Microsoft ออกมายอมรับอย่างเป็นทางการแล้วว่า มีฟีเจอร์อยู่ สองอย่าง ในระบบปฏิบัติการ Windows 11 และ Windows 10 ที่อาจส่งผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงกว่าปกติ แม้ว่าฟีเจอร์เหล่านี้จะออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสะดวกและประสบการณ์ใช้งานที่ดีขึ้นก็ตาม
ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจาก Microsoft เผยเคล็ดลับ “การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ Windows” ให้กับผู้ใช้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคำแนะนำพื้นฐาน เช่น อัปเดตระบบให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด, รีสตาร์ตเครื่องเป็นระยะ, ล้างพื้นที่เก็บข้อมูล, และตรวจสอบมัลแวร์เป็นประจำ แต่ในรายละเอียด Microsoft ก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า มีบางฟีเจอร์ในระบบที่ “กินทรัพยากร” จนทำให้เครื่องหน่วงได้จริง

1. OneDrive Sync ฟีเจอร์สำรองไฟล์ที่อาจทำให้เครื่องหน่วงโดยไม่รู้ตัว
ฟีเจอร์ OneDrive Sync คือระบบซิงก์ไฟล์อัตโนมัติของ Microsoft ที่ช่วยสำรองข้อมูลจากเครื่องขึ้นคลาวด์ เพื่อให้ผู้ใช้เข้าถึงไฟล์จากอุปกรณ์ใดก็ได้ผ่านอินเทอร์เน็ต รวมถึงช่วยป้องกันการสูญหายของไฟล์ในกรณีที่เครื่องเสียหายหรือหายไป
ทาง Microsoft ระบุเองว่า การซิงก์ไฟล์แบบเรียลไทม์นี้อาจทำให้เครื่องช้าลงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการอัปโหลดหรือดาวน์โหลดไฟล์จำนวนมาก เช่น เมื่อมีการซิงก์โฟลเดอร์ Desktop, Documents หรือ Pictures ทั้งหมดขึ้นคลาวด์ เนื่องจากกระบวนการนี้ใช้ทรัพยากรทั้ง CPU, RAM และแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ต

Microsoft เขียนไว้ชัดเจนว่า
“OneDrive โดยค่าเริ่มต้นจะซิงก์ไฟล์ของคุณแบบอัตโนมัติ เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้จากทุกอุปกรณ์ แต่กระบวนการซิงก์นี้อาจทำให้เครื่องช้าลงได้ คุณสามารถหยุดการซิงก์ชั่วคราวเพื่อดูว่าประสิทธิภาพดีขึ้นหรือไม่”
ข่าวดีก็คือใน OneDrive ดีไซน์ใหม่บน Windows 11 ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน มีการปรับปรุงระบบเบื้องหลังให้ “เบาเครื่อง” มากขึ้น โดย Microsoft ระบุว่าการอัปเดตใหม่นี้ใช้ทรัพยากรน้อยลง และจัดการการซิงก์ไฟล์ให้ชาญฉลาดกว่าเดิม เพื่อไม่ให้เครื่องต้องทำงานหนักตลอดเวลาเหมือนที่ผ่านมา

2. Visual Effects เอฟเฟกต์ภาพเคลื่อนไหวสวย ๆ ที่แลกมาด้วยความหน่วง
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ Microsoft ชี้ว่ามีผลต่อประสิทธิภาพคือ เอฟเฟกต์ภาพเคลื่อนไหว (Visual Effects) ซึ่งเป็นลูกเล่นตกแต่งอินเทอร์เฟซของ Windows ให้ดูสวยงาม ทันสมัย และเคลื่อนไหวลื่นไหล เช่น เงาหน้าต่าง แอนิเมชันการเปิดปิดเมนู และเอฟเฟกต์การเฟดอิน-เฟดเอาท์
Microsoft ระบุว่า เอฟเฟกต์เหล่านี้แม้จะทำให้หน้าตาดูดีขึ้น แต่ก็ใช้ทรัพยากรระบบเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเครื่องที่มี RAM หรือ GPU น้อย
“Windows 11 มีเอฟเฟกต์ภาพหลายแบบที่ดูดี แต่ก็ใช้หน่วยความจำและพลังประมวลผลมากขึ้น อาจทำให้เครื่องช้าลงได้ โดยเฉพาะในเครื่องที่มีสเปกต่ำ”

หากผู้ใช้รู้สึกว่าเครื่องทำงานช้า สามารถปิดเอฟเฟกต์เหล่านี้ได้ง่าย ๆ ด้วยขั้นตอนต่อไปนี้
- พิมพ์คำว่า “performance” ในช่องค้นหา (Search)
- เลือก “Adjust the appearance and performance of Windows”
- ในแท็บ “Visual Effects” ให้เลือก “Adjust for best performance”
หรือเข้าไปปิด Animation Effect ใน Settings หลังจากนั้นระบบจะปิดเอฟเฟกต์ภาพทั้งหมด เพื่อให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด

เคล็ดลับอื่น ๆ จาก Microsoft สำหรับเร่งความเร็วเครื่อง
นอกจากสองฟีเจอร์หลักที่กล่าวไปแล้ว Microsoft ยังแนะนำวิธีพื้นฐานที่ช่วยเพิ่มความเร็วให้กับระบบได้ เช่น
- อัปเดต Windows และไดรเวอร์ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ
- ตรวจสอบไวรัสหรือมัลแวร์ที่อาจทำให้เครื่องทำงานผิดปกติ
- ล้างพื้นที่เก็บข้อมูล (Storage) ให้เหลือเพียงพอสำหรับระบบ
- รีสตาร์ตเครื่องเป็นระยะ เพื่อเคลียร์หน่วยความจำชั่วคราว
- สำหรับ Windows 10 สามารถใช้ ReadyBoost (การใช้ USB/SD Card เป็นแคชเสริม) ได้ แม้ว่า Windows 11 จะไม่มีฟีเจอร์นี้แล้ว
- ปรับขนาด Page File หรือไฟล์หน่วยความจำเสมือนให้เหมาะสมกับสเปกเครื่อง

สุดท้าย Microsoft ก็ยืนยันด้วยตัวเองว่า OneDrive Sync และ Visual Effects เป็นสองฟีเจอร์หลักที่อาจทำให้เครื่อง Windows ของคุณช้าลงได้จริง แต่ในอัปเดตใหม่ โดยเฉพาะ OneDrive ดีไซน์ใหม่บน Windows 11 นั้น ได้มีการปรับปรุงให้ใช้ทรัพยากรน้อยลง เพื่อช่วยให้ระบบทำงานได้ไวขึ้น
ดังนั้น หากรู้สึกว่าเครื่องหน่วง ๆ อยู่ แค่ “หยุดการซิงก์ OneDrive ชั่วคราว” หรือ “ปิดเอฟเฟกต์ภาพเคลื่อนไหว” ก็สามารถช่วยให้ระบบกลับมาลื่นขึ้นได้โดยไม่ต้องติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเลย
ที่มา : Neowin
Comment