สวัสดีมิตรรักชาว Droidsans ทุกท่าน วันนี้เปิดหัวข้อออกแนวหนังจอมยุทธ์ไปซะหน่อย เพราะได้มีโอกาสรีวิวมือถือจากจีนแผ่นดินใหญ่อย่าง Meizu MX4 Pro มือถือเรือธงของค่าย Meizu หนึ่งในสิบของผู้ผลิตสมาร์ทโฟนระดับท็อปของประเทศจีน โดยสเปกนั้นอยู่ในระดับเรือธงของปลายปี 2014 แต่เปิดราคามือถือตลาดกลาง 12,500 บาทเท่านั้น และหลังจากที่ผมได้ลองใช้งานมาสักพัก ต้องบอกว่ามือถือจากแผ่นดินใหญ่ตัวนี้ “งานดีมีคุณภาพอีกแล้วครับท่าน!“ ลองมาดูรีวิวกันดีกว่า…
Meizu เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในฐานะผู้ผลิตเครื่อง MP3 Player ช่วงปี 2003 ซึ่งยุคนั้นต้องบอกว่า MP3 Player คือเทรนด์ของตลาดการฟังเพลงยุคใหม่ โดยมี iPod เป็นเจ้าตลาดถึงแม้มันจะไม่ใช่ MP3 Player ก็ตามที และ Meizu ก็ถือว่าสร้างชื่อมาได้จากจุดนั้น ในฐานะ MP3 Player ที่หน้าตาดูดี คุณภาพเสียงเยี่ยม ในราคาที่จับจ้องได้สำหรับคนทั่วไป ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้จัก Meizu ครั้งแรกก็เพราะไปซื้อ M6 miniPlayer มาใช้นี่แหละ ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เปิดหูเปิดตาเรื่องคุณภาพสินค้าของประเทศจีนพอสมควร หลังจากมีอคติกับมันมาตลอดสบายๆ
หลังจากนั้นในปี 2008 Meizu ก็ตัดสินใจกระโดดเข้าสู่ตลาดสมาร์ทโฟนครั้งแรกกับมือถือรุ่น Meizu M8 ซึ่งทำงานบน Windows CE 6 และเป็นหนึ่งในรุ่นได้รับการจดจำมากที่สุด เพราะโดน Apple ฟ้องร้องและถูกสั่งห้ามจำหน่ายในประเทศจีนไปโดยปริยาย สาเหตุที่โดนฟ้องเพราะว่า M8 นั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Apple iPhone แบบเต็มๆ ทั้ง Hardware และ Software ที่จัดมาให้ในเครื่อง จนได้รับการขนานนามว่า China iPhone เลยทีเดียว
หลังจากถูกฟ้องและโดนตัดสินห้ามจำหน่ายไป Meizu ก็อยู่ในช่วง dead air อยู่พักนึงก่อนจะตัดสินใจเดินหน้าต่อกับ Meizu M9 ซึ่งเป็นมือถือ Android รุ่นแรกและมันก็สามารถดึงสายตาของคนทั่วโลกให้มาสนใจ Meizu อีกครั้ง เพราะมันสวยโดดเด่นแตกต่างจากมือถือ Android รุ่นอื่นๆไปพอสมควร จากนั้นMeizu ก็เดินทางต่อมาเรื่อยๆบนถนนสายสมาร์ทโฟน จนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 6 รุ่นแล้ว และ Meizu MX4 Pro คือรุ่นล่าสุดที่กำลังจะกล่าวถึงในรีวิวนี้
ขอบคุณภาพจาก GizmoChina.com
แวะดู Package ของ Meizu MX4 Pro กันก่อน
กล่องของ Meizu MX4 Pro นั้นเป็นกล่องกระดาษที่ออกแบบมาให้คล้ายกับเป็นหนังสือครับ มันเป็นหนังสือยังไงมาดูกัน
หน้าตากล่อง
การเปิดกล่องต้องทำแบบนี้ ชะแว้บ! มันเหมือนกับการเปิดหนังสือนั่นเอง โดยในแต่ละหน้าจะบอกสรรพคุณของเจ้า MX4 Pro และแน่นอน “เป็นภาษาจีน”
และแล้วก็มาถึงพระเอกของเรา Meizu MX4 Pro นอนแอ้งแม้งอยู่ในกล่อง พร้อมอุปกรณ์เพียงแค่ 2 อย่างเท่านั้นคือ สาย USB และ Adaptor
ในส่วนของ Adaptor นั้นจ่าย output เป็นไฟ 5V 2A ช่วยให้การชาร์จทำได้เร็วขึ้นกว่าปกตินิดหน่อย
สเปกของ Meizu MX4 Pro
อย่างที่ว่า MX4 Pro นั้นเป็นมือถือรุ่นล่าสุดระดับเรือธงของ Meizu เลย ดังนั้นสเปกก็จัดอยู่ในระดับเรือธงแน่นอน แต่เป็นของปลายปี 2014 ตามเวลาที่เปิดตัวนะครับ รายละเอียดของสเปกมีดังนี้
ชื่อและรหัสเครื่อง: Meizu MX4 Pro
สัดส่วน: 150.1 x 77.0 x 9.0 มิลลิเมตร
น้ำหนัก: 158 กรัม
หน้าจอ: JDI “NEGA negative LCD” ขนาด 5.46 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1536 พิกเซล 546 PPI
เครือข่ายที่รองรับ:
4G LTE: FDD B1/3/7, TDD B38/39/40/41
3G: HSPA 850/900/2100
2G: GSM 850/900/1800/1900
SIM: 1 SIM แบบ Micro SIM
CPU: Samsung Exynos 5430 Octa แบ่งเป็น 4 x A7 1.5GHz และ 4 x A15 2.0GHz
GPU: Mali T628MP6 600MHz
RAM: 3 GB LPDDR3
หน่วยความจำภายใน: 16 GB
