Meizu m3 note เปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลายๆคนสนใจมันเพราะราคาค่าตัวที่สบายๆ แต่กลับไปสเปคออกมาชนกับตัวแพงๆได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก พอดีได้เจ้านี้มาลองก่อนใคร ก็เลยขอเอาประสบการณ์ที่ได้ลองใช้มาร่วมๆ 2-3 สัปดาห์มาแชร์ให้เพื่อนๆได้ทราบ สำหรับคนที่กำลังหามือถือในช่วงราคา 6-7 พันอยู่ น่าจะเป็นทางเลือกที่ควรเอาไปพิจารณาไม่น้อยเลยครับ
ก่อนอ่านต่อ
เครื่องที่เอามาใช้นี้จะเป็นเครื่องจีน รอมจีนมาเลย ผมต้องไปหาพวก Google Installer มายัดบริการต่างๆเข้าไป ซึ่งก็ได้ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ประกอบกับรอมที่ก็เหมือนยังปรับแต่งมาไม่ 100% ประสบการณ์อาจจะต่างจากตัวที่ขายในไทยพอควร บทความนี้จึงขอเป็นแค่พรีวิวก่อน เอาแค่ให้ได้เห็นภาพรวมของการใช้งานกันก็พอ
มาเริ่มกันเลย
งานดีไซน์ และหน้าจอ
– หน้าจอ 5.5 นิ้ว LTPS ความละเอียด 1080P (~403ppi) กระจอโค้ง 2.5D
ดีไซน์เน้นความสมดุลซ้ายขวา วางส่วนต่างๆได้เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
จุดเด่นของ m3 note อย่างนึงที่หลายๆคนให้ความสนในคือวัสดุตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมแบบ unibody แบบเดียวกับที่เห็นๆกันในเหล่ามือถือเรือธงขายกันราคาแพงๆ ส่วนหน้าจอก็ใช้เป็นกระจก 2.5D มีความโค้งมนตรงขอบ ทำให้ดูสวยงามนั่นเอง แต่ว่าดีไซน์ในสายตาหลายๆคน เมื่อหยิบมันไปวางข้างๆ iPhone 6 Plus แล้วก็ดูมีความละม้ายคล้ายกันอยู่ไม่น้อย ด้วยความโค้งมนตรงขอบที่ค่อนข้างจะเท่าๆกัน จะมีเพียงปุ่มที่เปลี่ยนให้เป็นรีๆเหมือน Samsung Galaxy ส่วนด้านหลังนั้นก็ดูจะมีกลิ่นอายของ HTC อยู่พอสมควร จุดที่ชอบการดีไซน์และงานประกอบของ Meizu ก็คือเค้ามีการวางส่วนต่างๆให้มีความ symmetry รูต่างๆไม่ระเกะระกะ เหล่าผู้เป็น OCD ไม่หงุดหงิดเวลาเห็น 555
ส่วนว่าสวยไม่สวย ลอกไม่ลอกลองมาดูเปรียบเทียบกันเลย
htc 10 / Meizu m3 note / iPhone 6 Plus
htc 10 / Meizu m3 note / iPhone 6 Plus
ดูแบบนี้มันก็ไม่ได้เหมือนขนาดนั้นเนอะ? 5555
สำหรับคนที่อยากรู้ว่าวัสดุอลูมิเนียมที่บน m3 note จับๆดูแล้วเป็นอย่างไร ส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมือนอลูมิเนียมเท่าไหร่ บางคนจับก็บอกว่าคล้ายพลาสติก ตากแอร์เอาไว้ก็จะเย็นไม่เท่าพวกรุ่นที่ใช้วัสดุเดียวกัน เข้าใจว่าตัวเครื่องอาจจะมีการเคลือบอะไรสักอย่างเอาไว้ จนทำให้ฟีลสัมผัสมันไม่เหมือน อาการเดียวกับบน LG G5 มากกว่า (ลองอ่าน LG G5 ฝาหลังไม่ใช่โลหะ?)
