ใกล้จะถึงวันงาน Thailand Mobile Expo 2011 Showcase เข้าไปทุกทีแล้วนะครับ
จะซื้ออันดรอยด์รุ่นไหนดีคะ ? ระหว่าง 2 รุ่นนี้จะซื้อรุ่นไหนดีครับ ?
Android รุ่นไหนที่น่าซื้อบ้างครับ ? Android รุ่นนี้ดีมั้ยครับ ? และอีกมากมาย
คำถามเหล่านี้จัดอยู่ในคำถามยอดฮิตอันดับต้นๆที่สามารถตอบได้ทุกวันเลยทีเดียวครับ ด้วยความที่ android มีให้เลือกหลายรุ่น หลายยี่ห้อมาก และแต่ละเครื่องก็ดันมีเสปกรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันมันก็เหมือนๆกับการที่เราเลือกใช้คอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งที่แต่ละเครื่องจะมีเสปกที่ไม่เท่ากันนั่นแหละครับ
แต่กับมือถืออันดรอยด์แล้วนั้น กลับมีปัจจัยในการเลือกที่มากและยากกว่าการเลือกซื้้อคอมพิวเตอร์หรือ Notebook สักเครื่องนึงเสียอีก
เพราะอะไร? ก็เพราะว่าการเลือกซื้ออันดรอยด์นั้นไม่ได้เจาะจงดูแต่ความเร็วซีพียู แรม ความจุฮาร์ดดิสก์หรือยี่ห้อ เพียงแค่นั้น แต่ต้องดูรายละเอียดต่างๆที่มากกว่านั้นไปอีกหนึ่งขั้น เช่น ประเภทของหน้่าจอ ความละเอียดของหน้าจอ การซัพพอร์ตของซอฟแวร์ ส่วนประกอบของฮาร์ดแวร์ภายใน (เช่นพวกเซนเซอร์ต่างๆ) และอีกมากมาย
ความเสถียรภาพของเฟิร์มแวร์ซึ่งแต่ละยี่ห้อหรือแต่ละรุ่นนั้นก็กลับไม่เหมือนกันอย่างที่มาตรฐานของวงการ PC เลย หรือที่เรียกกันว่าปัญหา Fragmentation นี่แหละ จึงทำให้มีปัจจัยอีกเยอะแยะมากมายในการเลือกที่ต้องอาศัยการศึกษาอย่างค่อยเป็นค่อยไป นี่คือความยุ่งยากของผู้ใช้อันดรอยด์ในการเลือกซื้อ เพราะการเลือกซื้อนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแบบการเลือกแค่ระหว่างมือถือและแท็ปเล็ตอย่าง Ipad ,Iphone (หลายๆคนตัดปัญหาโดยการซื้อ Iphone4 ไปเลย เลือกง่ายดี ฮ่าๆ)
วันนี้ผมก็เลยจะมาพูดถึงวิธีการเลือกซื้อมือถือ Android ให้ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดกันในภาษาชาวบ้านๆครับ
สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนที่จะทราบว่าจะซื้อ Android รุ่นไหนดี นั่นก็คือ “ความต้องการของเรา” ตังหากครับ แน่นอนเมื่อเรารู้ว่าเราต้องการจะซื้อมือถือเครื่องนี้มาทำอะไร หรือมีเหตุผลในการเลือกซื้ออย่างไร รูปทรงความสวยงาม? ต้องการใช้งานแบบใด ? หรือแม้แต่ราคา ต้องการให้มันตอบสนองอะไรบ้าง เมื่อรู้ว่าเราต้องการอะไรแล้ว ก็ค่อยมาดูข้อมูลในการตัดสินใจกันอีกที ในกระทู้นี้ได้จะรวบรวมข้อมูลในการตัดสินใจไว้อย่างพอสังเขป