กล้องหน้า: 5 ล้านพิกเซล OmniVision OV5693 f/2.2
กล้องหลัง: 20.7 ล้านพิกเซล Sony IMX220 เลนส์ f/2.2 พร้อม Dual-LED flash และ AF
แบตเตอรี่: 3,350 mAh (ถอดเปลี่ยนไม่ได้)
OS: Flyme 4.0 UX บน Android 4.4.4 KitKat
NFC: มี
OTG: มี
การเชื่อมต่ออื่นๆ:
Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac
Bluetooth 4.0 A2DP, EDR
A-GPS, GLONASS
USB 2.0
หูฟัง 3.5 มิลลิเมตร
ระบบสแกนลายนิ้วมือ mTouch
งานออกแบบและหน้าตา
Meizu MX4 Pro นั้นเป็นมือถือที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 5.46 นิ้ว ถัวๆก็ 5.5 นิ้วนี่แหละ จัดเป็นขนาดหน้าจอของ Phablet ซึ่งตอนแรกผมก็วาดภาพไว้ว่าขนาดเครื่องต้องน้องๆ Galaxy Note เลย แต่พอถือในมือแล้วพบว่าขนาดเครื่องไม่ใหญ่อย่างที่คิด จับถือได้สะดวกมาก พระเอกที่มาช่วยเรื่องคงเป็นเรื่องขอบจอที่บางมากๆ ทำให้ช่วยลดพื้นที่ด้านหน้าไปได้พอสมควร
พูดถึงด้านหน้าของมือถือรุ่นนี้ เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึง iPhone 3GS แต่จะว่าเลียนแบบก็ไม่ถูกซะทีเดียวต้องเรียกว่า “ได้รับแรงบันดาลใจ” จนทำให้ Apple บันดาลโทสะมาแล้ว จริงๆแล้ว Meizu ถือเป็นผู้ผลิตมือถือเจ้าแรกๆเหมือนกันที่ขอยืมงานออกแบบบางอย่างจาก Apple มาใช้ แต่ก็มีการปรับแก้เรื่อยมาจนเริ่มมีของตัวเองอยู่บ้างเหมือนกัน เห็นได้จากด้านหลังที่ไม่เหมือนใครดี ลองมาดูรอบๆตัวเครื่องกันดีกว่า
ด้านหน้าส่วนบนประกอบด้วยช่องลำโพงสนทนา, ไฟแจ้งเตือน และกล้องหน้าสำหรับถ่าย Selfie
เวลามีการแจ้งเตือนตอนที่หน้าจอปิดอยู่ ไฟแจ้งเตือนจะสว่างขึ้นมา ซึ่งถือว่า สว่างพอสมควร เห็นได้ชัดเจน
ส่วนล่างของด้านหน้ามีปุ่มอยู่อันเดียวเรียกว่า mTouch โดยทำหน้าที่เป็นทั้งปุ่ม Home และตัวสแกนลายนิ้วมือเอาไว้ใช้สำหรับปลดล็อคเครื่องและเชื่อมต่อกับระบบการจ่ายเงิน Alipay
ด้านล่างของตัวเครื่องประกอบด้วย ไมค์สำหรับสนทนา, ช่อง microUSB และลำโพงสำหรับเสียงแจ้งเตือนต่างๆ ซึ่งต้องบอกว่าเสียงดังมากๆ
ด้านบนของตัวเครื่องประกอบด้วย ปุ่ม Power, ไมค์ตัดเสียง และช่องเสียบหูฟัง
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีแค่ปุ่มปรับเสียงอย่างเดียว ส่วนด้านขวานั้นโล่งๆ ไม่มีอะไรครับ
พลิกมาดูด้านหลังของตัวเครื่องจะเห็นโลโก้ Meizu ชัดเจน พร้อมสโลแกนแห่งความภูมิใจ
“Designed by Meizu Made in China”
ส่วนบนของด้านหลังจะเป็นกล้องหลังและ Flash แบบ Dual-tone สองสี โดยตัวโมดูลกล้องจะนูนออกมาเล็กน้อยประมาณ 1 มิลลิเมตร โดยมีกระจกแซฟไฟร์ปกป้องเลนส์กล้องอีกชั้น
เดี๋ยวเราจะมาแกะฝาหลังกัน โดยจะมีร่องทางด้านล่างของตัวเครื่องเอาไว้ให้แงะเอาฝาหลังออกมาครับ
แกะออกมาแล้วจะเป็นแบบนี้ โดยหลักๆฝาหลังให้แกะออกมาเพื่อใส่ microSIM เท่านั้น แบตเตอรี่แกะออกมาไม่ได้นะครับ ส่วนฝาหลังก็จะมี NFC อยู่ โดยฝาหลังเป็นพลาสติกโพลีคาร์บอเนตยืดหยุ่นได้ดี ไม่แตกหักง่ายครับ
จบการรีวิวในส่วนของงานออกแบบตัวเครื่อง ต่อไปเรามาดูเรื่องซอฟท์แวร์กันดีกว่า
FlymeOS ระบบปฏิบัติการของ Meizu
Meizu MX4 Pro นั้นมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการของตัวเองที่ชื่อว่า FlymeOS พัฒนาบนพื้นฐานของ Android 4.4.4 KitKat โดยตัว Homescreen นั้นจะไม่มี App Drawer หรือ หน้ารวมแอพ ที่คนใช้ Android มาก่อนจะคุ้นเคยกันดี แต่สำหรับ FlymeOS แอพทุกแอพจะเรียงอยู่บนหน้า Homescreen คอนเซ็ปท์เดียวกับ iOS เลยครับ ตรงนี้แล้วแต่ความชอบและถนัดของแต่ละคน บางคนอาจจะชอบ App Drawer มากกว่า ในขณะที่บางคนจะชินและติดมาจาก iOS ก็มี
