ในปีนี้นอกเหนือจาก iPhone Air ที่เรียกเสียงฮือฮาในช่วงเปิดตัวไปได้พอสมควรซึ่งพวกเรา DroidSans ก็ได้ลองไปสัมผัสตัวเครื่องที่ Apple Store กันมาแล้ว มาถึงคิวของอีกสองรุ่นหลักอย่าง iPhone 17 และ iPhone 17 Pro ที่กลับมาในครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลงหรืออัปเกรดจุดสำคัญอยู่หลายๆ อย่าง ประสบการณ์ที่ได้ลองจับเครื่องครั้งแรกเป็นยังไง ไปหาคำตอบพร้อมกันได้เลย!
สัมผัสแรกพบกับ iPhone 17 รุ่นเริ่มต้นที่น่าซื้อไม่ใช่น้อย

ดีไซน์เดิมเพิ่มเติมด้วยสีใหม่
ปีนี้ iPhone 17 ไม่ได้มีการปรับดีไซน์ใหม่แต่อย่างใด เพราะเพิ่งจะยกเครื่องดีไซน์ไปหมาดๆ เมื่อปีที่แล้วสำหรับการเปิดตัว iPhone 16 กับ iPhone 16 Plus ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงหลักที่เราจะเห็นได้ชัดก็คือตัวเลือกสีของ iPhone 17 ที่ยังคงมีความสดใสเหมือนเดิม แต่เฉดสีจะไม่เข้มเท่า iPhone 16

- สีม่วง (Lavender)
- สีเขียว (Sage)
- สีฟ้า (Mist Blue)
- สีขาว (White)
- สีดำ (Black)
สีที่ดูจะเข้าตาและได้รับความนิยมสูงในปีนี้ก็คือ สีม่วง (Lavender) กับ สีเขียว (Sage) ดังนั้นใครที่ต้องการจะป่าวประกาศให้คนรอบตัวได้รู้ว่าใช้ iPhone 17 ตัวเลือกสองสีที่กล่าวไปข้างต้นก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยครับ ส่วนสีฟ้า (Mist Blue) จริงๆ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่หยอก แต่อาจเพราะตัวผู้เขียนเบื่อกับสีฟ้าสมัย iPhone 13 Pro และสีน้ำเงินของ iPhone 16 เมื่อปีที่แล้วไปเสียก่อน เลยยังไม่คลิกกับสีดังกล่าวมากนัก


หน้าจอ 6.3 นิ้ว ProMotion 120Hz ที่ไฝ่ฝัน
ความประทับใจที่ดีมากๆ เมื่อได้สัมผัสกับ iPhone 17 ครั้งแรกก็คือ หน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว (เท่ากับ iPhone 17 Pro) ขอบจอที่บางเฉียบกว่าเดิม เลยส่งผลให้ถึงแม้หน้าจอจะใหญ่ขึ้นแต่ก็ไม่ทำให้ขนาดตัวเครื่องเพิ่มขึ้นมาจนรู้สึกเทอะทะ แถมหน้าจอ Super Retina XDR ก็รองรับเทคโนโลยี ProMotion 1-120Hz ทำให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้นแบบเห็นได้ชัดเจน
ผู้อ่านคนไหนที่ใช้งาน iPhone รุ่นเก่าที่หน้าจอยังเป็นแบบ 60Hz อยู่ ถ้าได้ลองมาใช้หน้าจอ 120Hz บอกเลยว่าจะติดใจจนถอนตัวไม่ได้แน่นอนครับ ยิ่งใช้งานร่วมกับ iOS 26 ที่มีดีไซน์แบบ Liquid Glass เข้าใจโดยทันทีเลยว่าเพราะอะไรดีไซนของ iOS ในครั้งนี้ถึงทำให้ iPhone User ตื่นเต้นกันพอสมควร

เท่านั้นยังไม่พอ นอกเหนือจากการรองรับอัตรารีเฟรชเรต 1-120Hz หรือฟีเจอร์ Always-On Display แล้ว ความทนทานแข็งแรงของหน้าจอก็ได้รับการอัปเกรดเช่นกัน โดยเปลี่ยนมาใช้เป็น Ceramic Shield 2 ที่แข็งแรงกว่าเดิม ทนรอยขีดข่วนได้ดีขึ้นถึง 3 เท่า
ของดี ของเดิม ยังใส่มาให้แบบครบๆ ไม่มีกั๊ก
ยอมรับว่าในช่วงก่อนเปิดตัวที่มีข่าวลือออกมาว่า iPhone 17 จะมาพร้อมกับกล้องหน้า และกล้องอัลตราไวด์ที่ความละเอียดเซนเซอร์สูงกว่าเดิม หรือจะเป็นข่าวลือที่ว่าหน้าจอ 120Hz จะมีให้ใช้บน iPhone รุ่นมาตรฐานสักที ผู้เขียนเคยกังวลว่า Apple จะหาวิธีลดทอนหรือตัดสเปคจุดไหนออกไปเพื่ออัปเกรดฮาร์ดแวร์ตามที่มีข่าวลือออกมาหรือเปล่า


