รีวิว OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G สมาร์ทโฟนระดับมิดเรนจ์สองรุ่นคู่หูจาก Reno14 Series 5G กลับมาครั้งนี้ยังมาพร้อมกับดีไซน์หางปลาสุดโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ และสเปคหรือฟีเจอร์เด่นๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กับรุ่น Pro ไม่ว่าจะเป็นกล้องหลักความละเอียด 50MP เซนเซอร์ Sony ระบบไฟแฟลชแบบใหม่ ถ่ายรูปสวยทุกสภาวะแสง ไปจนถึงผู้ช่วย Gemini ที่ทำงานกับแอประบบของ ColorOS ได้ด้วย ใช้งานจริงน่าสนใจขนาดไหน DroidSans พาไปหาคำตอบ
สเปคของ OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G
Reno14 F 5G | Reno14 5G | |
หน้าจอ | AMOLED ขนาด 6.57 นิ้ว ความละเอียด 2732×1080 พิกเซล ความสว่าง 1400 นิต อัตรารีเฟรชเรต 120 Hz | AMOLED (จอแบน) ขนาด 6.59 นิ้ว ความละเอียด 2760×1256 พิกเซล ความสว่าง 1200 นิต อัตรารีเฟรชเรต 120 Hz |
ชิป | Snapdragon 6 Gen 1 | MediaTek Dimensity 8350 |
หน่วยความจำ (LPDDR4X) | 12GB | 12GB |
สตอเรจ (UFS 2.2) | 256GB 512GB | 256GB 512GB |
กล้องหลัง | กล้องหลัก IMX882 : 50MP (f/1.8) ขนาดเซนเซอร์ 1/1.95 | กล้องหลัก IMX882 : 50MP (f/1.8) ขนาดเซนเซอร์ 1/1.95 |
กล้องอัลตราไวด์ | 8MP (f/2.2) มุมมองกว้าง 116 องศา | 8MP (f/2.2) มุมมองกว้าง 116 องศา |
กล้อเทเลโฟโต้ | – | 50MP (f/2.8) ออโต้โฟกัส ออปติคัลซูม 3.5 เท่า |
กล้องหน้า | 32MP (f/2.0) | 50MP (f/2.0) |
เครือข่าย | 5G | 5G |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi 5 Bluetooth 5.1 NFC USB-C 2.0 | Wi-Fi 6 Bluetooth 5.4 NFC USB-C 2.0 |
ระบบเสียง | ลำโพงคู่ | ลำโพงคู่ |
เซนเซอร์ | สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ | สแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอ IR Blaster |
แบตเตอรี่ | 6,000mAh ชาร์จไว 45W | 6,000mAh ชาร์จไว 80W |
ความทนทาน | IP66/IP68/IP69 | IP66/IP68/IP69 |
ระบบปฎิบัติการ | XOS 15.1.1 บนพื้นฐาน Android 15 | XOS 15.1.1 บนพื้นฐาน Android 15 |
ขนาด | 156.5 x 74.97 x 7.69 – 7.74 มม. | 157.90 x 74.73 x 7.42 มม. |
น้ำหนัก | 180 กรัม | 187 กรัม |
ดีไซน์ของ OPPO Reno 14F 5G และ Reno14 5G
เริ่มต้นที่ดีไซน์ตัวเครื่องของ OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G กันก่อนเลยครับ โดยทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับดีไซน์แบบใหม่เอาใจสายแฟชั่นซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ต่อยอดมาจาก Reno13 Series 5G ในปีที่แล้ว ด้วยฝาหลังลวดลายสะท้อนแสงคล้ายหางปลา และเป็นการขึ้นรูปจากกระจกชิ้นเดียว เมื่อนำมารวมเข้ากับฝาหลังพื้นผิวกระจกแบบกำมะหยี่แล้วด้วย ก็ทำให้การจับถือโดยรวมรู้สึกถึงความพรีเมียมแบบรู้สึกได้ชัดเจนเลย