เครื่องที่ผมรีวิวนี้นี้เป็นเครื่องของจีนนะครับ ซึ่งรุ่นนี้จะมีจำหน่าย 2 แบบคือ แบบสำหรับประเทศจีน และแบบ International สิ่งที่ต่างกันคือเครื่อง International นั้นจะมีแอพบริการของ Google ติดตั้งมาให้เลย ในขณะที่เครื่องจีนนั้น ไม่มีแอพของ Google เลยเพราะโดนแบนในประเทศจีน ทางแก้คือเราต้องไปตามหา Google Apps มาติดตั้งในเครื่องเองครับ ซึ่งโชคดีที่มันหาง่ายมาก หาจาก Google นี่แหละ เป็น APK ไฟล์เดียวเอามาติดตั้งครั้งเดียวได้แอพของ Google ครบ ใครใช้เครื่องนี้แล้วยังไม่มี Google (ทนใช้อยู่ได้ยังไง) สามารถไป download จากที่นี่ได้เลย Google Apps for Meizu MX4 Pro
ว่ากันด้วยเรื่องหน้าตาของ FlymeOS ส่วนตัวต้องบอกว่า ถือเป็น OS ที่ “หน้าตาดี” รุ่นหนึ่งเลย ด้วยการออกแบบเชิง Minimal ที่ดูเรียบๆแต่สวยงาม รวมถึงตัว icon ของแอพที่ดูสวย ใช้สีสดใส แต่ไม่ฉูดฉาด ดูสบายตา โดย icon ของชุดแอพของ Google เองก็ถูกแทนที่ด้วย icon ของ FlymeOS ด้วย แต่ก็ไม่ทั้งหมด
การใช้งาน Homescreen ของ FlymeOS จะอาศัย gesture ในการควบคุมเป็นหลัก ปัดลงเพื่อเรียก Notification, ปัดขึ้นเพื่อ Search, ปัดซ้าย-ขวาเพื่อเปลี่ยนหน้า ด้วยความที่ MX4 Pro มีแต่ปุ่ม Home ปุ่มเดียว ไม่มีปุ่ม Back กับ Recent apps ตรงนี้ Meizu จะอาศัยซอฟท์แวร์มาช่วยในการเรียกใช้งานแทน ลองมาดูวิดีโอน่าจะเข้าใจมากกว่าครับ
Smartbar
ตอนเข้าแอพที่จำเป็นต้องมีปุ่ม Back จะมีแถบสีขาวขึ้นมาด้านล่างให้เราสามารถกด back ได้เพื่อย้อนกลับได้ เรียกว่า “Smartbar” ดังรูป
แต่ปัญหาของการใช้ปุ่มซอฟแวร์แบบนี้คือ แอพไหนไม่รู้จักมันก็จะไม่ขึ้นเลย อย่างเช่น Line ถ้าเปิดเข้าไปในแอพ Line เราจะเห็นว่าไม่มีปุ่ม Back ขึ้นมาให้เราได้ใช้เลยครับ เวลากดเข้าไปอ่านข้อความในหน้า Chat ต่างๆ เราจะไม่สามารถกลับออกมาได้เลยถ้าไม่มีปุ่ม Back
ซึ่งตรงนี้มีวิธีแก้หลายอย่างด้วยกัน วิธีแรกคือ การปิดฟังก์ชัน “Intelligently hide Smartbar” ซึ่งเป็นต้นเหตุของการหายไปของปุ่ม Back เพราะมันจะซ่อนปุ่ม Back ในแอพที่มันไม่รู้จักนั่นเอง โดยเราสามารถไปปิดได้ในหน้า Settings ส่วน Accessibility ดังรูป หลังจากนั้นเจ้าแถบ Smartbar ก็จะไม่ถูกซ่อนอีกเลย
ข้อเสียของการใช้ Smartbar คือ เราจะเสียพื้นที่แสดงผลบนหน้าจอไปเพื่อโชว์เจ้าแถบขาวๆนี้ ดังนั้นจึงขอแนะนำอีกวิธีคือ การแตะที่ปุ่ม Home เพื่อใช้แทนปุ่ม Back โดยเราสามารถเปิดฟังก์ชันนี้ได้ใน Accessibility เช่นกันครับ แต่จากการใช้งานจริงพบว่า ยังไม่ค่อยสะดวกมากนัก เพราะตัวเซ็นเซอร์ที่อยู่บนปุ่ม Home ยังตรวจจับการสัมผัสได้ช้า คือถ้าเราแตะไวๆ เหมือนเราแตะหน้าจอ เซ็นเซอร์จะจับไม่ทัน ต้องแตะค้างไว้สักประมาณครึ่งวินาทีถึงจะได้
SmartTouch
ฟีเจอร์อีกอย่างหนึ่งของ Flyme OS เรียกว่า “SmartTouch” โดยเจ้า SmartTouch จะเป็นปุ่มกลมๆสีขาวที่ลอยอยู่บนหน้าจอ ให้เราแตะหรือดึงมันไปในทิศทางต่างๆ เพื่อให้เกิดการทำงานอย่างบางอย่างขึ้นมาได้ ถ้าคนเคยใช้ iPhone มาก่อนจะรู้สึกคุ้นๆ เพราะหน้าตามันคล้ายกับปุ่ม Assistive Touch เลยครับ แต่การใช้งานไม่เหมือนกันนะ
เราสามารถตั้งค่าของปุ่ม SmartTouch ได้โดยเข้าไปที่หน้า Settings ส่วน Accessibility แล้วเลือก SmartTouch จากนั้นเราจะเห็นหน้าสำหรับตั้งค่าของปุ่ม โดยเราสามารถปรับค่าความทึบแสง (Opacity) ของตัวปุ่มได้ ส่วนที่เหลือจะเป็นการตั้งค่าสำหรับการใช้งานปุ่ม SmartTouch แบบต่างๆ
โดยเราสามารถตั้งค่าได้ 6 อย่างด้วยกัน
Click : เป็นการตั้งว่าเวลาแตะที่ปุ่ม 1 ครั้งจะทำให้เหมือนกด Back หรือไม่
Double Click : เป็นการตั้งว่าเวลาแตะที่ปุ่ม 2 ครั้ง จะให้ทำอะไร ซึ่งมีค่าให้เลือกได้ดังนี้
Pulll down screen : ดึงหน้าจอลงมาครึ่งหนึ่ง เอาไว้สำหรับใช้งานมือเดียว แล้วนิ้วเราเอื้อมไปแตะด้านบนหน้าจอไม่ถึง
Launch notification : ดึงส่วนการเแจ้งตือนลงมา
Lock screen : ล็อคหน้าจอ
Launch recent tasks : เปิด Recent tasks ขึ้นมา
