เปิดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยกับ Huawei Mate S สมาร์ทโฟนเครื่องแรกของโลกที่มาพร้อมกับหน้าจอ force touch โดยก่อนหน้าที่งาน IFA 2015 จะเริ่มเพียงไม่นานก็มีภาพหลุดของตัวเครื่องออกมาให้เราได้เห็นกันแบบเต็มๆ ไปแล้วรอบนึง แต่ตอนนี้ Huawei ก็เปิดตัว Mate S ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ เรามาดูกันดีกว่าว่าสเปคและฟีเจอร์ของ Mate S นั้นมีอะไรบ้างครับ
รูปร่างหน้าตาของ Mate S นั้นเหมือนกับที่หลุดออกมาก่อนหน้าเป๊ะเลยครับ วัสดุที่ใช้นั้นเป็นโลหะทั้งหมด ส่วนหน้าขนาด 5.5 นิ้ว ถูกคลุมด้วยกระจกโค้งแบบ 2.5D ส่วนปุ่มเพิ่มลดเสียงและปุ่มพาวเวอร์จะอยู่ทางด้านขวาของเครื่อง โดยกล้องและตัวสแกนลายนิ้วมือนั้นอยู่ด้านหลังครับ และลำโพงอยู่ด้านล่างครับ
สเปคของ Mate S จริงๆ มีเปลี่ยนแปลงไปจากข่าวลือค่อนข้างเยอะเลยครับ
- OS: Android 5.1 Lollipop with EMUI 3.1
- หน้าจอ: AMOLED 5.5 นิ้ว ความละเอียด Full HD 1080p
- CPU: Hisilicon Kirin 935 Octa-core 2.2GHz 64-bit
- GPU: Mali T-628 MP4
- RAM: 3GB
- หน่วยความจำภายใน: 32GB/64GB/128GB รองรับ microSD สูงสุด 128GB
- กล้องหลัง: 13 ล้านพิกเซล OIS Dual-Tone flash
- กล้องหน้า: 8 ล้านพิกเซล Soft Lithing
- การเชื่อมต่อ:
- Wi-Fi 802.11 b/g/n
- Bluetooth 4.0
- microUSB 2.0
- รองรับ 2 ซิม (ซิมสอง แชร์ช่องกับ microSD)
- รองรับ Dual 4G LTE
- Fingerprint Scanner
- แบตเตอรี่: 2,700 mAh ถอดเปลี่ยนไม่ได้ (รองรับ fast charge)
- สัดส่วน: 149.8 x 75.3 x 7.2 มิลลิเมตร
- น้ำหนัก: 156 กรัม
- สี: ชมพู / เงิน / เทา / ทอง
ถ้าดูจากสเปคของเครื่อง Mate S ก็ถือว่าเป็นเรือธงที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ แต่ที่น่าสนใจกว่าสเปคของมันก็คือฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับตัวเครื่องมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น ตัวสแกนลายนิ้วมือ การใช้งานด้วยข้อนิ้ว และ หน้าจอ force touch
Fingerprint 2.0
ตัวสแกนลายนิ้วมือที่ติดมากับ Mate S นั้นนอกจากที่จะเอาไว้ใช้ในการปลดล็อคเครื่องแล้ว ก็ยังมีการเพิ่มฟีเจอร์ที่เอาไว้ควบคุมการใช้งานต่างๆ อย่างเช่น การรับสาย ถ่ายรูป เลื่อนหน้าเว็บ หรือ ปรับความสว่างของหน้าจอ ได้ครับ นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้งานแทนปุ่ม navigation อย่าง back, home และ multitask ได้อีกด้วย
Knuckle 2.0
อีกฟีเจอร์ที่ดูจะใช้งานสะดวกแต่คิดว่าเวลาใช้จริงคงจะรู้สึกแปลกของ Mate S นั้นก็คือ การใช้งานด้วยข้อนิ้ว ครับ โดยที่เราสามารถจะใช้ข้อนิ้วของเราวาดเป็นตัวอักษรต่างๆ เพื่อที่จะเปิดแอปได้อย่างรวดเร็ว อย่างวาดเป็นตัว C ด้วยข้อนิ้ว ก็จะเปิดแอปกล้องขึ้นมา อะไรประมาณนี้ และนอกจากจะใช้ในการเปิดแอปแล้ว ก็ยังสามารถใช้ในการ คร๊อปรูป หรือบันทึกหน้าจอ ได้อีกด้วยครับ
Smart Pressure-Sensitive Screen
