอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกเมนบอร์ด แต่ก็สามารถช่วยให้การใช้งานสะดวกและเหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของผู้ใช้มากขึ้น เช่น ช่วยในการ อัปเกรดง่าย, บริหารจัดการระบบได้สะดวก, หรือแม้แต่เพิ่มความ สวยงาม ให้กับคอมพิวเตอร์

ไฟ RGB

สำหรับผู้ที่ชอบตกแต่งคอมพิวเตอร์ สามารถเลือกเมนบอร์ดที่มีฟีเจอร์ไฟ RGB ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสวยงามและความโดดเด่นให้กับตัวเครื่อง และนอกจากไฟ RGB บนเมนบอร์ดแล้ว ถ้าต้องการปรับแต่งไฟ RGB ของอุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปเพิ่มเช่น พัดลม หรือไฟเส้น LED ด้วยซอฟต์แวร์ของเมนบอร์ดก็ควรต้องดูพอร์ตการเชื่อมต่อ RGB และ ARGB (Addressable RGB) ด้วย แนะนำว่ายิ่งมีเยอะยิ่งทำให้เราเล่นท่ายากได้มากกว่า เช่น การแบ่งโซนของไฟ RGB แยกตามพื้นที่

  • 4-Pin RGB : เป็นไฟ RGB แบบเก่า ทำงานบนไฟ 12V ปรับไฟทั้งเส้นได้แค่สีเดียว ข้อจำกัดเยอะกว่า เพราะไม่สามารถแยกสีไฟในแต่ละจุดได้
  • 3-Pin ARGB : เป็นไฟ RGB แบบใหม่ ทำงานบนไฟ 5V สามารถปรับไฟแยกเป็นเม็ดหรือเป็นจุดได้ ไม่ได้จำกัดว่าทั้งเส้นต้องเป็นสีเดียว หมายความว่าเราสามารถมีลูกเล่นได้มากกว่า เช่น ไฟวิ่ง
  • ข้อควรระวัง การติดตั้งไฟ RGB และ ARGB ต้องระวังไม่ให้เชื่อมต่อผิดพอร์ต เนื่องจากทั้งสองประเภทนี้ใช้ไฟเลี้ยงและการเชื่อมต่อที่แตกต่างกัน หากเชื่อมต่อผิดพอร์ตอาจทำให้เกิดความเสียหายได้

หัวต่อพัดลม

เมนบอร์ดที่มีหัวต่อพัดลมหลายช่องจะช่วยให้เราจัดการพัดลมได้ดีขึ้น ไม่ต้องต่อสายวาย หรือฮับเพิ่ม สามารถปรับรอบการทำงานแยกกันได้อิสระ

ดีไซน์และสีสัน

นอกจากสเปกและฟีเจอร์แล้ว เมนบอร์ดบางรุ่นยังให้ความสำคัญกับ ดีไซน์และสีสัน เพื่อให้เข้ากับธีมของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป เช่น

  • PCB สีพิเศษ บางรุ่นมี PCB สีขาว หรือสีอื่น ๆ นอกจากสีดำมาตรฐาน เพื่อให้เข้ากับธีมของเครื่อง
  • ลวดลายบนเมนบอร์ด เช่น ลายกราฟิกพิเศษ หรือดีไซน์ที่ทำให้บอร์ดดูโดดเด่นขึ้น
  • Cover และฮีตซิงก์ตกแต่ง ใช้ปิดจุดที่ดูไม่เรียบร้อย เช่น สล็อต M.2 หรือภาคจ่ายไฟ ทำให้บอร์ดดูเป็นระเบียบและสวยงามขึ้น
  • ไฟ RGB หลายรุ่นมาพร้อมกับ ไฟ RGB บนตัวบอร์ด หรือรองรับการเชื่อมต่อไฟเสริม เพื่อให้ปรับแต่งแสงสีให้เข้ากับธีมของเครื่องได้
  • จอแสดงผล (LCD/OLED Display) บางรุ่นระดับสูงมีจอแสดงผลเล็ก ๆ บนเมนบอร์ด ใช้แสดงข้อมูล เช่น อุณหภูมิ หรือใช้เป็นจอแต่งเพื่อความสวยงาม

ดีไซน์ของเมนบอร์ดเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัว แต่สำหรับคนที่ต้องการจัดเซ็ตอัปให้เข้าธีม หรือโชว์เครื่องผ่านฝาข้างใส การเลือกบอร์ดที่มีดีไซน์สวยก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้เครื่องดูดีขึ้น

ชิปเสียง (Audio Chip)

สำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีในการเล่นเกมหรือฟังเพลง การเลือกเมนบอร์ดที่มี ชิปเสียงคุณภาพสูง ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ทำให้เราไม่ต้องซื้อการ์ดเสียงแยก

Wi-Fi และพอร์ต LAN บนเมนบอร์ด

เมนบอร์ดบางรุ่นมาพร้อมกับ Wi-Fi ในตัว ช่วยให้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้สะดวกโดยไม่ต้องใช้การ์ดเสริม แม้ว่าราคาของเมนบอร์ดที่มี Wi-Fi อาจสูงกว่ารุ่นที่ไม่มี แต่โดยทั่วไปเมื่อคำนวณราคากับการซื้อการ์ดเสริมแยกแล้ว มักจะคุ้มค่ากว่า