Hold : แตะค้างไว้เพื่อจับปุ่ม SmartTouch ลากไปตำแหน่งต่างๆบนหน้าจอ
Slide Up : เป็นการตั้งค่าว่าเมื่อดันปุ่มขึ้น จะให้ทำอะไร
Back to home screen : กล้วหน้า Home
Lock screen : ล็อคหน้าจอ
Kill the current process : ปิดแอพที่กำลังเปิดอยู่
Launch recent tasks : เปิด Recent tasks ขึ้นมา
Slide Down : เป็นการตั้งค่าว่าเมื่อดันปุ่มลง จะให้ทำอะไร
Launch notification : ดึงส่วนการเแจ้งตือนลงมา
Pull down screen : ดึงหน้าจอลงมาครึ่งหนึ่ง เอาไว้สำหรับใช้งานมือเดียว
Lock screen : ล็อคหน้าจอ
Kill the current process : ปิดแอพที่กำลังเปิดอยู่
Slide Left or Right : จะใช้การดันซ้ายดันขวาเพื่อสลับแอพที่เปิดไว้
Notification
ในส่วนการแจ้งเตือนหรือ Notification นั้นจะมีลักษณะพิเศษนิดนึงคือ พื้นหลังจะเป็นสีทึบแบบโปร่งแสง ดูสวยดีนะในความรู้สึกของผม พอขยายออกมาก็จะมีหน้ารวม Toggles หรือตัวเปิดปิดฟีเจอร์ต่างๆ เช่น Wifi, 3G หรือ Bluetooth
โดยนอกจากการเปิดปิดแล้ว Toggle บางตัวยังทำอะไรได้มากกว่า โดยสังเกตได้จากหัวลูกศรเล็กๆ ด้านล่าง เช่น Wifi จะมีชื่อ Wifi มาให้เลือก connect ได้ หรือ Auto Brightness จะแถบสไลด์มาให้เลื่อนปรับความสว่างได้ เป็นตัน
Basic Apps
Meizu MX4 Pro นั้นมีแอพพื้นฐานมาให้ใช้งานได้ค่อนข้างครบครัน ทั้ง Calculator, Gallery, Browser หรือ Document โดย Calculator นั้นสามารถทำให้มันเป็น window เล็กๆลอยไปลายมาได้ด้วย ส่วน Gallery นั้นก็สามารถแสดงภาพได้รวดเร็ว แต่ตอนแก้ไขภาพแล้วบันทึกนั้นถือว่าช้ามาก ไม่รู้เพราะอะไร
สำหรับ Browser นั้นถือว่าใช้เล่นอินเตอร์เน็ตได้โอเค ใช้งานได้ตามมาตรฐาน มีฟังก์ชันพิเศษคือ Night mode ที่จะเปลี่ยนหน้าตาของ Browser เป็นสีเท่าดำเพื่อถนอมสายตาเวลาเล่นตอนกลางคืน แต่ประสิทธิภาพของ Browser นั้นยังไม่ดีพอเทียบกับ Chrome ที่รวดเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่วน Document นั้นเป็นแอพจัดการไฟล์ที่ทำได้ใช้งานง่าย ทำหน้าที่พื้นฐานได้ครบทั้งย้ายไฟล์และลบไฟล์ แถมยังสามารถเก็บไฟล์และโฟลเดอร์เข้าเซฟได้ด้วย โดยการตั้งรหัสป้องกันเป็นตัวเลข
Security
แอพที่น่าสนใจอันหนึ่งของ MX4 Pro ผมอยากจะพูดถึงคือ “Security” ซึ่งเป็นแอพที่คอยจัดการรักษาความปลอดภัยและกำจัดขยะต่างๆในเครื่องออกได้ โดยจากในรูปเราจะเห็นว่า Security นั้นรวมฟีเจอร์ 7 อย่างด้วยกันคือ
Junk clean : กำจัดขยะและ cache ภายในเครื่อง เหมือนหน้าที่เหมือนแอพประเภทนี้ทั่วๆไป เช่น CleanMaster
Large file : ตรวจหา file ขนาดใหญ่ภายในเครื่อง เพื่อให้เราเลือกลบได้ถ้าไม่ต้องการหรือไม่จำเป็นต้องเก็บไว้แล้ว ตรงนี้มีข้อเสียคือ กำหนดขนาด File ที่ให้ตรวจหาไม่ได้ เพราะขนาดปัจจุบันที่ 10MB ผมว่ามันยังเล็กอยู่ ไม่ถือว่าเป็น file ใหญ่
App clean : สามารถเลือก Uninstall แอพออกจากเครื่องได้ทีละหลายๆแอพ อันนี้สะดวกมากเวลาเราอยากลบแอพออกที่ไม่ใช้ออก โดยในหน้านี้จะเรียงรายชื่อแอพตามลำดับจำนวนวันที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งแอพที่ไม่ได้ใช้งานมานานที่สุดจะอยู่ด้านบนสุด
Traffic management : เป็นการตรวจสอบปริมาณการใช้ข้อมูลสำหรับเล่นอินเตอร์เน็ตทั้งทาง 3G /4G หรือ Wifi โดยเราต้องตั้งค่ารอบบิลการจ่ายเงินของเราให้เรียบร้อยซะก่อนนะครับ หลังจากนั้นก็จะดูได้ว่าใช้งานอินเตอร์เน็ตไปเท่าไหร่แล้ว และยังสามารถดูแยกตามรายชื่อแอพได้ด้วยว่า แอพไหนใช้งานอินเตอร์เน็ตมากที่สุด ถ้ามีชื่อแอพที่เราไม่คิดว่าต้องใช้อินเตอร์เน็ตโผล่ขึ้นมาก็กด Switch ปิดได้ทันที
Virun clean : โปรแกรมสแกนไวรัสดีๆนี่แหละ โดยจะสามารถสแกนหาแอพแปลกปลอมหรือแอพที่เป็นอันตราย รวมไปถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดกับระบบการจ่ายเงินและการขโมย ID ของเราได้ จริงๆแล้วถ้าเราเป็นคนที่รอบคอบในการเลือกแอพมาใช้งานอยู่แล้ว ตรงนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ได้ครับ