1. ขนาด
คุณต้องรู้ก่อนว่า คุณต้องการสิ่งของที่ขนาดเท่าใด เล็กหรือใหญ่ ต้องการความสะดวกในการใช้งานหรือต้องการความสะดวกในการพกพามากกว่า เช่น ระหว่าง Galaxy Tab กับ Galaxy S นั้น ราคาเท่ากัน ซีพียูความเร็วเท่ากัน ความสามารถในการใช้งานก็ใกล้เคียงกัน แต่ด้วยขนาดที่แตกต่างกันจะทำให้การใช้งานที่ได้นั้นแตกต่างกัน
Galaxy Tab อาจจะเหมาะสำหรับการท่องอินเตอร์เน็ตมากกว่าการโทร สำหรับคนที่ต้องการใช้ความสามารถของสมาร์ทโฟนแต่นำมาใช้ในแง่ของแท็ปเล็ต ส่วน Galaxy S แม้จะสามารถเล่นเว็บเบราเซอร์ได้เหมือนกับ Galaxy Tab แต่การใช้งานในการท่องอินเตอร์เน็ตเป็นหลักก็คงไม่สะดวกเท่ากับ Galaxy Tab
แต่ถ้าคุณต้องการความสะดวกในการพกพาเป็นหลัก ก็คงต้องเลือกทีขนาดที่เล็กกว่าอย่าง Galaxy S เป็นต้น
2. การใช้งาน
ถ้าหากว่าขนาดไม่ใช่เรื่องที่คุณแคร์ การพกการจะไม่ใช่เรื่องในการตัดสินใจของคุณ คุณก็อาจจะต้องดูที่การใช้งานเป็นหลักก็ได้ ตามสิ่งต่างๆดังนี้
2.1 ท่องอินเตอร์เน็ต
ถ้าคุณต้องการท่องอินเตอร์เน็ตเป็นหลักโดยไม่มีปัจจัยอื่นๆเช่นด้านความสะดวกในการพกพาแล้ว คุณควรจะเลือกมือถือที่มีหน้าจอใหญ่ เช่น 4 นิ้วขึ้นไป หรือสำหรับคนที่ไม่เน้นโทรอาจจะเปลี่ยนไปใช้แท็บเล็ตอย่าง 7 นิ้ว หรือ 10 ไปเลยและถ้่าเป็นมือถือก็ควรเลือกความละเอียดที่หน้าจอค่อนข้างสูงหน่อย โดยควรมีความละเอียดระดับ WVGA หรือ 800×480 pixel เป็นอย่างต่ำ เพราะยิ่งความละเอียดมากๆ ก็จะยิ่งทำให้อ่านสบายตา และแน่นอนขนาดที่ใหญ่ก็จะยิ่งทำให้คุณท่องอินเตอร์เน็ตได้สะดวกขึ้นมาก
2.2 ใช้ทางด้านติดต่อสื่อสาร
ถ้าคุณจะใช้งานด้านการติดต่อสื่อสารเป็นหลัก เช่น โทร เข้า ออก เช็คเมลล์ ติดต่องานแต่ยังต้องการความสะดวกในการพกพาแล้ว ควรเลือกมือถือขนาดกลางๆ เช่น 3.2-4 นิ้ว เพราะขนาดกำลังพอเหมาะกับที่จะสามารถติดต่อสื่อสารได้สะดวกและยังคงความสามารถที่สมาร์ทโฟนมีอยู่ไว้เหมือนเดิม หรือถ้าเน้นพิมพ์ข้อความ ส่งเมลล์บ่อยๆหรือแม้กระทั่ง Social Network ก็ควรเลือกชนิดที่มีฮาร์ดแวร์คีย์บอร์ดด้วยก็ทำไห้การพิมพ์ทำได้อย่างสะดวกมากขึ้น
2.3 ใช้งานด้านมัลติมีเดีย
คงมีคนอยู่ไม่น้อยที่ต้องการ Android มาตอบสนองด้านความบันเทิงเป็นหลัก เช่นการเล่นเกมส์ ดูคลิปวีดีโอระดับ 720p หรือ 1080p Full HD เป็นต้น ซึ่งการตอบสนองด้านมัลติมีเดียและบันเทิงนี่ละครับ ที่ต้องการเสปกของ Android ในระดับที่ค่อนข้างสูง และราคาที่ค่อนข้างแพงไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น