สิ่งที่มีการเปลี่ยนไปของทั้งสองรุ่นก็คือ น้ำหนักตัวเครื่อง ถึงแม้จะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากแต่ก็นับว่าเป็นการเปลี่ยนที่ทำให้เกิดสมดุลของน้ำหนักที่ดีขึ้นครับ อย่าง OPPO Reno14 F 5G จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 180 กรัม (ลดลงมา 12 กรัม) และ Reno14 5G มีน้ำหนักตัวเครื่องอยู่ที่ 187 กรัม (เพิ่มมา 6 กรัม) ถึงแม้รุ่นมาตรฐานจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมา แต่ก็ช่วยทำให้จับถือเข้ามือได้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้สึกว่าเบาจนเกินไป


ส่วนรุ่นเริ่มต้นอย่าง Reno14 F 5G ต้องขอชื่นชมอยู่สองเรื่องก็คือ น้ำหนักที่เบาลง ช่วยให้ประสบการณ์การถือใช้งานเทียบได้กับการถือสมาร์ทโฟนพรีเมียมไว้ในมือเลย และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เฟรมเครื่องที่ทำให้โค้งมนขึ้นเล็กน้อย เพราะจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง Reno13 F 5G เฟรมเครื่องอยู่ในลักษณะแบบตัดขอบเหลี่ยม เราจะรู้สึกได้เลยว่ามันบาดมือและให้ความรู้สึกไม่พรีเมียมสักเท่าไหร่



วัสดุที่เลือกใช้ก็ไม่ธรรมดาครับ เพราะใช้เฟรม อลูมิเนียมเกรดอากาศยาน ที่แข็งแรงทนทาน แถมยังได้มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่นระดับ IP66 / IP68 / IP69 หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ทำตกน้ำ น้ำหกใส่ เจอละอองฝุ่นก็สบายหายห่วง แถมพอร์ตเชื่อมต่อ USB-C ยังได้รับการชุบแพลตตินัมเพื่อป้องกันการกัดกร่อนเป็นพิเศษอีกด้วยครับ มีสีและสไตล์ที่แตกต่างกันให้เลือกดังนี้ครับ
OPPO Reno14 F 5G
- สีฟ้า Opal Blue
- สีชมพู Glossy Pink
- สีเขียว Luminous Green
OPPO Reno14 5G
- สีขาว Opal White
- สีเขียว Luminous Green



สเปคหน้าจอ OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G
ถัดมาคือสเปคหน้าจอของ Reno14 F 5G และ Reno14 5G เรียกได้เลยว่าเป็นสมาร์ทโฟนมิดเรนจ์ที่ให้คุณภาพการแสดงผลภาพ และสีสันที่สดใสดีเลยครับ ทั้งสองรุ่นเลือกใช้พาแนลหน้าจอ AMOLED แบบแบน (flat-display) เหมือนกัน พร้อมอัตรารีเฟรชเรตที่ 120Hz รองรับการแสดงผลสีมากถึง 1.07 พันล้านสี ฟีเจอร์ Splash Touch สามารถใช้งานหน้าจอได้แม้หน้าจอเปียกหรือขณะใส่ถุงมือ



รายละเอียด | Reno14 F 5G | Reno 14 5G |
ขนาดหน้าจอ | 6.57 นิ้ว | 6.59 นิ้ว |
พาแนลหน้าจอ | AMOLED (Flexible screen) | AMOLED (Flexible screen) BOE |
ความละเอียด | FULL HD+ (2372 x 1080 พิกเซล) | FULL HD+ (1256 x 2760 พิกเซล) |
ความสว่าง | ความสว่างปกติ: 600nits HBM: 1400nits | ความสว่างปกติ: 600nits HBM: 1200nits |
กระจกหน้าจอ | AGC Dragontrail DT-STAR D+ | Corning Gorilla Glass 7i |
ฟีเจอร์เสริมอื่นๆ | Splash Touch | Splash Touch HDR10+ |
นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่ทำให้ Reno14 F 5G และ Reno14 5G พิเศษขึ้นไปอีกก็คือ ขอบหน้าจอที่บางแบบสมมาตรแค่ 1.6 มม. และกล้องหน้าแบบเจาะรูตรงกลาง ทำให้ประสบการณ์การใช้งานเพื่อดูหนัง ดูซีรีส์ และรับชมคอนเทนต์ได้แบบเต็มตากระแทกใจ และมีฟีเจอร์สำหรับถนอมสายตาเมื่อใช้งานหน้าจอไปเป็นระยะเวลานานด้วยครับ เช่น ฟีเจอร์ Adaptive Tone ซึ่งจะปรับอุณหภูมิสีหน้าจอโดยอัตโนมัติให้ตรงกับสภาพแสงโดยรอบ