Permission : เป็นส่วนที่รวบรวมการจัดการ Permission ต่างๆ ที่ทำออกได้เยี่ยมเลย ตั้งแต่การเลือกว่าจะให้แอพไหนเปิดขึ้นมาได้เอง (Launch), การเลือกว่าแอพไหนจะแจ้งเตือนได้บ้าง (Notify), การจัดการเข้าถึงฟีเจอร์สำคัญภายในเครื่อง (Safe) เช่น การโทรออก, การส่ง SMS, การเปิดปิด 3G และการเปิดปิด Wifi รวมถึงการอนุญาตให้แอพเข้าถึงข้อมูลของเรา (Privacy) เช่น การอ่านรายชื่อ, การอ่าน Call Logs หรือการอ่าน SMS เป็นต้น ตรงนี้ถ้าใครได้ใช้งานแล้วรู้สึกว่า แอพบางแอพทำงานไม่เป็นไปอย่างที่คิด ให้ลองมาเช็คในเมนูนี้ดู ที่ผมเจอคือ Line ไม่มีการแจ้งเตือน เลยมาเช็คแล้วพบว่า Line ไม่ได้รับอนุญาตให้ Launch ขึ้นมาเองได้ ดังนั้นเราต้องมาอนุญาตผ่านตรงนี้อีกที
Power saving : เป็นโหมดประหยัดพลังงานของ MX4 Pro โดยจะมีให้เลือก 3 แบบคือ Smart, Super และ Custom ถ้าเป็นโหมด Smart ก็จะเป็นการปรับค่าเพื่อประหยัดแบตแบบพอประมาณ แต่ถ้าเป็นโหมด Super จะเป็นการตัดการเชื่อมต่อทุกอย่าง ทั้ง 3G และ Wifi พร้อมลดความเร็วของ CPU ลง นอกจากนั้นหน้าจอก็จะเป็นขาวดำแบบในภาพ ใช้โทรออกและส่ง SMS ได้เท่านั้น ส่วนโหมด Custom จะเป็นการเลือกปรับค่าทุกอย่างเอง ตรงนี้มีส่วนที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ App management โดยปกติระบบจะปิดแอพที่กินพลังงานหลังจากที่เครื่อง standby ไป 3 นาทีโดยอัตโนมัติ ซึ่งมันอาจจะทำให้เราไม่ได้รับการแจ้งเตือนจากแอพที่ถูกปิดไป ดังนั้นเราต้องมาเลือกรายชื่อแอพที่เราไม่ต้องการให้ปิดในนี้ด้วย
mTouch
จุดประสงค์หลักของปุ่ม mTouch นอกจากจะเป็น Home แล้วก็ยังมีเซ็นเซอร์สำหรับสแกนลายนิ้วมือฝังอยู่ โดยการสแกนจะเป็นแบบแตะนิ้วแล้วสแกน ไม่เหมือนเซ็นเซอร์แบบเก่าที่ต้องรูดนิ้วเอา ดังนั้นจึงทำงานได้รวดเร็วมากกว่าเดิมคล้ายกับ TouchID บน iPhone ซึ่งการสแกนลายนิ้วมือจะเอาไปใช้ในการปลดล็อกเครื่อง, การป้องกันการเข้าถึงแอพหรือไฟล์บางอย่าง และการจ่ายเงินกับ Alipay (ใช้ได้ในจีนเท่านั้น)
เราสามารถเปิดใช้งานระบบสแกนลายนิ้วมือได้ใน Settings ส่วน Fingerprint and security โดยให้เลือกเปิดที่ “Use as unlock password“ จากนั้นก็เลือก “Fingerprint management” เพื่อลงทะเบียนลายนิ้วมือของเรา ซึ่งเราสามารถลงทะเบียนได้ทั้งหมด 10 นิ้ว ใครชอบนิ้วไหนก็สแกนเก็บไว้ นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จะได้ใช้บ่อย ส่วนนิ้วกลางเอาไว้ใช้บางเวลาตามอารมณ์ในขณะนั้น
การสแกนลายนิ้วมือเพื่อบันทึกเก็บไว้นั้น จะเป็นการแตะนิ้วลงไปที่ปุ่ม mTouch ย้ำๆไปเรื่อยๆ จนกว่ารูปลายนิ้วมือจะเต็ม ซึ่งผมพบว่ามีหลายครั้งที่ต้องลองแตะใหม่อยู่เรื่อยๆ เพราะระบบไม่สามารถรับรู้ลายนิ้วมือได้ ก็เสียเวลาอยู่เหมือนกันกว่าจะได้แต่ละนิ้ว นอกจากนั้นทาง Meizu เองบอกว่าตัวเซ็นเซอร์นั้นสามารถสแกนนิ้วตอนที่เปียกได้ด้วย ซึ่งผมก็ลองดูพบว่า ทำได้อย่างที่คุยจริงๆ ดีกว่าเซ็นเซอร์ของบางเจ้าที่มีปัญหาเวลาสแกนนิ้วที่เปียกน้ำนะครับ
สรุปโดยรวม UI ของ Flyme OS ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจ ดูเรียบแต่สวยงามและใช้ง่ายดี จุดเสียคงจะเป็นเรื่องที่ไม่มี App Drawer ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของ Android ที่ควรจะมีในทุกเครื่องที่เป็น Android แต่ไม่มีก็ไม่ถึงกับเสียหายอะไรมากมาย ที่น่าสังเกตคือ มือถือจากผู้ผลิตในประเทศจีนส่วนใหญ๋ UI จะไม่มี App Drawer ทั้งนั้นเลย ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ประสิทธิภาพและความอึด
