ทุกวันนี้การจะได้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงระดับ 1 Gbps เป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป หลังเน็ตบ้านทุกค่ายต่างประโคมออกโปรเน็ตความเร็วระดับกิ๊กกะบิทออกมาแข่งกันให้เพียบ แต่ปัญหานึงที่เจอ และมีคนสอบถามกันออกมาเป็นประจำ คือ ทำไมความเร็วที่ทดสอบได้กลับออกมาไม่เท่ากับแพ็กเกจที่สมัครเอาไว้ เครื่องเรามีปัญหา? เครือข่ายเรามีปัญหา? หรือมันเกิดจากอะไรกันแน่

อะไรทำให้เน็ตเราวิ่งได้ถึง 1 Gbps

หลังติดตั้ง Gigabit อินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะค่ายไหนก็ตาม แน่นอนว่าสิ่งที่หลายคนทำกันคือกดทดสอบความเร็ว แต่อาจจะต้องพบกับความสงสัยกันว่าทำไมผลที่ได้ออกมาโดยมากไม่ได้เป็นไปตามแพ็กเกจที่สมัครไว้ อยากจะได้จับภาพตัวเลขดาวน์โหลดขึ้นหลักพันเอาไปอวดเพื่อนๆ แต่กลับต้องเจอเลขไม่กี่ร้อย สาเหตุตรงนี้เกิดจากเครือข่ายไม่ได้ปล่อยเน็ตออกมาให้เต็มที่ หรือคุณภาพไม่ดีอย่างที่โฆษณาเหรอ? แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันแต่ละเครือข่ายมีศักยภาพที่จะให้บริการเน็ตระดับ Gigabit ด้วยกันทั้งสิ้น โดยแบนด์วิธภายในประเทศมีอยู่มากกว่า 8,200 Gbps และแบนด์วิธออกต่างประเทศที่มากกว่า 10,000 Gbps*ข้อมูลจาก Internet Map โดย nectec ณ เดือนมีนาคม 2563

แล้วอะไรเป็นตัวที่ทำให้การทดสอบความเร็วอินเทอร์เนต ได้ไม่ถึงตามแพ็กเกจ? เราสามารถสรุปสาเหตุหลัก ๆ ได้ 2 อย่าง คือ

  1. ความสามารถของ Router ในการปล่อยสัญญาณ ทั้ง LAN และ WLAN
  2. อุปกรณ์รับสัญญาณของเรา (มือถือ แท็บเลต โน๊ตบุ๊ค) สามารถรับสัญญาณได้เต็มที่หรือไม่

Tips 1 Gigabit (Gb) = 1000 Megabit (Mb) โดย bit จะใช้เป็นหน่วยสำหรับการรับส่งข้อมูลเป็นหลัก ส่วน byte จะใช้สำหรับพวกหน่วยความจำ โดย 8 bit (b) = 1 byte (B) ถ้าเราดาวน์โหลดข้อมูล 200 Megabyte (MB) จะเทียบเท่ากับการรับส่งข้อมูล 1600 Megabit หรือ 1.6 Gigabit นั่นเอง และที่เราเห็นมีห้อย ps เข้ามาด้วย เช่น 1000 Mbps คือย่อมาจาก 1000 Megabit per sec หรือ 1000 ล้านบิทต่อวินาที หรือ 125 MB ต่อวินาที นั่นเอง

ข้อจำกัดของสาย LAN

พอร์ตและสาย LAN ทั้งบน Router และอุปกรณ์อื่นๆ เช่น Notebook ในปัจจุบันโดยมากจะมีสเปค 1000/100/10 หรือรับความเร็วได้สูงสุด 1 Gbps ซึ่งความเร็วที่ได้ส่วนมากจะอยู่ในช่วง 950-980 Mbps เท่านั้น สาเหตุก็มาจากการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายทุกครั้ง ทุกข้อมูลที่ส่งไปมา จะมีส่วนของข้อมูลที่เรียกว่าค่า Header และ Footer ซึ่งใช้สำหรับยืนยันและควบคุมตัวข้อมูลระหว่างต้นทางและปลายทาง โดยขนาดของมันจะมีเพียงไม่กี่ byte แต่เมื่อรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่ Header และ Footer ก็จะใหญ่ตามไปด้วย  ทำให้เมื่อต่อสาย LAN ทดสอบสปีด จึงเหมือนค่าที่ได้ วิ่งได้ไม่เต็ม 1Gbps 