ดูเผินๆจะเหมือน hTC แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว ถ้าเอามาวางเปรียบเทียบ
หน้าจอโค้ง 2.5D แม้ว่าดูเผินๆจะสวยดี แต่ก็น่าจะมีปัญหาเมื่อต้องการจะหาฟิล์มมาติดไม่น้อย อาจจะต้องพึ่งพาร้านค้าออนไลน์หาขนาดที่มันพอดีมาแปะนะ
– ขนาด กว้างxสูงxหนา : 75.5 x 153.6 x 8.2 มม. หนัก 164 กรัม
เครื่องหนาและหนักหน่อยเพราะแบตที่ใหญ่ถึง 4,100mAh
ขนาดเครื่องไม่ได้มีขนาดใหญ่จนจับถือลำบาก ด้วยเครื่องมีความโค้งตรงขอบ แม้จะมีความหนา 8.2 มม.ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ แต่ว่าน้ำหนักเครื่องที่มากกว่าชาวบ้าน การถือไถพิมพ์ลากไปนานๆก็มีตึงๆมืออยู่เหมือนกัน ถ้าใครสงสัยว่าทำไม m3 note ถึงได้หนาและหนักขนาดนี้ ส่วนนึงก็เพราะแบตเตอรี่ที่ใหญ่ถึง 4,100 mAh นั่นเอง (เคลมว่า stanby ได้ 16 วัน, ดูซีรีย์เกาหลีได้ 17 ตอน, คุยโทรศัพท์ได้ 32 ชม.) ซึ่งจากการใช้งานทั่วไป แชท เฟส เว็บ เกม(ไม่เยอะ) อยู่ได้เกือบสองวันเหมือนกัน
– mTouch/mBack แสกนลายนิ้วมือ + ปุ่ม Back ตอบสนองเร็ว 0.2 วินาที วางนิ้วได้ทุกทิศ 360°
เอกลักษณ์อย่างนึงของ Meizu ก็คือเค้าจะทำปุ่ม Back จับเข้าไปรวมกับปุ่ม Home เพียงวางสัมผัสปุ่มก็จะเท่ากับกด Back ทันที ซึ่งสำหรับคนที่ยังไม่ชินก็จะรู้สึกแปลกๆ แต่ถ้าเคยชินแล้วก็จะรู้สึกว่ามันสะดวกดี
mBack + mTouch ใช้แล้วจะติดใจ, ช่องด้านล่างซ้ายเป็นไมค์ ขวาเป็นลำโพง
ใน m3 note จะมีความสามารถของปุ่มนี้เพิ่มเข้ามาอีกก็คือ mTouch แสกนลายนิ้วมือ ซึ่งจากการทดสอบก็รู้สึกได้ว่ามันเร็วไม่แพ้พวก iPhone เลยล่ะ ตรวจจับและปลดล็อคได้ไวมาก
ด้านล่างลงมา จะเห็นว่ามีช่องอยู่ทั้งสองด้าน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเป็นลำโพงสเตอริโอ เพราะด้านขวาจะเป็นลำโพงเพียงด้านเดียว ส่วนด้านซ้ายจะเป็นไมค์ ลำโพงจะไม่ได้ดังมากนัก และเสียงไม่ได้ใสกิ๊งอะไร เรียกว่ามีใช้งานเฉยๆ ส่วนด้านบนจะเห็นรูเล็กๆ มีอีกตัว ช่วยตัดเสียงรอบข้างได้
รูอยู่ข้างๆช่องหูฟัง 3.5mm
– 2 ซิม (Hybrid Slot) รองรับ 3G (850/900/2100MHz) / 4G (1800/2100MHz)
ตอนแรกที่เห็นสเปคแล้วก็แอบสงสัยว่าเจ้า m3 note นี้มันจะรับ Carrier Aggregator ได้รึเปล่า เพราะความสามารถของชิพเซท Helio P10 ที่ใส่มามันสามารถทำได้ แต่หลังจากสอบถามกับทางทีม Meizu แล้วก็ได้รับคำยืนยันว่ามันไม่มี CA ชัวร์ๆแล้ว ส่วนซิมที่สองนั้นก็รับได้เป็น 2G เท่านั้น ไม่ใช่เป็น Full NetCom 3.0 ที่จะ standby เป็น 4G+3G ได้ (ในงานเปิดตัวบอกว่าได้ เอาจริงๆคือได้เฉพาะในประเทศจีนเท่านั้น) นอกจากนี้ ตามสเปคระบุว่าจะรองรับ VoLTE แต่ในไทยอาจจะใช้ไม่ได้เพราะจะต้องรอเครือข่ายเปิดให้รองรับการใช้งานก่อนซึ่งปัจจุบันก็เปิดกันให้น้อยรุ่นซะเหลือเกิน ทั้ง AIS DTAC TRUE