ทวนกันอีกครั้ง Meizu MX4 Pro นั้นมาพร้อมกับ CPU Exynos 5430 ของ Samsung ซึ่งเป็นตัวเดียวกับ Galaxy Alpha โดย CPU ตัวนี้ทำงานแบบ 8 แกน (Octa core) ด้วยสถาปัตยกรรม big.LITTLE แบ่งเป็น ARM Cortex-A15 4 แกนและ ARM Cortex-A7 อีก 4 แกน ถึงแม้จะไม่ใช่ระดับสูงสุดในปัจจุบันของ Samsung แต่ก็ถือว่าให้ประสิทธิภาพที่ดีและเพียงพอสำหรับการใช้งาน เมื่อผนวกกับ RAM 3GB และ GPU Mali-T628 ลองมาดูคะแนนจากโปรแกรม Benchmark กันดีกว่า
Antutu Benchmark
Geekbench 3
PCMark
3DMark
แน่นอนครับ ตัวเลขการวัดประสิทธิภาพจาก Benchmark เหล่านี้ไม่สามารถบอกได้ว่า เครื่องช้า เครื่องเร็ว เครื่องกระตุกในการใช้งานขนาดไหน นั่นเป็นเรื่องที่เราต้องสัมผัสเองจากการใช้งานจริง แต่ตัวเลขเหล่านี้ยังพอบอกได้ว่า มือถือรุ่นจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหน ซึ่งจากคะแนนของ MX4 Pro เราพอจะบอกได้ว่า มือถือรุ่นนี้จัดอยู่ในระดับค่อนไปทางเรือธงในปัจจุบัน ดังนั้นประสิทธิภาพการใช้งานทั่วไปควรจะไม่มีอาการสะดุด และ MX4 Pro ก็ทำได้อย่างนั้น การใช้งานนั้นลื่นไหล ไม่สะดุดมือ เล่นอินเตอร์เน็ต ฟังเพลง ดูวิดีโอ สามารถสลับการใช้งานไปมาระหว่างแอพเหล่านี้ได้สบายๆ ในส่วนของการเล่นเกมส์เอง GPU Mali-T628 ก็สามารถเติมเต็มการแสดงภาพ 3 มิติของเกมส์ได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวพบว่าระหว่างเล่นเกมส์นั้นเครื่องจะร้อนพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงขั้นทนไม่ไหวนะครับ
ในส่วนของแบตเตอรี่ 3,350 mAh ที่ให้มาใน MX4 Pro นั้นถือว่าใช้งานได้พอเพียงสำหรับ 1 วัน โดยผมทดสอบใช้งานในเรื่องปกติประจำวัน เช่น การใช้งาน facebook, การเล่นอินเตอร์เน็ต, การฟังเพลง และเล่นเกมส์บ้างเล็กน้อย พบว่าสามารถใช้งานได้ถึงเกือบ 13 ชั่วโมง พอถึงบ้านแบตก็เหลืออยู่ประมาณ 11% สามารถเสียบชาร์จได้พอดี และก็เหมือนสมาร์ทโฟนทั่วไปที่ “หน้าจอ” คือตัวที่กินพลังงานมากที่สุดนะครับ แต่หน้าจอ JDI ของ MX4 Pro ก็น่าเปิดใช้งานบ่อยๆ เพราะมันแสดงภาพได้สวยงามจริงๆ
ระบบ Hi-Fi
อย่างที่ผมได้เล่าไปแล้วว่า Meizu นั้นเป็นบริษัทที่เกิดมาจากการทำ MP3 Player จำหน่ายมาก่อนที่จะทำมือถือ ดังนั้นระบบเสียงจึงเป็นความชำนาญเฉพาะด้านของ Meizu และมือถือของ Meizu ก็ได้รับอานิสงค์ตรงนี้มาด้วย โดยเจ้า MX4 Pro จะมีฝังชิป DAC รุ่น ES9018K2M และแอมป์ OPA1612 มาในตัว ซึ่งเคลมว่ามีค่า Signal-to-noise ratio (SNR) สูงสุด 114dB และมีค่า Dynamic range ถึง 123dB งานนี้รับรองว่าถ้าได้จับคู่กับหูฟังดีๆสักคู่หรือลำโพงเยี่ยมๆสักชุด ไม่อยากจะพูดถึง โดยเราสามารถไปปรับค่า Gain ของ DAC ได้ใน Settings ส่วนของ Hi-Fi Sound ซึ่งจะมีค่าให้ปรับอยู่ 4 แบบคือ
- Auto ระบบจะปรับให้เอง
- Low gain สำหรับหูฟังแบบ Earbud หรือ In-ear
- High gain สำหรับหูฟังแบบครอบหรือ Full-size
- Line out สำหรับต่อแอมป์ต่างหากหรือต่อลำโพง
โดยส่วนตัวผมใช้หูฟัง Visang R04 อยู่ก็พบว่าการฟังเพลงนั้นมีมิติมากขึ้น เสียงเบสชัดเจนมากขึ้น เสียงร้องใสและชัดขึ้น และยังได้ยินเสียงเครื่องดนตรีชัดขึ้นด้วยเช่นกัน คุณภาพเสียงดีอย่างไม่ต้องสงสัย แถมตัว Music Player ในมือถือเองยังรองรับไฟล์เพลง lossless แบบ FLAC และ APE ด้วย คนที่ชอบมือถือเสียงดีและชอบ Audiophile ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์สุดๆไปเลย
กล้องถ่ายภาพ