กล้องถ่ายภาพ OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G
เรื่องกล้องถ่ายรูปนับเป็นไฮไลต์ของ OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G ในปีนี้เลย หากดูกันในภาพรวมที่ตัวเลขหรือสเปคชีตแล้วล่ะก็ เราจะเห็นได้ว่าสเปคกล้องของทั้งสองตัวมีความใกล้เคียงกันอยู่พอสมควร แต่ในปีนี้จะมีความแตกต่างอยู่หนึ่งจุดที่รุ่นมาตรฐานอย่าง Reno14 5G จะได้กล้องซูมเทเลโฟโต้แบบเดียวกับรุ่น Pro ด้วย หลังจากในปีที่แล้วจะมีเพียงแค่รุ่นท็อปเท่านั้นที่ได้กล้องซูม

รายละเอียด | Reno14 F 5G | Reno 14 5G |
กล้องหลัก | 50MP (Sony IMX882) f/1.8 – กันสั่น OIS | 50MP (Sony IMX882) f/1.8 – กันสั่น OIS |
กล้องอัลตราไวด์ | 8MP (OV08D) f/2.2 | 8MP (OV08D) f/2.2 ออโต้โฟกัส |
กล้องมาโคร | 2MP (f/2.4) | – |
กล้องเทเลโฟโต้ | – | 50MP (S5KJN5) f/2.8 – กันสั่น OIS ซูมออปติคัล 3.5x |
กล้องหน้า | 32MP (S5KJN5) f/2.0 ออโต้โฟกัส | 50MP (S5KJN5) f/2.0 ออโต้โฟกัส |
เริ่มต้นกันที่รุ่นเริ่มต้นอย่าง OPPO Reno14 F 5G จัดเต็มด้วยกล้องหลัง 3 ตัว (แต่จากที่ได้ทดลองใช้งานมาได้ใช้จริงอยู่หลักๆ แค่ 2 ตัว) จุดเด่นของ Reno 14F 5G คือการใช้งานถ่ายรูป Portrait ที่ถึงแม้จะไม่มีเลนส์ซูมแยกต่างหาก แต่ภาพถ่ายที่ได้มาก็มีความสวยงาม และเอฟเฟกต์ละลายหลังเป็นธรรมชาติดูเนียนตา โดยจะเป็นการใช้ In-sensor Zoom ระยะ 2 เท่า จากเลนส์หลักความละเอียด 50MP ภาพที่ได้มาก็จะมีความสวยงามไม่แพ้กันเลย
ตัวอย่างภาพถ่าย Portrait จาก Reno14 F 5G










ลูกเล่นใหม่ระดับฮาร์ดแวร์ที่น่าสนใจของ Reno14 F 5G ก็คือระบบไฟแฟลช LED สองดวง (AI Flash Photography) ที่สว่างขึ้นกว่าเดิมจากรุ่นที่แล้วถึง 100% และเป็นการยิงไฟแฟลชแบบ 2 สเต็ป ให้ฟีลเหมือนว่าเราถ่ายภาพจากกล้องฟิล์มหรือกล้องดิจิทัลยุค Y2K ใครที่ชอบถ่ายรูปสไตล์นี้เชื่อว่าต้องถูกใจแน่นอนครับ นอกจากนั้นแล้วยังช่วยให้ถ่ายภาพในที่มืดได้ดีขึ้นอีกด้วย เพราะหลังจากการกดถ่ายไปแล้ว อัลกอริธึมประมวลผลภาพจะทำการปรับสกินโทนให้ดูเป็นธรรมชาติด้วย
ภาพถ่าย AI Flash Photography จาก OPPO Reno14 F 5G