ช่อง Hybrid Slot เลือกเอาว่าจะ 2 ซิมหรือเติมเมม microSD สามารถ Standby 4G/2G พร้อมกัน
สำหรับเรื่องเรื่องสัญญานโทรศัพท์บอกเลยว่า m3 note ค่อนข้างมีปัญหา ใช้รับสายโทรออกแต่ละครั้ง คุยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ สัญญานจะไม่ค่อยชัด หรือสายหลุดบ่อยมาก แถมใส่ซิม dtac และ truemove H เข้าไปใช้ก็จะใช้งานดาต้าได้เป็นพักๆ แม้ว่าจะตั้งค่า APN ถูกต้องแล้ว แต่ปัญหานี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นในด้าน Software คงต้องรอรอมอินเตอร์ สำหรับใช้งานได้ทั่วโลกออกมาก่อน แล้วค่อยดูอีกทีว่าปัญหาทั้งคู่จะหายไปรึเปล่า
ประสิทธิภาพการใช้งาน
– CPU : (Octa core 1.8GHz)
The ARM ® the Cortex ® -A53 ™ 1.8GHz X4 + the ARM ® the Cortex ® -A53 ™ 1.0GHz X4
– GPU : Mali T860
– RAM : 2/3GB DDR3
– Storage : 16/32GB eMMC 5.1 + microSD สูงสุด 128GB
ตัวเลขในด้านสเปคของ m3 note ค่อนข้างจะดูดีและแรง โดยเครื่องที่เอามาใช้นั้นจะเป็นตัว 2/16GB ตามความรู้สึกต้องบอกว่ามันไม่ได้เฟี้ยวฟ้าวอะไรมากมาย ใช้งานทั่วไปโอเคอยู่ เครื่องไม่ร้อน จะแชทหรือโซเชียลอะไรก็สบายๆ แต่เมื่อเข้าเกมเล่นกราฟฟิกแรงๆ ไฟล์ใหญ่ๆ ก็จะมีอาการโหลดช้า ประมวลผลนานกว่าพวกรุ่นแพงๆอย่างรู้สึกได้ มีอาการหน่วงๆค้างๆบ้างประปราย แต่ก็ไม่ถึงกับตายหรือรีบูทอะไรนะครับ ส่วนนึงที่ทำให้ไม่รู้สึกลื่นไหลรวดเร็ว คงเป็นที่ UI/UX ที่ปรับจูนมาก FlymeOS มากกว่า animation/transition มันช้าๆ เลยดูไม่เร็วทันใจนัก
FlymeOS (Android 5.1) + ฟีเจอร์
เรามาดูฟีเจอร์ของเจ้า FlymeOS แบบคร่าวๆ เอาเฉพาะที่ใช้กันบ่อยๆมาเล่าให้ฟังกันซะหน่อย
ส่วนต่างๆของ m3 note และปุ่มควบคุมการใช้งาน ที่ต่างจากตัวอื่นออกไป
– หน้าเดียว : FlymeOS จะทำเหมือนๆกับรอมจีนอื่นๆคือ ตัดหน้า App Drawer ทิ้งไป แอพทั้งหมดจะถูกเอามารวมอยู่ในหน้าแรกเท่านั้น แต่ถ้าใครไม่ชอบก็ไปโหลดเอา Launcher อื่นมาใช้แทนได้นะ
– SmartTouch : ทำออกมาเหมือนๆกับ Assistive Touch บน iPhone สำหรับช่วยถนอมปุ่ม แต่ว่าความสามารถต่างออกไป นิดหน่อย ใช้งานได้สะดวกระดับนึง ส่วนตัวไม่ใช้เพราะคิดว่าปุ่มน่าจะทนทานกว่า iPhone
– Multitasks : ไร้ปุ่ม multitasks แต่ว่าสลับแอพไปมาได้ง่ายกว่าเดิมด้วยการลากจากด้านล่างของหน้าจอขึ้นมาได้เลย
– App lock : ไม่อยากให้คนอื่นใช้แอพสำคัญๆของเรา ก็จับมันล็อคเอาไว้ซะ
– Battery Details : พยายามทำให้แตกต่างจาก Battery Usage ของ Android แต่กลายเป็นว่าให้รายละเอียดน้อยกว่า ใช้งานได้จริงแย่กว่าซะงั้น
– Security : มีแอพช่วยดูแล บำรุงรักษาเครื่องมาให้ ช่วยแสกนหาไวรัส ควบคุมสิทธิ์ที่แต่ละแอพเข้าถึง และจัดการพวกไฟล์ขยะที่กินพื้นที่เครื่องทิ้งไปให้ จัดว่าสะดวกดีไม่ต้องเสียเวลาโหลดแอพเพิ่ม