– การเล่นเกมส์
ถ้าคุณต้องการเล่นเกมส์เป็นอาชีพ มือถือที่ใช้ซีพียู Nvidia Tegra2 คือมือถือที่คุณใฝ่หาในปัจจุบัน เพราะจะมีเกมส์ระดับ HD ที่ภาพสวยโฮกอยู่ที่เป็นแบบ exclusive เฉพาะสำหรับซีพียูตัวนี้อยู่มากมาย ที่เรียกกันว่า Tegra Zone นั่นเอง ซึ่งเจ้า Tegra 2 นี้มันมีความสามารถให้การประมวลผลด้าน 3D ที่สูงเกือบจะที่สุดในจำนวนมือถือที่วางขายอยู่เลย (**บางวิธีการเรนเดอร์เท่านั้นและอยู่ที่การ optimize ของแต่ละเครื่องด้วย)
ตารางแสดงความสามารถด้านการเล่นเกมส์ของแอพ smartbench 2011
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า tegra 2 มีประสิทธิภาพสูง
แต่เจ้า Tegra 2 ก็ยังมีข้อเสียอยู่อย่างก็คือจะไม่สามารถเล่นไฟล์ที่ใช้ codec H264 ชนิดที่รายละเอียดสูงๆ(High profile)ได้ดี เพราะ cpu ไม่รองรับการถอดรหัสบางประเภท บางครั้งจึงต้องใช้ Softwere Codec ผ่านแอพแทนก็จะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร จุดนี้ขอไม่ลงลึกในรายละเอียด เดี๋ยวจะ geek เกินครับ ^^ สรุปให้ฟังว่า tegra 2 นั้นเล่นวีดีโอไฟล์ขนาดใหญ่ๆที่ความละเอียดสูงๆได้ไม่เก่งนั่นเองครับ (แต่ไม่ได้แปลว่าจะเล่นได้ไม่ดีทุก codec นะครับ พวก DivX, XviD ยังคงเล่นได้ดีอยู่ครับ)
คลิป Asus Eeepad Tranformer เล่นไฟล์ 1080p
เหตุผลนี้จึงทำให้ Tegra 2 อาจจะยังตอบสนองด้านมัลติมีเดียทุกรูปแบบได้ไม่ดีเยี่ยมเท่าที่ควร
แต่ถ้าทางด้านเล่นเกมส์อย่างเดียวละก็ ของเค้าที่หนึ่งจริงๆ
คลิปเกมส์ใน Tegra zone
แต่เอาจริงๆแล้ว Tablet หรือ Smart Phone แต่ละเครื่องก็ไม่ได้จะสามารถเล่นไฟล์หลากสกุล หลาก codec ได้ดีทั้งหมดอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างเช่น Ipad ก็ยังต้องอาศัยการแปลงไฟล์หรือใช้แอพที่มี Software Codec ช่วยในการเล่นไฟล์อยู่ดี
ส่วนรุ่นที่ใช้ CPU Tegra 2 ก็มีมากมายในตลาดครับ เช่น Motorola Atrix , Asus Tranformer , Optimus 2X และบรรดา Honeycomb Tablet ทั้งหลาย และล่าสุดที่กำลังจะวางจำหน่ายในงาน TME ก็คือ Wellcom A100 มือถือแบรนด์ไทยนั่นเองครับ(ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ ใครก็ได้ช่วยติดต่อ Wellcom ที อยากได้ อิอิ)
– ดูคลิปวีดีโอ