ส่วนรุ่นพี่อย่าง Reno14 5G มีการอัปเกรดไปอีกขั้นด้วยชุดกล้องแบบครบทุกระยะให้เลือกใช้ครับ เพราะนอกจากกล้องหลัก 50MP (Sony IMX882) และกล้องอัลตราไวด์ความละเอียด 8MP ปีนี้ทาง OPPO ก็ยังใส่กล้องเทเลโฟโต้ความละเอียด 50MP ระยะออปติคัลซูม 3.5 เท่า มาให้ด้วย

โดยปกติแล้ว เลนส์เทเลโฟโต้จะมีใส่มาให้แค่กับรุ่น Pro เท่านั้น ดังนั้นเมื่อรุ่นมาตรฐานอย่าง Reno14 5G มีเลนส์ซูมบ้างก็จะช่วยให้เราสามารถถ่ายภาพ Portrait ได้มิติที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้นครับ โดยเฉพาะกับฉากหลังที่จะถูกดึงเข้ามาใกล้และเบลอ พร้อมกับตัดขอบ เก็บรายละเอียดรูปภาพได้คมชัดยิ่งขึ้น แถมสัดส่วนของตัวแบบก็ดูสมจริงเป็นธรรมชาติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจาก OPPO Reno14 5G























ตัวอย่างภาพถ่าย Portrait จาก Reno14 5G












ส่วนระบบไฟแฟลชก็อัปเกรดมาจากรุ่นเริ่มต้นอีกด้วย โดยเป็นระบบไฟแฟลชสามดวงซึ่งสว่างขึ้นกว่าเดิมถึง 10 เท่า และเป็นการยิงไฟแฟลชแบบสองสเต็ปเช่นกัน แต่มีความพิเศษตรงที่ไฟแฟลชดวงที่สามนั้นจะใช้เพื่อโฟกัสตัวแบบหรือวัตถุเมื่อเราใช้กล้องเทเลโฟโต้ถ่ายโดยเฉพาะครับ

ภาพถ่าย AI Flash Photography จาก OPPO Reno14 5G








กล้องหน้าของทั้งสองรุ่นนั้น OPPO Reno14 F 5G ให้มาที่ความละเอียด 32MP ส่วน OPPO Reno14 5G ให้ความละเอียดกล้องหน้ามาถึง 50MP ทั้งสองรุ่นรองรับออโต้โฟกัส โหมดบิวตี้ และการถ่ายวิดีโอแบบ Portrait Video พร้อมกับการใช้ฟิลเตอร์สีต่างๆ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานสายไลฟ์สไตล์ที่ชอบใช้กล้องหน้ากันอย่างแน่นอนครับ!
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า OPPO Reno14 F 5G



ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า OPPO Reno14 5G



ฟีเจอร์เสริมสำหรับการถ่ายภาพและการปรับแต่งรูปภาพ
เรื่องต่อมาที่ OPPO Reno14 Series 5G ให้มาเยอะไม่แพ้กับสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงเลยก็คือ AI สำหรับถ่ายภาพและแก้ไขรูปภาพ หลังจากที่รุ่นก่อนหน้าอย่าง OPPO Reno13 Series 5G ก็ชูจุดเด่นอย่างการถ่ายภาพ AI Livephoto และถ่ายภาพใต้น้ำมาแล้ว ต่อเนื่องมาในปีนี้ก็ยังคงให้ฟีเจอร์ AI มาจัดเต็มเช่นเคย พร้อมกับพัฒนาฟีเจอร์เดิม AI Editor 2.0 ที่มีอยู่แล้วให้เก่ง และประมวลผลได้ไวกว่าเดิม สำหรับฟีเจอร์ที่น่าสนใจซึ่งช่วยให้การถ่ายและแก้ไขภาพนั้นสนุกยิ่งขึ้นจะมีตั้งแต่
- AI Livephoto: ถ่ายรูปนิ่งพร้อมกับบันทึกวิดีโอก่อน-หลังถ่ายรวมกันเป็นเวลา 3 วินาที ทำให้ได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอไปพร้อมกัน
- AI Livephoto Flash: ถ่าย Livephoto ไปพร้อมกับการเปิดแฟลชได้ เพื่อไม่ให้พลาดทุกโมเมนต์ดีๆ ในสภาะวะแสงน้อย
- AI Livephoto Export: เราสามารถเลือกช่วงใดช่วงหนึ่งจากวิดีโอความละเอียด 4K แล้วแปลงเป็น Livephoto ความละเอียดสูง 4K ได้
- AI Eraser 2.0: ยางลบ AI ช่วยลบคน สิ่งของ และสิ่งที่ไม่ต้องการพร้อมกับเติมส่วนที่ขาดหายไปได้แบบเป็นธรรมชาติ
- AI Perfect Shot: แก้ปัญหาการถ่ายภาพแล้วหลับตา หรือผมบังหน้าได้อย่างชาญฉลาด AI จะจดจำใบหน้าของคนในภาพแล้วสแกนหาใบหน้าที่ดีที่สุดจากแกลเลอรี่มาปรับใช้อีกที
- AI Recompose: AI ปรับเฟรมภาพ แนะนำพร้อมกำหนดสัดส่วน ครอบตัด ปรับแต่งภาพของเราให้ดูสมดุลมากขึ้น
- AI Reflection Remover: ลบแสงสะท้อนที่เกิดจากกระจกในรูปถ่าย
- AI Unblur และ AI Clarity Enhancer: ยกเลิกการเบลอในรูปภาพ และเพิ่มภาพคมชัดให้ภาพถ่ายเก่าๆ กลับมาคมชัดเหมือนใหม่





ประสิทธิภาพและสเปกภายใน
OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G มาพร้อมกับชิปเซ็ตอย่าง Snapdragon 6 Gen 1 กับ Dimensity 8350 ตามลำดับ จับคู่กับหน่วยความจำขนาด 12GB และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลสูงสุด 512GB ทำให้ทั้งสองรุ่นนั้นมีสเปคที่เพียงพอกับการใช้งานขั้นพื้นฐานแบบสบายๆ ไปจนถึงการเล่นเกมที่ต้องใช้ประสิทธิภาพในระดับกลางๆ สามารถเล่นเกมยอดนิยมอย่าง RoV หรือ PUBG Mobile ได้สบายๆ ในกราฟิกระดับสูง กับเฟรมเรตแบบลื่นๆ โดยเฉพาะ Dimensity 8350 บน Reno14 5G ที่แรงจนสามารถเรียกได้ว่าเป็นรุ่นน้องของชิปเซ็ตระดับเรือธงได้เลยครับ




ผลการทดสอบ OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G
ผลทดสอบ | OPPO Reno14 F 5G | OPPO Reno14 5G |
Geekbench 6 (Single-Core) | 920 คะแนน | 1,318 คะแนน |
Geekbench 6 (Multi-Core) | 2,671 คะแนน | 3,931 คะแนน |
3DMark Wild Life Extreme Stress Test (Stability) | 99.2% (Best Loop 654 คะแนน) | 36.8% (Best Loop 2,954 คะแนน) |
Antutu Benchmark | 679,987 คะแนน | 1,350,619 คะแนน |
นอกเหนือจากประสิทธิภาพที่เร็วและแรงแล้ว เรื่องของการจัดการความร้อนก็สำคัญครับ เพราะหากการจัดการความร้อนไม่ดีนั้นก็อาจทำให้ประสิทธิภาพหรือความเสถียรระหว่างการเล่นเกมนั้นเกิดอาการหน่วง หรือกระตุกขึ้นได้ ซึ่ง OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G ทั้งสองรุ่นก็มาพร้อมกับระบบระบายความร้อน Vapor Chamber กับเทคโนโลยี AI Hyper Boost
- AI Ultra-thin Dual-Drive Cooling System: ระบบระบายความร้อน Vapor Chamber (VC) ขนาดใหญ่พิเศษ จับคู่กับการควบคุมความร้อนและทำความเย็นด้วย AI ให้สอดคล้องกับเกมหรือการตั้งค่าที่เราใช้ครับ โดยเฉพาะในจุดที่มือเราจะสัมผัสสมาร์ทโฟนไว้ในตอนเล่นเกม
- AI HyperBoost 2.0 และ AI LinkBoost 3.0: AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และจัดการพลังงานให้เหมาะสมมากที่สุดถึงแม้จะใช้สัญญาณ 5G ตลอดการเล่นเกม และ AI LinkBoost 3.0 ที่ช่วยให้ตัวเครื่องจับสัญญาณ Wi-Fi หรือสัญญาณมือถือได้ดีในทุกสถานการณ์ หมดปัญหาปิงพุ่ง หรือสัญญาณไม่สเถียร

