Tesla ช่วงนี้เรียกว่าโดนมรสุมหลายอย่าง หลัง Elon Musk เจ้าของบริษัท ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองสหรัฐ และสร้างการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างให้แก่ประเทศ ซึ่งดีไม่ดีอันนี้ก็แล้วแต่คนมอง และแน่นอนว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีคนไม่ชอบ ตัวอีลอนเองก็โดนแรงกดดันจากรอบด้าน รวมถึงบริษัทของเค้า Tesla

— ข้อมูลนี้เกิดจากความร่วมมือของ moovon + Short Specs นะครับ —
โดยล่าสุดก็มีการทำคลิปจาก YouTuber ชื่อดัง Mark Rober ที่มีคนติดตามมากกว่า 65 ล้านคนทั่วโลก ทดสอบว่า “เราสามารถหลอกรถขับเองได้รึเปล่า” ซึ่งเนื้อหาหลักในคลิปจะเปรียบเทียบระหว่างรถที่ใช้เซนเซอร์ LiDAR และ Tesla ที่ใช้งานกล้องเพียงอย่างเดียว
ที่ผ่านมามีการถกเถียงกันมาตลอดว่า LiDAR จำเป็นไหมสำหรับการขับอัตโนมัติ โดยหลายค่ายบอกว่าจำเป็นเพราะตรวจจับวัตถุข้างหน้ารถได้ เรียกว่าเห็นก้อนขึ้นมาเลย แต่เทสลากลับไม่คิดแบบนั้น และบอกว่าไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ เพราะมนุษย์ก็มีแค่ตา ยังสามารถขับรถได้ ทำไมเราต้องใช้เซนเซอร์อะไรมากมายด้วย จึงเป็นที่มาของการทดสอบในครั้งนี้

โดย Mark Rober ได้ทำการทดสอบความคิดนี้ ผ่านสถานการณ์ 6 อย่าง ได้แก่
- เด็กกลางถนน
- เด็กวิ่งตัดหน้ากระชั้นชิด
- หมอกบังเด็ก
- ละอองน้ำบังเด็ก
- ไฟส่องย้อนแสงเข้า sensor
- วิ่งหากำแพงที่เพนต์เป็น environment
การทดสอบทั้ง 6 นี้ ถ้าจะเรียกให้ถูก ก็ควรจะเรียกว่าทดสอบเรื่อง Active Safety ซะมากกว่า ไม่ควรเรียกว่าเป็นการทดสอบเรื่องการขับขี่อัตโนมัติซักเท่าไหร่นัก

ซึ่งผลการทดสอบก็ออกมาว่า
- Tesla ผ่านได้เพียงแค่ 3 จาก 6 เท่านั้น // ผ่าน 1, 2, 5 ตก 3, 4, 6
- ส่วนรถที่ใช้ LiDAR ผ่านได้หมด
ความไม่โปร่งใส และโดนตั้งคำถามของการทดสอบ
แต่ก็มีคนสงสัยในการทดสอบ 3 และ 4 ว่าทำไม ไม่มีภาพหลักฐานของ LiDAR ว่าเป็นระบบขับและหยุดเองเมื่อฉีดน้ำ ไม่ให้เห็นภายใน และที่ดูน่าสงสัยที่สุดจะเป็นการทดสอบที่ 4 ที่ทำไม Autopilot วิ่งกลางเลนตอนฉีดน้ำ คนขับ Tesla รู้ดีว่า AP ไม่มีทางวิ่งกลางเลนได้ มีแต่บังคับให้วิ่งภายในเลนเท่านั้น
แต่ความผิดปกติ 2 ข้อนี้ก็ยังไม่ติดใจอะไรมาก ที่ทำให้ความดราม่าก็เริ่มบังเกิดจะเป็นที่ข้อ 6 แล ตัวรถที่เอามาทดสอบ
เริ่มตั้งแต่ตัวรถ Tesla ซึ่งทาง MR บอกว่าเป็นรถของเค้าเอง
- แต่รถเค้าเป็น Model Y ที่ยังใช้ HW3.0 อยู่ หรือเรียกง่ายๆว่าเก่าแล้ว
- แต่ตัวรถของ LiDAR ถึงตัวรถจะเก่า แต่เซนเซอร์เป็นรุ่นใหม่กับ Software ใหม่
- และที่สำคัญก็คือรถที่เอามาทดสอบไม่ยอมสมัคร FSD หรือระบบขับขี่อัตโนมัติตามที่เขียนในชื่อคลิป แต่ใช้เพียงแค่ Autopilot โดยจะอ้างเรื่องราคาก็คงไม่ใช่ เพราะที่อเมริกามีระบบ Subscription จ่ายรายเดือนได้ ราว 3500 บาทต่อเดือนเท่านั้น