Meizu MX4 Pro มาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 20 ล้านพิกเซล ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX220 ที่มีเลนส์ 5 ชิ้น f/2.2 กระจกกล้องเป็นแซฟไฟร์ป้องกันรอยขีดข่วน และไฟแฟลชคู่ Dual-LED ตัวกล้องจะถ่ายรูปในอัตราส่วน 4:3 เป็น native ratio โดยกล้องจะโหมดถ่ายรูปให้เลือกเล่นอยู่หลายโหมดด้วยกัน การเปลี่ยนโหมดสามารถใช้นิ้วปัดไปทางซ้ายหรือขวา หรือจะแตะไปที่รูปสัญลักษณ์ของโหมดด้านบนหน้าจอก็ได้ โหมดที่น่าจะได้ใช้กันประจำคือ Auto ซึ่งเป็นโหมดพื้นฐานที่ตัวกล้องจะคำนวนทุกอย่างให้อัตโนมัติ ถ่ายไได้เลยไม่ต้องคิดมาก ถ้าคิดมากเชิญที่โหมด Manual โหมดซีเรียสสำหรับคนที่ชอบการถ่ายรูปแบบปรับค่าได้เอง ซึ่งก็จะมีค่าให้ปรับพอสมควร ทั้ง Shutter Speed, ISO, Exposure และ Focal length ที่เหลือก็เป็น mode เสริม เช่น Beauty โหมดถ่ายภาพ Portrait ที่แอบใส่ effect เกลี่ยผิวหน้าให้เรียบร้อย รวมถึง Panorama, Light field , Slowmotion และ Microspur หรือ Macro นั่นเอง
คุณภาพของภาพถ่ายจากกล้องของ MX4 Pro นั้นดีเลยครับ แต่นั่นเกิดจากความพยายามอยู่ 2-3 ครั้งในแต่ละรูป เพราะว่าถ่ายได้ช้าเหลือเกิน กว่าจะ save รูปได้แต่ละครั้งกินเวลาพอสมควร เข้าใจว่าเพราะความละเอียด 20 ล้านพิกเซล แต่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ นอกจากนั้นระบบโฟกัสก็ไม่คงเส้นคงวาเท่าไหร่ บางทีโฟกัสหลุดแบบไม่มีเหตุผล หรือบางทีว่านิ่งแล้ว แต่พอดูรูปจริงภาพเบลอซะงั้น ความรู้สึกเหมือนกล้องเพิ่งจับภาพหลังจากที่เรากดถ่ายไปแล้วนิดหน่อย ลองมาดูภาพเลยแล้วกันครับ
ภาพตอนกลางวัน
ภาพในที่แสงน้อย
สำหรับการถ่ายวิดีโอด้วย MX4 Pro ก็ถือว่าได้คุณภาพที่ดี แต่ตอนที่กดถ่ายครั้งแรกนั้นตัวกล้องจะยังไม่โฟกัสให้เรา ต้องเอานิ้วแตะเพื่อให้โฟกัสก่อนถึงจะได้ภาพและแสงที่ต้องการ ลองดูคลิปตัวอย่างกัน
กล้องหน้าของ MX4 Pro ใช้เซ็นเซอร์ OmniVision OV5693 ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ค่า aperture ของเลนส์ที่ f/2.2 โดยภาพที่ได้ก็อย่างที่เห็น มีโหมด Beauty เตรียมพร้อมาให้สาวๆแน่นอน
บทสรุปทิ้งท้าย
Meizu MX4 Pro เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน โดยเน้นที่ความเรียบง่าย แต่ดูดีสำหรับคนใช้ และด้วยขอบหน้าจอเพียงน้อยนิดยิ่งช่วยตอกย้ำเรื่องานออกแบบน้อยๆแต่ดูดีได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่มันถูกวางตัวเป็นเรือธงของบริษัท สเปกของ MX4 Pro จึงจัดมาเต็มทั้งหน้าจอ 2K QHD, CPU ระดับเกือบท็อป, ระบบสแกนลายนิ้วมือ, ระบบเสียง Hi-Fi สำหรับคอเพลง รวมไปถึง FlymeOS ระบบปฏิบัติการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Meizu ก็ออกแบบมาได้สวยงามเช่นกัน
แต่ของดีไม่ใช่ของเพอร์เฟ็ค จุดด้วยที่ MX4 Pro ยังทำได้ไม่ดีนักคือเรื่องการถ่ายภาพที่ควรจะทำได้ดีกว่านี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณภาพของภาพถ่าย แต่อยู่ที่การถ่ายภาพ เพราะถ่ายภาพได้ค่อนข้างช้ากว่าที่ควรจะเป็น รวมไปถึงปัญหาโฟกัสหลุดเป็นครั้งคราวที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ตรงนี้เข้าใจว่าน่าจะดีขึ้นได้ในอัพเดต Android Lollipop ที่กำลังจะปล่อยให้อัพเดตเร็วๆนี้
สำหรับราคาของ MX4 Pro นั้นถือว่าไม่แพงมาก โดยมีราคาประมาณ 12,500 บาท แต่ได้สเปกที่คุ้มค่าเกินราคาไปเยอะ ยิ่งเทียบกับมือถือเรือธงสมัยนี้แล้วถือว่า ราคาห่างชั้นกันเลย แต่ปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งคือ “ไม่มีขายในประเทศไทย” ครับ ต้องหาซื้อเครื่องหิ้วกันอย่างเดียวเลย สำหรับคนที่ไม่ได้สนใจเรื่องประกันศูนย์ ขอแนะนำว่ารุ่นนี้เป็นอีก 1 รุ่นที่ควรอยู่ใน list ของท่านแน่นอน
ทำผลงานออกมาได้ดีกว่ามือถือ sony ที่ใช้ sensor เดียวกันซะอีกนะครับ 55 รอ sony ปล่อยให้ถ่าย raw ได้อยู่
นั่นสิครับ
+1 คิดเหมือนกัน
นึกว่าผมคิดไปคนเดียวเสียอีก ทั้ง Z1, Z2 สู้รุ่นท็อปค่ายอื่นไม่ค่อยได้ Z3, Z3 Compact ดีขึ้นมาหน่อย
รสนิยมการฟังเพลงคล้ายกันเลยครับ
จริงเหรอเนี่ย คอเดียวกัน 55
ถ้าวัดเรื่องการฟังเพลงจากหูฟังนี่.. ระหว่าง Meizu กับ Vivo เจ้าไหนเหนือกว่าหรือครับ?