แต่พอถึงวันเปิดตัวและได้มาสัมผัสเครื่องในวันนี้ก็พูดได้แบบเต็มปากเลยว่า นี่คือ iPhone รุ่นเริ่มต้นที่น่าซื้อมาใช้งานมาก เช่น ตัวควบคุมกล้องหรือ Camera Control ที่ยังใส่มาให้ใช้งานแบบเดียวกับรุ่นโปร ปุ่ม Action Button ก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ปรับแต่งเป็นคีย์ลัดสำหรับเรียกใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ได้หลากหลายขึ้น ส่วนถาดซิมก็ไม่ได้หายไปไหน รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทยจะมีเพียงแค่ iPhone Air เท่านั้นที่รองรับการใช้งาน e-SIM อย่างเดียว
ราคาและความจุของ iPhone 17
- ความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท

iPhon 17 Pro อัปเกรดน้อยจุด แต่เสริมประสบการณ์แบบตรงจุด

ดีไซน์ใหม่โมดูลกล้องยกสูง เลิกใช้ไทเทเนียมแล้ว
หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญของ iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ก็คือโมดูลกล้องที่ยกสูงขึ้นมาเป็นแนวยาวกินพื้นที่ส่วนบนของตัวเครื่องทั้งหมด โดยสาเหตุหลักๆ ที่ Apple เลือกปรับดีไซน์ของโมเดลโปรใหม่ทั้งหมดในครั้งนี้หากอ้างอิงจากในงานเปิดตัวจะสามารถแจงออกได้เป็นสาเหตุหลักๆ ตามนี้


- เซนเซอร์กล้องใหญ่ขึ้น : เซนเซอร์กล้องเทเลโฟโต้ของ iPhone 17 Pro มีความละเอียดอยู่ที่ 48MP และมีขนาดของเซนเซอร์ที่ใหญ่กว่าเดิมถึง 56% เพื่อให้เกิดความสมดุลของโมดูลที่จะต้องหนาขึ้นมาพอสมควร เลยคาดการณ์ได้ว่า Apple ตัดสินที่จะทำให้โมดูลยาวเท่ากันเป็นแนวยาวไปเลยจะดีกว่า
- เพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อ : ต่อเนื่องมาจากข้อที่แล้ว เมื่อทำการปรับดีไซน์โมดูลให้หนาขึ้นมาก็ส่งผลให้ Apple สามารถวางระบบเสาอากาศแบบใหม่ให้กับ iPhone 17 Pro ไว้รอบโมดูลกล้องที่ยื่นออกมาได้ จากที่ปกติเสาอากาศจะอยู่บริเวณเฟรมเครื่องซึ่งมีโอกาสโดนมือของผู้ใช้งานบังตอนจับถือเครื่อง

ต่อมาก็คือการเปลี่ยนจาก วัสดุไทเทเนียม มาเป็น วัสดุอะลูมิเนียมยูนิบอดี้ ในจุดนี้ทาง Apple ให้เหตุผลไว้ว่าเพราะมีน้ำหนักที่เบา และกระจายความร้อนได้ดีกว่า โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับระบบระบายความร้อน Vapor Chamber เพื่อสอดรับกับประสิทธิภาพของชิป A19 Pro ที่นอกจากจะแรงมากแล้วก็ยังมาพร้อมกับความร้อนที่สูงเช่นกัน
สีใหม่ Cosmic Orange ส้มได้ใจ
เป็นมีมมาตั้งแต่วันเปิดตัว จนถึงวันแรกที่เปิดวางจำหน่ายก็ยังเป็นมีมกับ iPhone 17 Pro สีใหม่ Cosmic Orange เป็นสีส้มที่ยิ่งมองก็ยิ่งละสายตาไปไหนไม่ได้ ถือว่าเป็นสีของโมเดลโปรที่ทำออกมาได้ฉูดฉาดไม่แพ้กับโมเดลปกติเลย พอได้มาดูตัวเครื่องจริงแล้วบอกได้เลยว่า มองจากที่ไกลๆ ก็ยังรู้ว่าเป็น iPhone 17 Pro ไม่มีเข้าใจผิดไปเป็นรุ่นหรือแบรนด์อื่นได้อย่างแน่นอน

ส่วนอีกสองสีอย่าง สีน้ำเงิน (Deep Blue) กับสีเงิน (Silver) ถ้าดูกันจริงๆ แล้วก็สามารถทดแทนเป็นสีขาวหรือสีดำที่หายไปในปีนี้ได้เลยเหมือนกันนะครับ เพราะถ้าไม่ได้ตั้งใจเพ่งมองดูให้ดีๆ มองแบบไวๆ มองจากที่ไกลๆ สุดท้ายแล้วก็อาจจะมองเห็นเป็นสีอื่นอย่างดำกับขาวได้


ราคา iPhone 17 Pro
- ความจุ 256GB ราคา 43,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 51,900 บาท
- ความจุ 1TB ราคา 59,900 บาท
ราคา iPhone 17 Pro Max
- ความจุ 256GB ราคา 48,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 56,900 บาท
- ความจุ 1TB ราคา 64,900 บาท
- ความจุ 2TB ราคา 80,900 บาท
Comment