Nothing Phone (3) เปิดตัวไปแล้วเมื่อคืนนี้ ฟีดแบ็กของแฟน ๆ ดูจะแตกเป็นสองฝั่ง บ้างว่าเท่ถูกใจ บ้างว่าฉีกจากเดิมเยอะไปจนดูแปลก แต่ที่แน่ ๆ ไอเดียการออกแบบสุดแหวกแนวยังไม่เปลี่ยน โดยเฉพาะ Glyph Matrix ที่กลายร่างมาจาก Glyph Interface ทำให้ใส่ลูกเล่นเข้าไปได้เยอะขึ้นมาก
ลองจับ Nothing Phone (3)
Glyph Matrix เป็นหน้าจอ LED ขนาดเล็กที่สามารถแสดงผลได้หลายอย่าง เช่น นาฬิกา แบตเตอรี่ ภาพเคลื่อนไหว ระดับน้ำ เข็มทิศ คล้ายกับมีวิดเจ็ตที่ใช้งานได้จริงอยู่บนฝาหลัง สามารถควบคุมได้ด้วยปุ่ม haptic ที่อยู่ถัดลงมา ซึ่งถูกเพิ่มเข้ามาในรุ่นนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน

ฟีเจอร์ Glyph Matrix ที่สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้ได้ จะมีชื่อเรียกเฉพาะตัวว่า Glyph Toys ตัวอย่างที่โชว์ให้ดูในงานคือ ‘หมุนขวด’ และ ‘เป่ายิ้งฉุบ’ นอกจากนี้ Nothing ยังเปิดพื้นที่ให้นักพัฒนาสามารถสร้าง Glyph Toys ใช้เองหรือแชร์กับคนอื่นได้ ในอนาคตเราจะได้เห็นลูกเล่นใหม่ ๆ ตามมาอีกมาก

อีกประเด็นที่ถูกพูดถึงมากเป็นพิเศษคือ เลย์เอาต์กล้องหลัง ที่หลายคนสงสัยว่าทำไม Nothing เลือกวางกล้องลักษณะนี้
ในส่วนนี้ทีมออกแบบอธิบายว่าเป็นความตั้งใจที่จะให้ตำแหน่งของกล้องนั้นขนานไปกับรุ่นเดิม หากนำเครื่อง Nothing Phone (2) / (2a) / (3a) Pro มาวางข้างกัน จะเห็นได้ทันทีว่าระนาบกล้องนั้นตรงกัน



ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างอื่นที่น่าสนใจคือ ‘จุดสี่เหลี่ยมสีแดง’ ตอนนี้มีไฟ LED ในตัว สามารถกะพริบได้แล้ว โดยจะกะพริบตอนถ่ายวิดีโอ

โดยสรุป Nothing Phone (3) เป็นมือถือที่สะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของ Nothing ออกมาได้เป็นอย่างชัดเจน และยังเป็นมือถือที่ให้ความรู้สึก ‘น่าสนุก’ อยู่เหมือนเดิม แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะเปลี่ยนไปก็ตาม








ลองจับ Nothing Headphone (1)
ชิ้นถัดมาคือ Nothing Headphone (1) ของใหม่อีกอย่างที่เปิดตัวมาคู่กัน เป็นหูฟังไร้สายแบบครอบหูรุ่นแรกของค่าย เผยให้เห็นภาษาการออกแบบแบบโปร่งใสตามสไตล๋ Nothing เด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเป็นหูฟังค่ายไหน





ตัวหูฟังใช้ไดรเวอร์แบบไดนามิกขนาดใหญ่สะใจ 40 มม. มีฟีเจอร์ตัดเสียง ANC และรองรับ LDAC ตามที่หูฟังระดับไฮเอนด์ควรมี ทนละอองน้ำ – ทนเหงื่อได้เล็กน้อย ไม่ถึงกับระดับใส่ลุยฝน จุดสำคัญอีกอย่างคือแบตอึดถึง 80 ชม.ต่อชาร์จ หากฟังเพลงวันละ 2 ชม. จะอยู่ได้เป็นเดือน
น่าสนใจว่า Nothing Headphone (1) เปิดราคาประมาณ 1 หมื่นบาท สำหรับคนที่เลือกซื้อเพราะดีไซน์ คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าสวยถูกใจ ไม่มีคำว่าแพง แต่สำหรับคนที่มองเรื่องเสียงเป็นหลัก คงต้องรอติดตามดูว่าเสียงที่ปรุงแต่งโดย KEF นั้นมีทีเด็ดพอจะชนกับหูฟังเจ้าตลาดหรือเปล่า
Comment