มาถึงจุดเด่นของ Mate S ละครับ นั้นก็คือ หน้าจอที่รองรับการใช้งาน force touch นั่นเอง หรือที่ทาง Huawei เค้าเรียกว่า Smart Pressure-Sensitive Screen ครับ โดยเทคโนโลยี force touch จะสามารถวัดความหนัก เบา ในการกดหน้าจอของเรา อย่างเช่น ซูมรูปภาพด้วยการกดหน้าจอให้หนักขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ Huawei ยังประยุกต์ใช้ฟีเจอร์นี้ในการชั่งน้ำหนักสิ่งของได้อีกด้วยครับ
แต่น่าเสียดายที่ฟีเจอร์นี้จะมาพร้อมกับ Mate S รุ่น 128GB เท่านั้นนะครับ ไม่รู้ว่าทำไม Huawei ถึงไม่ใส่มาให้ครบทุกรุ่นเหมือนกันนะครับ
โดยรายชื่อประเทศที่จะได้วางขาย Mate S ก่อนเพื่อนก็ตามรูปด้านล่างเลยครับ ส่วน pre-order นั้นจะเริ่มขึ้นในวันที่ 15 กันยายน นี้ แต่เฉพาะประเทศในทวีปยุโรปเท่านั้น ซึ่งสามารถ pre-order ได้จาก vMall เลยครับ
ส่วนราคาของ Mate S นั้นจะแบ่งเป็น 3 เวอร์ชั่นด้วยกัน เวอร์ชั่นแรกคือรุ่น 32GB โดยจะมีสีเทาและสีเงิน เคาะราคามาที่ 649ยูโร (26,0xxบาท) เรียกว่าเป็น Standard Version ครับ ขยับขึ้นมาที่รุ่น 64GB หรือ Premium Version จะมีราคาอยู่ที่ 699ยูโร (28,0xxบาท) มีสีทองและสีชมพูให้เลือก ส่วนรุ่น 128GB ที่มาพร้อมกับหน้าจอ force touch นั้นยังไม่เปิดเผยราคาครับ ส่วนจะเข้าไทยเมื่อไหร่นั้นก็ต้องรอดูกันอีกทีครับ (ปล. ยังไม่ต้องช็อคกับราคา เพราะปกติมือถือที่ยุโรปจะราคาสูงกว่าฝั่งเอเชียหลายพันบาทอยู่นะ)
รูปภาพเพิ่มเติม
force touch ชั่งน้ำหนักสิ่งของ ผมนิมโนไปว่า เอา Mate S มา 2 เครื่องวางไว้กะพื้น แล้วขึ้นไปยืนเหยียบเท้าข้างละเครื่อง (>_<")
แต่นวัตกรรมนี้ ถ้ามีกะทุกเครื่องเราจะไม่ต้องกลัว S Pen ผูกขาด การเขียนปากกาน้ำหนัก หนัก-เบา แล้วช่ายปะคับ
ถูกครับ s pen เดือดร้อนเรื่อง นน.ในการกดปากกาแน่นอนครับ แต่ยังได้เปรียบเรื่องหัวแหลมอยู่ดี
ส่วนตัวผมว่าการตลาดพลาดแล้วล่ะ กับการที่ใส่ force touch มาแค่เฉพาะรุ่น 128GB….มันใช้ชื่อรุ่นเดียวกันนะเพ่!
ถ้าอย่างแรมต่างกันในชื่อรุ่นเดียวกันนี่ยังพอรับได้ แต่เพิ่งเคยเห็นเจ้าแรกที่ตัดฟังก์ชันเด่นของรุ่นตาม storage -_-
จริงๆ ถ้าใส่มาทั้งหมด ผมว่ารุ่นนี้อาจจะขยายผู้ใช้ huawei ได้เยอะมากเลยนะ เสียดายแทน
ราคาแบบว่าไม่ใช่ huawei นะครัช สู้ไม่ไหวอ่ะราคานี้
ราคาฝั่งยุโรปจะแพงอยู่แล้วครับ
มาบ้านเราคงดร็อปลงไปพอควร
ดรอบลงจาก 24xxx คิดว่าไม่น่าต่ำกว่า 20000 รุ่น 32 และ 24000 ในรุ่น 64 สงสัยรุ่น 128 น่าจะแตะ 30000 ซึ่งมันผิดกับราคาของ huawei เก่าๆพอสมควร ซึ่งเท่าที่ดูมาแทบจะไม่เคยเกิน 19000 ถ้าราคานี้ผมไปดูตัวอื่นอย่าง note 5 หรือ z5 ยังจะดีกว่านะครับ
แต่ถ้ารุ่น 32 มาไม่เกิน 189xx บอกตรงๆว่าน่าสนใจมาก
เอ้า
ก็ดีครับ พัฒนาดี
สวยมากเลย แต่จะสวยกว่านี้ถ้าไม่มีโลโก้อยู่ด้านหน้า TT
ถ้าราคานี้ถือว่า แรงพอสมควรเลยสำหรับ มือถือจีน ถึงมีแบรน ก็เถอะ
อย่า oppo R7 Plus ยังเปิดราคา 16990 เอง แค่ไม่มี force touch ราคาโดดไปเยอะ ทั้งที่ สเปก ก็ไม่หนีกันเลย
ในความเห็นส่วนตัวนะ
สวยจริงจัง
จริงๆๆ โทรศัพท์ พวก Z ของ Sony รองรับการเขียนด้วย ดินสอ ที่มีหัวเป็น Carbon อยู่แล้ว ถ้าได้จับคู่กะ Force touch น่าจะ พอสู้ Note ได้นะครับ ไม่ต้องกลัวปากกาหาย ไม่มีปัญหาเสียบปากกากับด้านแล้วดึงออกไม่ได้ อุ๊ปส์
แม่ค้าตลาดสดน่าจะใช้กันเยอะ ใช้แทนตราชั่งได้
สวยครับ แต่ราคาแรงมากอ่ะ