นี้คือข้อได้เปรียบของทางฝั่ง Android เค้าละครับ เพราะมีความสามารถในการ drag & drop สามารถโยนไฟล์จากคอมพิวเตอร์ลงสู่เครื่องได้ทันที และสามารถซิงค์ข้อมูลกับคอมพิวเตอร์ได้ทุกเครื่อง ทำให้หลายๆคนนิยมในการเลือกตอบสนองด้านการดูหนัง ดูคลิปวีดีโอมากกว่า แถมในหลายๆเครื่องก็ยังมี Hardware Codec หรือซีพียูที่รองรับการถอดรหัสวีดีโอของแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ทำให้สามารถจะโยนไฟล์หลากสกุลเข้าเครื่องได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการแปลงไฟล์ ซึ่งหลายๆคนคงจะเคยนำคลิปวีดีโอที่มีความยาวเป็นชั่วโมงมาแปลงเพื่อที่จะให้โทรศัพท์หรือแกดเจ็ตของเราเล่นได้มาแล้ว และคงรู้กันดีว่าขั้นตอนการแปลงไฟล์นั้นไม่รื่นรมณ์เท่าไหร่ นอกจากจะยุ่งยากแล้ว ยังใช้เวลาที่นานพอๆกับเวลาที่เราใช้ดูคลิปนั้นกันเลยทีเดียว(แล้วแต่ความเร็วในการแปลงไฟล์ของซีพียูคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง)
ในเวลาที่เราจำเป็นต้องเดินทางและมีเวลาในการเตรียมตัวกำจัด การที่ซีพียูของมือถือหรือแก็ดเจ็ตเหล่านั้นรองรับการถอดรหัสไฟล์ที่หลากหลายก็จะทำให้ยิ่งได้เปรียบในการถ่ายโอนข้อมูลและเคลื่อนย้ายไฟล์ยิ่งขึ้น ทำให้ประหยัดเวลาในการเตรียมและสะดวกในการลงไฟล์วีดีโอเพื่อรับชมมากกว่า
รุ่นที่มีฮาร์ดแวร์ codec ติดมาเลยก็เช่นพวก Galaxy S , Galaxy Tab , Galaxy Player เป็นต้น รุ่นพวกนี้จะสามารถเล่นไฟล์วีดีโอที่ใช้ Codec แบบ MP4 , DivX, XviD, H.264, H263 แบบ HD (ประเด็นนี้อาจจะมีบทความเจาะลึกในภายหลัง) ได้ทันทีโดยไม่ต้องแปลงไฟล์ และไม่ต้องลงแอพประเภทที่มี Software codec ด้วย เพราะมันสามารถเล่นได้โดยกำเนิดอยู่แล้ว ทำให้มีความสามารถในการเล่นคลิปวีดีโอที่หลากหลายและการตอบสนองด้านการเล่นคลิปวีดีโอทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว
3. ราคา
ปัจจัยสุดท้ายก็คือราคา ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด (สำหรับคนงบน้อยอย่างผม ^^) และเป็นสาเหตุในการคิดที่จะเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพราะถ้าเราไม่มีปัจจัยทางด้านราคาแล้ว เราก็อาจจะไม่จำเป็นต้องตัดสินใจใดๆในการเลือกซื้อเลยก็ได้ เห็นรุ่นไหนถูกใจตรงตามความต้องการก็สามารถซื้อได้ทันที ซึ่งบางครั้ง สิ่งที่สมบูรณ์แบบตรงใจเราที่สุด และมีความสามารถที่ครบครันอาจจะต้องใช้งบประมาณที่แพงขึ้นไปด้วย และเมื่อเรามีงบประมาณที่ไม่พอก็อาจจะต้องเลือกสิ่งที่คิดว่าเราต้องการมากที่สุดในการใช้งานเท่าที่งบประมาณเราจะมีอยู่ หลายๆคนก็ใช้สิ่งนี้เป็นการตัดสินใจเป็นหลัก
“ดูงบประมาณก่อน แล้วค่อยดูความต้องการ”