MX4pro ดีกว่าเยอะ มีเนื้อมีหนัง เสตจดีกว่า
MX4Pro ดีกว่าคับ ผมใช้อยู่
เสียงเทพมาก
แต่กล้องผมว่าของ Oppo Find 7 ดีกว่า
ยืนยันอีกคนครับ mx4pro เสียงดีกว่า vivo x5max xplay3s ครับ ใช้มาแล้ว ส่วนกล้องจากที่ใช้ถ้าถ่ายด้วย 20M มันจะเซฟรูปช้า ถ้าไม่ได้ต้องการความละเอียดมากให้ใช้ ความละเอียดกลาง 12M จะไวมากๆผมใช้ไม่มีปัญหาเลย ลองดูครับผม
ปล.รีวิวได้ละเอียดมาก
จริงๆครับ เพราะตอนแรกกล้องจะ default มา 12M นี่แหละ แต่ทำรีวิวเลยจำเป็นต้องเอาความละเอียกสูงสุดไว้ก่อนครับ ซึ่ง 20MP ที่ช้ามากเลย
รีวิวละเอียดเว่อรืเลยครับ ผมละงงกับปุ่ม Back เหมือนกัน เราตั้งให้กดทีเดียวกลับ กดค้างเข้าโฮมได้ไหมครับ
ผมซื้อมาเพื่อฟังเพลงโดยเฉพาะ ไม่ต้องสนใจศูนย์เพราะซ่อมเองสั่งอะไหล่มา ชอบมากดีกว่าแบรนด์ต่างๆในราคาเดียวกันมาก และชอบที่มีคนชอบถามว่ามือถือ ยี่ห้อไร รุ่นไหน ซื้อจากไหน ราคาเท่าไหร่
ขอถามหน่อยครับ เสียงผ่านหูฟังและลำโพง เทียบกับ htc – vivo – meizu เป็นยังไงบ้างครับ คุณภาพ+ความดัง
ส่วนตัวคิดว่า ถ้าผ่านหูฟังน่าจะตัด HTC ออกไปได้เลย ส่วนระหว่าง vivo กับ Meizu ถ้าเทียบระหว่างรุ่นที่ใช้ DAC เหมือนกันอย่าง vivo X3S ผมว่า Meizu จะเป็นต่อกว่าเพราะใส่แอมป์มาให้ด้วยครับ
ในส่วนของลำโพงพูดยาก แต่ของ Meizu นี่ดังมากเลย ดังจนหนวกหูครับ 55
อยากรู้ว่า Shutter Speed ปรับได้สูงสุดกี่วินาทีครับ
ประมาณนี้ครับ
ว้าว 20วิ เหมือนว่าของ G4 ก็ได้ประมาณนี้เหมือนกัน ขอบคุณครับ
ตรงส่วน Security ยังกะคู่แฝดของ Mi เลย
-ชิพเสียง กับ vivo xplay3s ตัวไหนดีกว่ากัน
-การอัพเดท เทียบกับ xiaomi อันไหนบ่อยกว่ากัน ถ้าแพ้ xiaomi ถามว่าถ้าเทียบกับ zenfone 5 อันไหนอัพบ่อยกว่ากัน
-ชิพเสียง กับ vivo xplay3s ตัวไหนดีกว่ากันทั้ง Meizu MX4 Pro กับ vivo Xplay3S ใช้ DAC ตัวเดียวกันคือ ES9018 ตรงนี้เท่ากัน แต่แอมป์ทั้งสองรุ่นไม่เหมือนกันครับ MX4 Pro ใช้ OPA1612 ส่วน Xplay3S ใช้ OPA2604 ซึ่งผมคิดว่าของ Meizu ดีกว่านะ จากกราฟ -การอัพเดท เทียบกับ xiaomi อันไหนบ่อยกว่ากัน ถ้าแพ้ xiaomi ถามว่าถ้าเทียบกับ zenfone 5 อันไหนอัพบ่อยกว่ากันอันนี้ผมต้องให้เพื่อนสมาชิกท่นอื่นช่วยตอบ เพราะเพิ่งจับไม่นานครับ แต่เดาว่า Zenfone 5 อัพเดตบ่อยกว่านะ เพราะออกมาแก้ bug เรื่อยเลย
โดยปกติ Meizu อัพเดททุก 1 เดือนครับ
ผมใช้ MX4 อยู่ครับ
ในทางเทคนิคชิพเสียงตัวเดียวกัน แต่ Mx4pro มี opamp ที่คุณภาพดีกว่า
ในการฟังผมใช้ทั้งสองตัวนะ ชอบ Mx4pro มากกว่า xplay3s แต่ๆ Xplay3s เสียง ลำโพง มันสุดยอดมากทำผมอึ้งไปเหมือนกัน HTC m8 นี่ กากไปเลย นึกว่า ใช้ ลำโพง blutooth ตัวละ 2000+ อยู่
การอัพเดท คล้ายๆ xiaomi ครับ คืออัพทุกวันศุกร์ แต่ไม่ OTA งงไหม คือต้องไปโลหด ในเวป จีนครับ ซึ่งยากกว่า แต่ก็ไม่ยากเท่าไหร่ ผมทำประจำ
zenfone ไม่ออกความเห็นดีกว่า
รอ update Lollipop version ใหม่
รอ update Lollipop version ใหม่
ไม่มีแจ้งเตือนไอคอน ต้องรูท ฮือๆ
ตั้งค่า HIFI ต้องต่อหูฟังเท่านั้นหรือครับ
ถ้าใช้ลำโพงที่ติดมากับเครื่องต้องตั้งค่าแบบไหนครับ
ไม่ได้นะครับเท่าที่ลอง
รีวิวละเอียดมากครับ
ส่วนตัวผมว่าพอเอาปุ่มสแกนนิ้มเข้ามา เลยเสียฟังก์ชั่น ในการรูดขึ้นผ่านปุ่มโฮมเพื่อ Back, กดค้างเพื่อปิดจอก็หายไป จะใช้สมาร์ทบาร์ก็ต้องเสียพื้นที่จไปเล็กน้อย
Meizu เลยพยายามเอา เกสเจอร์ต่างๆเข้ามาใช้เพื่อทดแทนปุ่มโฮมเดิม แต่ผมว่ากลับทำให้มันใช้ยากขึ้น
ตัวผมเคยชินกับ MX2 เลยตัดสินใจซื้อ MX4 แทนที่จะเลือก MX4 Pro เพราะผมว่าแสกนลายนิ้วมือมันไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่
rom ของ meizu เสถียงนิ่ง พอสู้ของ htc lg ได้มั้ยครับ
ถ้า factory reset ใหม่ ใช้งานได้เลย โดนไม่ต้อง ขอ รหัส บัญชีเดิม จากคนเก่าก็ได้รึป่าว ถ้ารับต่อมา
อยากทราบเรื่องความเร็ว CPU ถ้าเทียบกับ CPU ของ OPPO Find 7q ตัวไหนแรงกว่ากันครับ
สวยมากเลยตัวนี้อยากได้ชอบๆๆๆ แต่ว่าเราได้ไปเจอที่เว็บนี้http://www.topvalue.com/product-9.html
มาอ่ะดิ ลองเข้าไปดูนะ เผือสนใจ