FSD vs Autopilot
ตรงนี้ต้องขออธิบายเพิ่มสั้นๆสำหรับคนที่ไม่ได้ขับ Tesla
คือระบบ Autopilot ของ Tesla จริงๆมันคือ Autosteer รักษาเลน และ Adaptive Cruise Control ที่รักษาความเร็วปรับตามคันหน้าได้เป็นหลัก
ตัวที่จะเรียกว่าเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติได้จริงๆ ควรจะเป็น Full Self-Driving ซึ่งในเมืองไทยยังไม่มีให้บริการ ถ้าอยากดูว่าเจ๋งยังไง ไปดูเพิ่มเติมได้ตามคลิปด้านล่าง
ซึ่งแม้ว่า AP และ FSD จะใช้แต่กล้องในการขับเหมือนกัน แต่ด้วย Software ของ FSD ที่ฉลาดกว่ามาก ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ต่างกันแบบสิ้นเชิง ถ้าเทียบก็ AP เก่งแบบ Bot ขับได้ตามชุดคำสั่ง แต่ FSD คือขับได้เหมือนคนขับเลย
และปัญหาคือ Mark Rober ดันใช้เพียงแค่ AP นี่แหละ แล้วเคลมว่าเป็นการทดสอบระบบขับขี่อัตโนมัติ
วิ่งชนถนนปลอม (กำแพงโฟมเพนต์ภาพถนน)
แต่ความไม่โปร่งใสยังไม่จบแค่นี้ เพราะจุดที่ดราม่าสุดก็คือการทดสอบที่ 6 ที่เป็นกำแพงเพนต์ภาพเป็นถนนด้านหน้า ซึ่งแน่นอนว่า LiDAR ผ่านไปได้แบบสบายๆ เพราะเห็นทันทีว่าเป็นวัตถุ แต่ Tesla กลับชน พุ่งทะลุไปเลย ถ้าไม่คิดอะไรมากและเชื่อตามที่สื่อใหญ่ๆบอกๆ กัน ก็คงบอกว่านี่แหละข้อจำกัดของ Tesla, มันต้องมี LiDAR ถึงจะป้องกันได้, Tesla เป็นแบรนด์ที่ขยันแต่ประหยัด แต่ไม่เน้นความปลอดภัย แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น และมีคนจับความผิดปกติของการทดสอบนี้ได้

คำถามที่ Mark Rober ต้องตอบ
โดยแฟนๆ เทสล่าทั่วโลกได้ตั้งคำถามต่อคลิปนี้และตัว MR หลายข้อ ซึ่งคำถามที่ควรต้องตอบมากๆ แต่จนถึงตอนนี้ MR ก็ยังไม่ออกมาพูดอะไรก็คือ คำถามของ Sawyer Meritt 5 ข้อนี้
- ทดสอบในหัวข้อ Self Driving Car ใช้ Tech ล่าสุดของ Luminar แต่ไม่ใช้ Tech ล่าสุดของเทสลา?
- ทำไมมีการถ่ายทำหลาย Take หลักฐานคือคลิปที่โพสต์ เวลา activate Autopilot ไม่เท่ากัน Youtube เปิดที่ 42 mph ในขณะที่ raw footage ซึ่ง MR พยายามโพสต์เพื่อแก้ตัวว่าตัวเองโปร่งใส่ กลับขึ้นว่าเปิดตอนวิ่งที่ความเร็ว 39 mph
- และในคลิป raw footage นี้เราจะเห็นได้ว่า มีการเปิด autopilot ที่ใกล้กำแพงมาก แต่ใน YouTube กลับตัดต่อมาให้ดูเปิดไกลกว่านั้น ซึ่งยิ่งทำให้ดูเหมือนมีการถ่ายหลายเทกกว่าจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ
- นอกจากนี้ ในคลิป raw footage ทำไมเปิด Autopilot 3.8 วินาที ก่อนชน ในขณะที่ Luminar เปิดตั้งแต่ต้น?
- และที่อยากได้คำตอบสุด คือ เอาเด็กไปวางหลังกำแพงทำไม

ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้
จากคำถามนี้ก็คนตั้งข้อสันนิษฐาน และเป็นไปได้สูงมากก็คือ
ข้อ 1-3 แค่เพียง AP ยังไม่ต้อง FSD ก็สามารถตรวจจับกำแพงได้แล้ว และไม่ยอมวิ่งทะลุ จนทำให้ต้องพยายามถ่ายหลายเทก และต้องขับไปให้ใกล้มากๆ กว่าที่ตัว AP จะยอมชน ซึ่งคลิป Raw footage นี้ยังฟ้องอีกหลายๆ อย่างว่า
- Autopilot ถูกปิด หรือ disengage ก่อนการชนกำแพง ดังที่เห็นว่าพวงมาลัยมีการขยับ และเส้นสายรุ้งของ AP หายไปทันที ซึ่งผมก็ได้ลองถ่ายบน Tesla ผมมาให้ดูว่ามันก็เป็นแบบเดียวกับของ MR เลยจริงๆ
- และมีความเป็นไปได้ว่า MR ต้องเหยียบคันเร่งส่งเพื่อให้ชนด้วย ดังที่เห็นว่ามีการแจ้งเตือนขึ้นบนหน้าจอสองครั้ง และครั้งที่สองจะเป็นการเตือนว่าคนขับเหยียบคันเร่งอยู่ ซึ่งตัวระบบของ Tesla จะมีการให้ความสำคัญกับคำสั่งของคนขับมากกว่าตัว Software เสมอ เพื่อความปลอดภัย ซึ่งถ้า MR เหยียบคันเร่งค้าง ยังไง Tesla ก็จะต้องพุ่งชนตามคำสั่งของผู้ขับนั่นเอง และนี่ก็คือความจงใจของ MR รึเปล่า
- การเอาเด็กไปวางหลังกำแพง ถูกมองว่าไม่มีความจำเป็น แต่เป็นความตั้งใจจะทำให้การชนของ Tesla ครั้งนี้ดูร้ายแรงมากกว่า คืออะไรที่อยู่หลังกำแพงมันก็มองไม่เห็นและต้องโดนชนอยู่แล้วมั้ย

Luminar ผู้ผลิตก็มีส่วนเอี่ยว?
แต่นี่ก็ยังไม่จบแค่นั้น เพราะมีคนจับโป๊ะต่อได้อีกว่าตอนแรกตัวคลิปมีเขียนขอบคุณทาง Luminar ซึ่งเป็นผู้ผลิต LiDAR สำหรับรถยนต์เจ้าใหญ่ที่ช่วย Support การทดสอบครั้งนี้ แต่พอเรื่องเริ่มดัง ก็เปลี่ยนคำใหม่ พยายามบอกว่าไม่มีการจ่ายเงินจากทาง Luminar สำหรับการทดสอบนี้
ส่วนทาง Luminar เองตอน ตอนแรกที่คลิปขึ้นก็มีการโปรโมทที่หน้าเว็บของ Luminar ด้วย หุ้นของ Luminar ก็ดีดขึ้นทันที 20 กว่าเปอร์เซนต์ แต่หลังจากที่เรื่องแดง ก็มีการเอาแบนเนอร์โฆษณาออกไปเรียบร้อย
งานนี้ก็คงต้องรอติดตามว่า ทาง Luminar และ MR เอง จะออกมาชี้แจงเรื่องนี้เพิ่มเติมหรือไม่ หรือทาง Tesla เองจะมีการฟ้องร้องหาความจริงของการทดสอบนี้หรือไม่ และสำนักข่าวต่างๆ ที่เล่นข่าวเรื่องนี้ จะชี้แจงความผิดปกติให้กับทุกคนได้รู้เหมือนตอนแรกรึเปล่า เพราะช่วงหลังๆมานี้ Elon มักจะมีปัญหากับสื่อใหญ่ทั่วโลก และพร้อมจะประเคนข่าวด้านลบของ Tesla ออกมากันตลอดเวลา โดยหลายครั้งมักจะเป็นเล่าความด้านเดียวเท่านั้น
ซึ่งถ้ามีอัปเดตอย่างไร ก็รอติดตามจากทาง blog นี้, Facebook ของทาง Short Specs, หรือช่องทาง moovon ได้เลยนะครับ
Comment