หลักการในการเลือกซื้้อในกรณีที่อยากได้ของที่ตรงใจที่สุดในราคาที่น้อยที่สุดเพราะใครๆก็อยากได้ของที่เลิศเลอเพอร์เฟกต์ทั้งนั้น (แม้จะหาได้ยากในโลกใบนี้ก็ตาม) ซึ่งของดีในราคาถูก(มากๆ) (ส่วนใหญ่) มักไม่ค่อยมี และของที่ราคาถูกกว่าก็คงจะดีได้ยากกว่าของที่แพงกว่า ตรงจุดนี้ละครับที่เราจะต้องมาหาคำตอบ ซึ่งคำตอบไม่ได้อยู่ที่ไหนไกลเลย มันอยู่ในความต้องการของเราตังหากละ หลายๆครั้งเราถึงต้องการที่จะตัดสินใจระหว่าง ของที่คุ้มค่าคุ้มราคา หรือของที่เราต้องการแต่แพงเกินราคา
ดังนั้นเราจึงต้องใช้หลักการ ดูงบประมาณก่อนแล้วค่อยมาดูความต้องการนั่นเอง ถ้าเราตั้งงบไว้ต่ำเกินกว่าความต้องการที่เราอยากได้ นั่นก็อาจจะหารุ่นที่ตรงกับใจได้ยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลย เช่น
– ตั้งงบ 5000 บาท แต่อยากเล่นเกมส์เฟสบุ๊คได้
– ตั้งงบ 3000 บาท แต่อยากเล่นเกมส์ HD ได้
– งบ 8000 บาท แต่อยากได้วัสดุดีๆ
– งบ 9000 บาท อยากได้การ์ดจอแรงๆ แต่ไม่อยากได้เฮาส์แบรนด์ เป็นต้น
ดังนั้นก็ควรจะทราบถึงข้อกำจัดในด้านปริมาณและด้านคุณภาพด้วย
และถ้าไม่ต้องการลดความต้องการก็ควรจะเพิ่มงบประมาณด้วย ถึงจะสามารถเป็นไปได้
สำหรับกรณีที่งบประมาณจำกัดและไม่ต้องการเพิ่มงบประมาณแล้วก็ต้องลองตัดสินใจดูระหว่างความต้องการในด้านต่างๆ เพราะในเมื่อเรามีงบจำกัด เราก็จำเป็นที่จะต้องลดความต้องการบางอย่างที่น้อยที่สุดออกไปด้วย
เช่น
– ตั้งงบ 10,000 บาท ต้องการ เล่นเกมส์ HD , flash playerได้ ,เล่น video call ได้ , เป็นอินเตอร์แบรนด์
ถ้าความต้องการที่น้อยที่สุดคือ เล่น video call ได้ ก็อาจจะเลือก Motorola Defy ที่พอจะเล่นเกมส์ HD ได้ เป็นอินเตอร์แบรนด์ สามารถเล่น flash player ได้ และลดความต้องการในส่วนของการเล่น Video call ได้ออกไป
กรณีที่ความต้องการน้อยที่สุดคืออินเตอร์แบรนด์ ความต้องการก็จะเหลือแค่ เล่นเกมส์ HD , flash player ได้ , เล่น video call ได้ ซึ่งถ้า requirement เป็นเช่นนี้ในงบไม่เกิน 10000 ก็คงจะต้องเลือก Wellcom a99 เท่านั้น เพราะราคาที่ต่ำกว่าหมื่นพวก Galaxy Cooper จะไม่สามารถรองรับ flash player และ video call ได้ เป็นต้น
ถ้าในกรณีที่คุณไม่ซีเรียสเรื่องกล้องหน้าเพื่อการ video call แต่ยังคงอยากได้เครื่องแรงๆในราคาถูกๆแล้วละก็ Xperia Mini , Mini Pro จะเป็นตัวเลือกใหม่ที่ดีของคุณ (อย่าสับสนกับ x10 mini , mini pro นะครับ เพราะมันจะคนละตัว คนละเสปกกันเลย Xperia Mini นี่แรงกว่าเยอะ) เพราะตัวนี้เป็นมือถือที่ราคาไม่ถึงหมื่นแต่ได้การ์ดจอ adreno 205 ตัวเดียวกับที่ใช้ใน Xperia Arc เลยทีเดียว !! เพียงแต่จะได้หน้าจอที่เล็กกับความละเอียดที่น้อยหน่อยนั่นเอง (3 นิ้ว)