เลือกชิป Wi-Fi บนเมนบอร์ด

นอกจากเช็คว่ามี Wi-Fi ในตัวหรือไม่ การดู ชิปของตัวการ์ด Wi-Fi ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละแบรนด์มีคุณภาพการรับสัญญาณที่ต่างกัน โดยทั่วไปแบรนด์หลักที่นิยมใช้ ได้แก่

  • Intel – ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพดีที่สุด ทั้งความเสถียรและความเร็ว
  • Realtek / MediaTek – แบรนด์รองลงมา ราคาถูกกว่า แต่คุณภาพอาจด้อยกว่าบางรุ่น
  • Killer – เหมาะสำหรับเกมเมอร์ตัวจริง มีฟีเจอร์เสริมช่วยลดปิงและปรับแต่งการเชื่อมต่อสำหรับการเล่นเกม
พอร์ต LAN บนเมนบอร์ด

เช่นเดียวกับการ์ด Wi-Fi พอร์ต LAN บนเมนบอร์ดก็ใช้ชิปจากแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพ โดยทั่วไปแบ่งเป็น

  • Intel – ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมีความเสถียรและรองรับความเร็วสูง
  • Realtek – เป็นตัวเลือกที่พบได้บ่อยในเมนบอร์ดระดับกลางและล่าง ซึ่งจากการใช้งานทั่วไปอาจไม่แตกต่างกันมากเท่ากับ Wi-Fi

BIOS และซอฟต์แวร์

เมนบอร์ดที่ดีจะมาพร้อมกับ BIOS ที่ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น การปรับแต่ง Overclocking, การอัปเดต BIOS ง่าย ๆ และการมีซอฟต์แวร์ที่เป็นโปรแกรมบน Windows จะช่วยให้การตั้งค่าต่าง ๆ ทำได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องเข้าไปปรับใน BIOS ทุกครั้งก็ได้ เช่นการปรับรอบพัดลม หรือไฟ RGB

ฟีเจอร์อำนวยความสะดวกในการติดตั้งอุปกรณ์

เมนบอร์ดรุ่นใหม่มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่ช่วยให้การติดตั้งและอัปเกรดอุปกรณ์ง่ายขึ้น ลดความยุ่งยากและปัญหาการใช้เครื่องมือ เช่น ไขควงหรือน็อต ตัวอย่างฟีเจอร์ที่น่าสนใจ ได้แก่

ระบบติดตั้งแบบไม่ต้องใช้เครื่องมือ (Tool-Free Installation)
  • Tool-Free Installation ระบบติดตั้งแบบไม่ต้องใช้เครื่องมือ เช่น Q-Latch สำหรับ M.2 SSD ที่ใช้ขาล็อกแบบหมุนแทนน็อต ทำให้ใส่หรือถอด SSD ได้ง่ายขึ้น
  • PCIe Quick Release ขาล็อกการ์ดจอแบบกดง่าย ช่วยให้ถอดการ์ดจอออกได้สะดวก โดยไม่ต้องใช้ของแข็งมากดขาล็อกในพื้นที่แคบ
  • Pre-installed I/O Shield ฝาหลังเมนบอร์ดที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน หมดปัญหาลืมใส่หรือใส่ผิดตำแหน่ง
ปุ่มพิเศษบนเมนบอร์ด
  • BIOS Flashback Button ใช้สำหรับแฟลช BIOS แม้ไม่มี CPU ติดตั้ง หรือช่วยกู้ระบบกรณี BIOS มีปัญหาโดยไม่ต้องส่งเคลม
  • Clear CMOS Button ใช้ล้างค่าต่าง ๆ ใน BIOS กลับค่าเดิมจากโรงงาน โดยไม่ต้องถอดถ่านเมนบอร์ดหรือหา Jumper เอง
  • Power & Reset Button บนบอร์ด ช่วยให้เปิด-ปิดเครื่องโดยตรงจากเมนบอร์ด เหมาะกับการใช้งานบน Test Bench หรือการทดสอบฮาร์ดแวร์
ระบบช่วยวิเคราะห์ปัญหา
  • EZ Debug LED ไฟแจ้งเตือนปัญหาฮาร์ดแวร์ เช่น RAM, CPU, หรือการ์ดจอ ช่วยให้แก้ปัญหาได้เร็วขึ้น

ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยให้ทั้งการประกอบเครื่องใหม่และการอัปเกรดภายหลังทำได้สะดวกขึ้น ลดความเสี่ยงต่อความเสียหายของอุปกรณ์และช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้นมาก

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ เลือกเมนบอร์ดที่ตรงใจกันมากขึ้น สุดท้ายแล้ว การเลือกเมนบอร์ดขึ้นอยู่กับความต้องการและการใช้งานของแต่ละคน เพราะแม้ว่าเมนบอร์ดทุกตัวจะใช้งานได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ฟีเจอร์และออปชันเสริม

หากเลือกเมนบอร์ดที่มีราคาสูง แต่ไม่ได้ใช้ฟีเจอร์ทั้งหมด อาจจะไม่คุ้มค่าเท่ากับการเลือกเมนบอร์ดระดับพื้นฐานที่มีสเปกครบและเหมาะกับการใช้งานจริง นอกจากนี้ อย่าลืมพิจารณาขนาดของเคสให้เข้ากับเมนบอร์ดด้วย เพราะหากเลือกบอร์ดที่ใหญ่เกินไป อาจทำให้ติดตั้งไม่ได้สะดวก หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนเคสใหม่

ภาพ : ASUS MSI Gigabyte ASRock techguided