– หน้าจอสามารถเคาะเพื่อเปิดได้ : ใครเคยชินกับการแตะหน้าจอสองครั้งเพื่อปลุก m3 note ก็มีให้ใช้ได้เช่นกัน เปิดคู่กับ SmartTouch ก็แทบไม่ต้องกดปุ่ม Home กันแล้วจ้า
ปัญหาที่พบจากการลองใช้งาน ก็คืออย่างที่บอกไปแต่แรกว่าเครื่องที่เอามาใช้นี้เป็นเครื่องจีน รอมจีน ยังไม่มีรอมอินเตอร์ให้แฟลชเล่นเสียด้วยซ้ำไป ทำให้มีความยากลำบากในการลง Google Services มาก ใช้ Google Installer จากใน Meizu App Store แล้วก็ไม่ได้ โหลดแอพอะไรจาก Play Store ไม่ได้เลย Services ต่างๆก็ไม่ Sync ให้ ต้องไปหาของหลายๆที่อื่นมาลงเพื่อแก้ไขให้โหลดแอพและซิงค์เบอร์จาก Google Services ได้ แต่ก็ไม่วายยังมีปัญหาข้อมูลไม่ค่อย sync, เข้า Play Store ไม่ค่อยได้ หวังว่าตัวที่ขายไทยจะไม่มีปัญหานี้นะ
– กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล + หน้า 5 ล้านพิกเซล
ดูเหมือนว่า Meizu จะยังไม่ค่อยเน้นเรื่องกล้องเท่าไหร่นัก เพราะจากการทดลองใช้ทั่วไปแล้วยังไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก กล้องจะมีจังหวะหน่อยตอนเปิดจนถึงถ่ายเสร็จเรียบร้อยค่อนข้างนาน หลายวินาที ทำให้พลาดจังหวะเด็ดๆไปได้ง่าย แม้ว่าตัวแอพจะมีโหมดมาให้เลือกใช้เยอะแต่มีการดีไซน์ UI/UX มาให้ใช้งานค่อนข้างยาก และภาพที่ได้ก็ออกมาไม่โดนเท่าไหร่นัก ใครสายเน้นถ่ายรูปไม่ค่อยแนะนำสักเท่าไหร่นักนะ
กรณีภาพถ่ายที่แสงเพียงพอคุณภาพออกมาพอได้
เจอที่แสงน้อยก็มีเหนื่อยนิดนึง ดีเทลและแสงในที่มืดจะไม่ค่อยมา
ที่แสง HDR พอโอเค
W/B มีเพี้ยนๆไปบ้างที่ในร่มแสงเพียงพอ
การเชื่อมต่อและเซนเซอร์
– รองรับ WiFi 2.4/5G abgn (ไม่มี ac) : ดูจากไอคอน เหมือนจะจับสัญญาน WiFi ได้ไม่ได้ดีเท่าไหร่ เห็นของรุ่นอื่นเต็ม แต่ m3 note มักจะหายไปขีดนึง (ซึ่งเอาจริงๆมันก็บอกอะไรได้ยาก เพราะมาตรฐานแต่ละขีดของแต่ละค่ายแต่ละรุ่นไม่เท่ากัน) แต่เจ้า m3 note มันก็ใช้งานในบริเวณที่คลื่นอ่อนๆ ได้ใกล้เคียงกับ iPhone และ Note 5 อยู่นะ
– GPS/Glonass/Beidou : จับสัญญานได้ไวดี แต่ลองเอาไปนำทางตำแหน่งมีดิ้นเป็นพักๆ ต้องระวังให้ดีถ้าจะเอาไปนำทางทริปสำคัญๆ
– Hall magnetic induction, gravity sensor, Infrared distance sensor, gyroscope, ambient light sensor, Touch sensor, electronic compass : ให้เซนเซอร์มาครบดี ไม่มีเหนียว ไม่มีอั้นแบบแบรนด์ใหญ่ที่มักจะริบพวก gyroscope หรือ เข็มทิศออกไป
สรุปครับสรุป มาดูข้อดีข้อเสียกัน
ข้อดี
– บอดี้อลูมิเนียม ดีไซน์โอเค
– หน้าจอใหญ่ คม ชัด สีสวยดี
– ฟีเจอร์และสเปคให้มาครบ เทียบเท่าพวกหลักหมื่นกลางๆ
– แบตอึดอยู่ได้ข้ามวัน
– fingerscan ไวไม่แพ้รุ่นแพงๆ
ข้อควรพิจารณา
– ไม่มี NFC
– กล้องไม่แจ่มเท่าไหร่
– ใช้ Full Netcom 3.0 ในไทยไม่ได้