แต่ถ้าคุณยังไม่สามารถเลือกได้กับตัวเลือกที่จำกัดในงบประมาณเท่านี้ได้ คุณอาจจะต้องเพิ่มงบประมาณในการซื้อขึ้นไปอีกสัก1-2 พันบาทแล้วตัวเลือกก็จะเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย อาทิเช่น LG optimus black , Nexus S เป็นต้น
และสุดท้ายถ้างบประมาณของคุณไม่จำกัด คุณก็ควรจะมองมือถืออันดรอยด์ระดับ Hi-end ไปเลยอย่างพวก Galaxy S2 , HTC Sensation , Optimus 3D ฯลฯ ซึ่งมือถือพวกนี้จะใช้อุปกรณ์ภายในที่ค่อนข้างคุณภาพดี ส่วนประกอบต่างๆที่ต้นทุนสูง มีความเร็วในการใช้งานสูง ใช้ซีพียูแบบ Dual Core และการ์ดจอแรงๆที่จะตอบสนองการใช้งานในทุกด้านได้ดีขึ้น
ทั้งหมดนี้คือกรณีตัวอย่างของวิธีคิดในการเลือกตัดสินใจระหว่างความต้องการของตัวเองกับปัจจัยหลายๆอย่าง เพื่อให้ได้ผลในการที่จะเลือกซื้อ Android สักเครื่องให้ได้อย่างตรงใจของผู้ซื้อมากที่สุดจริงๆ
สุดท้ายนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับหลายๆคนที่ยังคิดไม่ออกตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอารุ่นไหนดี ได้ลองใช้วิธีคิดเหล่านี้ดู เพื่อที่จะช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ไม่มากก็น้อย แล้วบทความหน้าเตรียมบทกับ บทความ : แนะแนวการเลือกซื้ออันดรอยด์ ตอนที่ 2 เจาะลึก Spec อันดรอยด์ กันในโอกาสหน้านะครับ สวัสดีครับ
ที่มา : http://droidfriend.blogspot.com/2011/09/article-how-to-buy-android-ep1-choose.html
ปล. ใครที่อยากอ่านง่ายๆ อย่างเป็นระเบียบ เชิญอ่านที่เว็บที่มาได้เลยครับ
http://droidfriend.blogspot.com
ปล.2 พึ่งหัดเขียนบทความและทำบล็อกเป็นของตัวเองครับ ที่ทำบล็อกแยกก็เพื่อที่จะได้มีบทความที่เป็นประโยชน์ของตัวเองอย่างเป็นหลักแหล่งจริงๆ ถ้ามีข้อแนะนำและข้อติชมอะไร เม้นต์กันมาได้เลยนะครับ ^^ (แต่ขอว่าอย่าติแรงนะ เดี๋ยวผมจะเสียขวัญน่ะครับ อิอิ ) แล้วก็เชิญชวนฝากเยี่ยมชมและอ่านบทความต่างๆได้ที่ บล็อก droidfriend.blogspot.com นะครับ ผมทำอยู่คนเดียว (เหนื่อยมากมาย) ถ้าใครอยากมีส่วนร่วมก็เชิญไปเม้นต์กันได้ที่บล็อกนะครับ ช่วงนี้จะพยายามอัพเดตทุกวันครับ
เขียนได้รายละเอียด เข้าใจง่ายดีมากเลยครับ 🙂
เยี่ยม…
รออ่านตอนที่ 2 ค่ะ ^^