Microsoft ออกมายอมรับแล้วว่าฟีเจอร์หลักเกือบทั้งหมดของ Windows 11 ทำงานไม่เสถียร โดยพบว่าปัญหามาจากบั๊กในระบบ XAML ที่เป็นส่วนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ UI ของระบบปฏิบัติการ ส่งผลให้ Start Menu, Taskbar, Explorer และหน้า Settings รวมถึงองค์ประกอบของระบบอื่น ๆ มีปัญหาหรือเปิดไม่ขึ้น ปัญหานี้เริ่มปรากฏตั้งแต่แพตช์เดือนกรกฎาคม 2025 รหัส KB5062553 และเพิ่งมีการระบุอย่างเป็นทางการในเดือนพฤศจิกายน ทำให้กลายเป็นประเด็นที่ผู้ใช้จำนวนมากให้ความสนใจ

Windows 11 Dynamic Wallpapers

XAML เป็นระบบที่ Windows ใช้ในการแสดงผลและจัดการ UI จำนวนมาก เช่น Start Menu, Search, Taskbar ไปจนถึงหน้าต่างของ Explorer และ Settings ดังนั้นเมื่อแพ็กเกจ XAML provisioning ไม่สมบูรณ์ การแสดงผลของบริการเหล่านี้ก็จะทำงานผิดปกติเป็นทอด ๆ Microsoft อธิบายว่าปัญหาเกิดจากแพ็กเกจสำคัญหลายชุด ได้แก่ MicrosoftWindows.Client.CBS, Microsoft.UI.Xaml.CBS และ MicrosoftWindows.Client.Core แพ็กเกจเหล่านี้ถูกอัปเดตในแพตช์เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดความผิดพลาดในขั้นตอนการติดตั้ง ทำให้บริการที่พึ่งพา XAML ไม่สามารถโหลดได้ตามปกติ

สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้รุนแรงขึ้นคือ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 และ 25H2 ใช้โค้ดฐานเดียวกัน ส่งผลให้ผู้ใช้ทั้งสองเวอร์ชันได้รับผลกระทบเหมือนกัน อาการที่พบมีตั้งแต่ StartMenuExperienceHost ไม่ทำงาน Taskbar ไม่แสดง Explorer.exe ล่มแบบเงียบ ๆ จนไปถึงแอปที่ใช้ XAML crash ทันทีที่เปิด

นอกจากนี้ Microsoft ยังระบุว่าปัญหาจะเกิดเด่นชัดในสองสถานการณ์ คือหลังล็อกอินครั้งแรกหลังการติดตั้งอัปเดต และบนระบบที่เป็น non-persistent เช่น VDI หรือระบบ NoHDD ที่ต้องโหลดแพ็กเกจใหม่ทุกครั้ง ทำให้ระบบใช้งานไม่เสถียร

ในตอนนี้ Microsoft ยังไม่มีแพตช์แก้ไขถาวรสำหรับปัญหาดังกล่าว แต่ได้เสนอแนวทางแก้ไขชั่วคราวเพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานระบบต่อไปได้ วิธีแรกคือการรันคำสั่ง PowerShell เพื่อ register แพ็กเกจที่มีปัญหาใหม่ให้ระบบรู้จักอีกครั้ง ช่วยให้ส่วนของ Shell โหลดขึ้นมาได้ครบถ้วน ส่วนวิธีที่สองคือการใช้สคริปต์ที่ช่วยหน่วงการเปิด Explorer ไม่ให้เริ่มทำงานก่อนที่แพ็กเกจทั้งหมดจะ provisioning เสร็จ วิธีนี้ทำให้ระบบสามารถโหลดส่วนประกอบสำคัญได้อย่างถูกต้อง และลดโอกาสที่ UI จะพังตั้งแต่ก่อนเข้าหน้า Desktop

สำหรับผู้ใช้ทั่วไปให้ใช้คำสั่งตามนี้

เปิดโปรแกรม PowerShell แบบ Run as adminstrator ขึ้นมาแล้วคัดลอกคำสั่งนี้ไปวาง

Add-AppxPackage -Register -Path ‘C:\Windows\SystemApps\MicrosoftWindows.Client.CBS_cw5n1h2txyewy\appxmanifest.xml’ -DisableDevelopmentMode 

Add-AppxPackage -Register -Path ‘C:\Windows\SystemApps\Microsoft.UI.Xaml.CBS_8wekyb3d8bbwe\appxmanifest.xml’ -DisableDevelopmentMode 

Add-AppxPackage -Register -Path ‘C:\Windows\SystemApps\MicrosoftWindows.Client.Core_cw5n1h2txyewy\appxmanifest.xml’ -DisableDevelopmentMode 

แม้ว่าวิธีเหล่านี้จะช่วยบรรเทาปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ใช่การแก้แบบสมบูรณ์ ผู้ใช้จำนวนมากยังคงรออัปเดตแก้ไขจาก Microsoft ซึ่งระบุว่ากำลังเร่งพัฒนาชุดแพตช์เพื่อแก้ไขปัญหา XAML provisioning อย่างถาวร คาดว่าเมื่อแพตช์พร้อมจะมีประกาศแจ้งเพิ่มเติมผ่านหน้า Support ของ Windows ต่อไป

ที่มา : neowin