– รอดู Flyme OS เวอร์ชั่น Inter ว่าทำมาดีขนาดไหน
ปัญหาเบื้องต้นที่พบ
– สัญญานดาต้ามักติดๆดับๆแม้จะตั้งค่า APN ถูกต้อง
– สัญญานโทรศัพท์ยังไม่ดีเท่าไหร่นัก Wifi อ่อน มีปัญหาตอนคุย
– ตัดคำไทยไม่สมบูรณ์
ย้ำกันอีกรอบว่าข้อเสียกับปัญหาที่พบ ยังไงรอเวอร์ชั่นขายไทยออก หรือมีรอมอินเตอร์ให้โหลดก่อนนะ ไว้จะเอามาบอกอีกที ส่วนคนที่สนใจ ก็รอเข้ามาขายในไทยได้เร็วๆนี้ อาจจะเห็นในอีก 1-2 อาทิตย์ข้างหน้า เห็นว่าปีนี้ทาง Meizu Thailand เตรียมทำตลาดขายทางช่องทางต่างๆ นอกเหนือจากบน Online กับทาง Lazada แถมจะมีเปิดศูนย์บริการ รับซ่อมเคลม ได้งานดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนราคาตัว 3/32GB รอลุ้นกันว่าจะถึง 7 พัน หรือว่าเกินไปมากน้อยขนาดไหนครับ
มีคำถามเพิ่มเติม อยากรู้ตรงไหน เชิญได้ในคอมเม้นท์เลยคร้าบ
ข้อมูลเพิ่มเติมไปดูได้ที่เว็บ Meizu Thailand : m3 note
คู่แข่งของ Redmi Note ทั้งหลาย
บน Aliexpress ขายนานแล้วแต่ไงลองเช็คราคากัน
Buy from Top one Shop > [url]http://bit.ly/topone-meizu-m3note[/url]
Buy from Gold Way HK > [url]http://bit.ly/goldway-meizu-landing[/url]
[size=20]
สำหรับใครจะซื้อที่ไทย ตอนนี้ Lazada นำเข้ามาขายแล้วสนใจตามลิงค์ด้านล่าง ลองเช็คราคากันดูคับ
Buy on Lazada Thailand > [url]http://bit.ly/meizu-m3-note-16-gb-7527695[/url]
Buy on Lazada เช็คราคา > [url]http://bit.ly/meizu-m3-note-lzd-discount[/url][/size]
นาทีนี้ 2 ซิมที่ยังไม่รองรับ Full Netcom3.0 รอไปก่อนเลย
รอมแรกๆมากล้องกาก ผมเคยลองใช้ K3Note รอมจีนแรกๆมากล้องบัดซบมากแอพขยะจีนเด้งเต็มไปหมด ตอนหลังลงรอมอินเตอร์อัพเดทแล้วพอไปวัดไปวาได้
k3note/a7000+ เซนเซอร์ sony imx 214 ไม่ธรรมดานะครับ ส่วนตัวก็เคยใช้ k3 note ซอฟแวร์ค่อนข้างแย่ กล้องเทียบ vibe z ที่เป็นเซนเซอร์ตกรุ่น imx 135 ไม่ได้เลย ตอนกลางคืนคนล่ะเรื่องเลย
กล้องแย่มากจริงๆ ครับ
ตามราคาอ่ะคับ กล้องหลังก็เซอร์เซอร์เดียวกับพวก m2note/metal redmi note2/3 เท่าที่หาข้อมูลเจอ
ส่วนตัว งง กับ mTouch มากกๆ
ตัวนี้เคยคิดเทียบจะ redmi note3 pro
แตาบอกได้เลย ทุกรุ่นที่ เหม่ยจู เอามาขายไทย อัพราคาไปเยอะ จนไม่สนใจ
คหสต นะครับ
งง กับ mTouch ยังไงอ่ะท่าน แรกๆใช้ไม่ค่อยชิ้นใช่ไหม ส่วนตัวผมชอบมากๆ อยากให้ทำเป็นมาตรฐาน android เลย
xiaomi มันไม่เข้าไทยก็เลยเทียบยากครับ ถ้าอิงราคาเครื่องหิ้วก็เท่าๆกันราคา แต่ถ้าเทียบ redmi note3 pro เครื่องหิ้วเกือบหมื่น ดูท่าว่าเครื่องศุนย์ไทย ตัว 3/32 จะถูกกว่ามั้งครับ ตามข่าวเก่าบวกเพิ่ม 1500-2000 เอง
ผมว่าเครื่องมันยาวๆแปลกๆ จริงๆตั้งใจขาย metal ไปเอาตัวนี้แทนแหละครับ เพราะแบตเยอะ ชอบปุ่ม mtouch แต่ไปเอา vibe z2 pro มือ 1 7000 แทนซะล่ะ