ข้อจำกัดของ WiFi

เมื่อเราสมัครใช้งานเน็ตไฟเบอร์ระดับกิ๊กกะบิท โดยมากเราจะต้องเปลี่ยนอุปกรณ์เน็ตเวิร์คหลายชิ้นเพื่อให้มันมีประสิทธิภาพดีขึ้น รองรับการใช้งานที่ความเร็วที่สูงกว่าทั่วไปในตลาด และด้วยความที่มันถือเป็นเรื่องใหม่และล้ำสมัยสำหรับผู้ใช้ตามบ้าน อุปกรณ์ที่ต่างๆ ที่ปัจจุบันเราใช้งานอยู่ ไม่ว่าจะสมาร์ทโฟน แท็บเลต หรือโน๊ตบุ๊ค ก็มักจะยังไม่ค่อยจะรองรับความเร็วในระดับ Gigabit นี้เท่าไหร่นัก ส่วนมากจะต่อกันได้ราวๆ 600-800 Mbps เท่านั้น ทำให้เมื่อติดตั้งเน็ตและทำการทดสอบ Speedtest ก็อาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ตัวเลขออกมาตามแพ็กเกจที่สมัครเอาไว้

ข้อจำกัดของ Router

ส่วน Router ที่กระจายสัญญาณออกมาให้เราใช้กัน ซึ่งผู้ให้บริการมักจะแถมมาให้ด้วย ก็ไม่ใช่ว่าจะทำความเร็วได้ถึง 1000 Mbps ไม่ว่าจะทางสาย LAN ที่หากจะต้องการให้ทดสอบแล้วได้ตัวเลข 1000+ Mbps แล้ว จะต้องทำมีสเปคของแลนที่ 10Gbps Ethernet Port ซึ่งหาได้ยากมาก ส่วน WLAN นี้แม้จะหาได้ง่ายกว่า แต่ก็จะมีความต้องการขั้นต่ำที่มากกว่าที่ใช้กันทั่วไปพอสมควร โดยจะต้องมีสเปคขั้นต่ำอย่างน้อย ทั้ง Router ตัวส่ง และอุปกรณ์ตัวรับ (Smartphone, Tablet, Notebook) ดังนี้

  • WiFi 802.11ac, 4x4MIMO
  • WiFi 802.11ax (WiFi 6)

สรุป ปัจจัยที่ทำให้เราสามารถใช้งานได้เน็ต 1000 Mbps ได้เต็มที่ ได้แก่

  • เครือข่ายที่รองรับ Fiber Optic
  • อุปกรณ์กระจายสัญญาณที่ได้มาตรฐาน
  • อุปกรณ์รับสัญญาณที่ได้ตามเกณฑ์

ทดสอบ AIS Fibre แพ็กเกจ 999 บาท วิ่งได้ถึง 1000 Mbps รึเปล่า

หลังจากที่เห็นโปรของทาง AIS Fibre เลยติดตั้งเอามาลองใช้งานตัวโปร SuperMESH WiFi ที่ได้ Router ของทาง Huawei รุ่น HG8245W5-AIS มาใช้งาน ซึ่งเราเคยได้ยินว่าตัวนี้ทางเอไอเอสเองมีการเอาไปปรับแต่งเพิ่มเติม จนสามารถทำความเร็ว WiFi ได้เกิน 1 Gbps อีกด้วย (สังเกตได้ว่าชื่อรุ่นจะมี -AIS ห้อยท้าย) ซึ่งถ้าใครสมัครแพ็กเกจนี้จะมีความคุ้มเพิ่มเติมที่เค้าจะให้ Router มาเพิ่มอีกตัวสำหรับทำ Mesh WiFi กระจายสัญญาณให้แรงครอบคลุมทั่วบ้านด้วย (อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Mesh WiFi) โดยสเปคของมันจะเป็น WiFi 802.11 a/b/g/n/ac, Dual Band, 4×4 MIMO

ส่วนตัวอุปกรณ์ที่รองรับอย่างที่บอกไปข้างต้นว่าหากต้องการทดสอบให้ได้ตัวเลขเกินพัน จะมีรุ่นที่ทำได้ไม่มากนัก เพราะสเปคต้องเทียบเท่ากันเท่านั้น ตามที่ระบุเอาไว้จะมีรุ่นที่ทำได้ ตามนี้