ColorOS x Gemini ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ฉลาดกว่าเดิม
OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G มาพร้อมกับระบบปฎิบัติการ Android 15 ซึ่งครอบทับด้วย ColorOS 15 รุ่นล่าสุดตั้งแต่แกะกล่อง โดยจะมีฟีเจอร์เด่นหลักๆ อย่าง Gemini ที่เรียกใช้งานได้ผ่านปุ่ม Power ข้างตัวเครื่อง เราสามารถพิมพ์หรือสื่อสารผ่านการสนทนาเสียงได้โดยตรงเพื่อขอความช่วยเหลือ และปรึกษาเรื่องต่างๆ ไปจนถึง Gemini Live การเปิดกล้องหรือแชร์หน้าจอเพื่อสนทนากับ Gemini ความสามารถที่ว่าไปสามารถใช้งานบน OPPO Reno14 Series 5G ได้ตั้งแต่แรก



แต่สิ่งที่น่าสนใจคือความร่วมมือกันกับ Google จนได้ออกมาเป็นความสามารถที่ Gemini จะสามารถทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันระบบของ OPPO ได้แบบไร้รอยต่อ เช่น OPPO Note, ปฎิทิน และนาฬิกา ส่วนฟีเจอร์อย่าง Circle to Search ฟีเจอร์วงค้นหาอัจฉริยะที่ใช้แปลภาษาบนหน้าจอหรือหาเพลงด้วยก็ได้

เปรียบเทียบการการใช้งานแบตเตอรี่
ต่อด้วยเรื่องของแบตเตอรี่ โดย OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G ให้แบตเตอรี่มาที่ 6,000mAh เพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย แต่การใช้งานจริงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เรียกได้เลยว่าระยะเวลาการใช้งานค่อนข้างที่จะยาวนาน และอึดพอสมควรเลยครับ หากเป็นการใช้งานระหว่างวันทั่วไป เล่นโซเชียลมีเดีย ดูหนังฟังเพลง เล่นเกมเล็กน้อย เชื่อว่าจะสามารถอยู่ได้ครบ 1 วันอย่างแน่นอน เพราะตัวชิปเซ็ตที่อยู่ในสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นก็มีจุดเด่นในเรื่องของการจัดการพลังงานเหมือนกัน

รายละเอียด | OPPO Reno14 F 5G | OPPO Reno14 5G |
YouTube 4K (60FPS) หนึ่งชั่วโมง | แบตเตอรี่ลดไป 7% | แบตเตอรี่ลดไป 9% |
Social Media หนึ่งชั่วโมง | แบตเตอรี่ลดไป 6% | แบตเตอรี่ลดไป 7% |
จุดที่แตกต่างของทั้งสองรุ่นก็คือ Reno14 F 5G จะรองรับความเร็วการชาร์จอยู่ที่ 45W SUPERVOOC ส่วนรุ่นมาตรฐานอย่าง Reno14 5G จะมีความเร็วการชาร์จขยับขึ้นมาสูงมากกว่าที่ 80W ทำให้ระยะเวลาในการชาร์จจนเต็มจาก 1-100% ก็จะมีช่องว่างของความแตกต่างกันอยู่พอสมควร แต่ด้วยความจุแบตเตอรี่ที่ได้มาเท่ากัน ก็อาจจะต้องมาดูกันอีกทีหนึ่งครับว่าไลฟ์สไตล์หรือการใช้งานของเรานั้น ต้องการการชาร์จที่เร็วมากหรือเปล่า