  • Huawei Mate 20 Pro
  • Huawei Mate 30 / Mate 30 Pro
  • Huawei P30 / P30 Pro
  • Notebook / PC Wireless Chipset รุ่น Intel® AC9260, Intel® AC9560, Killer AX1650x, Intel® AX200, Intel® AX201

ตอนทดสอบ เราเอา Huawei Mate 30 Pro มาใช้งาน ผลที่ได้ต้องบอกว่ามีขึ้นไปแตะ 1000 Mbps จริงนะ แต่อาจจะไม่ได้ทุกครั้ง  โดยมากจะวิ่งอยู่ที่ราว 8-9 ร้อยกว่าๆ โดยถ้าต้องการจะวิ่งให้แตะถึง 1000 Mbps ได้จะต้องมีหลากหลายปัจจัยและเงื่อนไขด้วยกัน 

  • ต้องเชื่อมต่อที่คลื่น 5GHz ในช่องสัญญาณที่ว่างเท่านั้น (ตรวจสอบจากแอป WiFi Analyzer ได้)
  • ต้องการช่องสัญญาณไม่น้อยกว่า 80MHz
  • ปรับค่าของ router ใน myaisfibre.com ให้เป็นแบบไฮสปีด
  • ระยะห่างจากตัว router กับอุปกรณ์รับสัญญาณ ไม่ควรเกิน 1-1.5 เมตร
  • Connection Speed ของ WiFi ต้องไม่น้อยกว่า 1.7 Gbps 
  • ต้องเลือก Test Server เป็นของ AIS เองที่รองรับสปีดได้เร็วพอ
  • สัญญาณระหว่างอุปกรณ์ตัวอื่นๆ หรือสัญญาณต่างๆจากข้างบ้าน ที่ส่งคลื่นมากวน ก็มีผลให้ทำการทดสอบได้ค่าน้อยลง

ทดสอบความเร็วเป็นสิบครั้งบน Huawei Mate 30 Pro ได้ความเร็วค่อนข้างโอเค ซึ่งอยู่ในระดับที่รับได้ เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างตามที่บอกข้างต้น

connection speed 1.7 Gbps

เราสามารถเข้าไปดู Connection Speed ของ WiFi ได้ที่การตั้งค่า ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 1.7 Gbps 

บนโน๊ตบุ๊ค Dell รุ่นที่รองรับก็สามารถทดสอบรับความเร็วระดับนี้ได้เหมือนกัน

นอกจากนี้ก็อยากแนะนำให้ลองใช้ฟีเจอร์ปรับความเร็วอินเทอร์เน็ต Speed Toggle ของทาง AIS ที่สามารถปรับความเร็ว Download/Upload ได้ตามต้องการเลย โดยในแพ็กเกจที่ได้นี้จะเป็น 1000/200 Mbps ที่ Download อาจจะเยอะเกินความต้องการสำหรับใครบางคน (เอาไปโหลด bit แป๊บเดียว HDD ยังเต็ม -_-) ก็ปรับลงมาให้ Upload เยอะขึ้นกว่าเดิมหน่อย เพื่อความสมดุล โดยอาจจะเลือกกดให้กลายเป็น 600/600 Mbps ก็จะช่วยให้ประสบการณ์ใช้งานรวมๆดีขึ้นได้อยู่นะ

สรุปแล้ว AIS Fibre ตัว SuperMESH WiFi จากการทดสอบ สามารถกดสปีดเทสต์ดาวน์โหลดได้ถึง 1000 Mbps จริง แต่ก็ขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ ตามที่อธิบายไปตอนต้น โดยเมื่ออุปกรณ์รองรับและอยู่ในระยะที่สัญญาณแรงพอจะวิ่งได้เฉลี่ย 700-800 Mbps ส่วนอุปกรณ์ทั่วไปจะเฉลี่ยที่วิ่งอยู่ที่ราวๆ 5-600 Mbps และเมื่อใช้งานรวมกันจากอุปกรณ์หลายชิ้น หลายช่องทาง ความเร็วรวมทั้งหมดก็ถือว่าครบถ้วนที่ 1000 Mbps ดี