รายละเอียด | OPPO Reno14 F 5G | OPPO Reno14 5G |
ชาร์จแบตเตอรี่จาก 1 – 100% | ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 18 นาที | ใช้เวลา 48 นาที |
สรุปส่งท้าย OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G
OPPO Reno14 Series 5G ในปีนี้ถือเป็นการกลับมาของสมาร์ทโฟนระดับมิดเรนจ์ที่น่าประทับใจอยู่พอสมควรเลยครับ ไม่ว่าจะทั้ง OPPO Reno14 F 5G และ Reno14 5G นอกเหนือจากดีไซน์ฝาหลังลายหางปลาที่เป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์แล้ว แต่สเปคภายในที่ให้มาก็ยังครบ และสามารถใช้งานได้จริงในทุกๆ ฟีเจอร์ ทำให้เป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานได้แบบครบครันโดยเฉพาะกับสายไลฟ์สไตล์ที่อาจไม่ได้ต้องการสมาร์ทโฟนที่เก่งเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษครับ แต่ต้องการสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องที่สามารถให้ได้ทุกอย่างแบบ All-rounder

ทั้งสองรุ่นมีจุดเด่นเหมือนกันที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอขนาดใหญ่ AMOLED รีเฟรชเรต 120Hz ที่ให้การแสดงผลคมชัด สีสันสดใส ขอบจอบางเฉียบ และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 6,000mAh ที่สามารถใช้งานได้ยาวตลอดวัน ส่วนมาตรฐานทนน้ำทนฝุ่นระดับสูง IP66 / IP68 / IP69 ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจในการใช้งานที่อาจต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอีกด้วยครับ และที่สำคัญเลยก็คือคือ การมาถึงของ Gemini ที่ทำงานร่วมกับ ColorOS 15 ได้แบบไร้รอยต่อ
แล้วจะซื้อรุ่นไหนดี?
OPPO Reno14 F 5G จะเหมาะกับผู้อ่านที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนดีไซน์สักเครื่องในราคาที่ไม่สูงมาก แต่ได้ดีไซน์พรีเมียม น้ำหนักเบาพกพาสะดวก และเน้นการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น การเล่นโซเชียลมีเดีย การถ่ายภาพ Portrait ด้วยกล้องหลักความละเอียด 50MP พร้อมกับลูกเล่นอย่าง AI Flash Photography ที่จะทำให้การถ่ายภาพด้วยแฟลชหรือการถ่ายภาพกลางคืนง่ายขึ้นกว่าเดิม ถึงจะไม่มีเลนส์เทเลโฟโต้โดยเฉพาะ แต่ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ คุ้มค่าและครบครัน สำหรับการใช้งานพื้นฐานครับ

ในขณะที่ OPPO Reno14 5G จะขยับขึ้นมาอีกระดับเพื่อตอบโจทย์กับคนที่ต้องการประสบการณ์การใช้งานใกล้เคียงกับรุ่น Pro หรือรุ่นท็อปให้มากขึ้น ด้วยชิปเซ็ต Dimensity 8350 ที่เร็ว และแรงกว่า ทำให้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความลื่นไหลและประสิทธิภาพที่สูงขึ้นมา แต่ไฮไลต์สำคัญก็คือการที่มี กล้องเทเลโฟโต้ 50MP ที่ปกติจะมีแค่รุ่น Pro เท่านั้น ทำให้รุ่นนี้จะเหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการใช้งานซูมที่คมชัด และระบบชาร์จไว 80W SUPERVOOC


สุดท้ายแล้วการเลือกว่าจะซื้อรุ่นไหนดี ก็ต้องคำนึงถึงไลฟ์สไตล์และงบประมาณของเราเท่าที่โอเคด้วยนะครับ ถ้าอยากเน้นความคุ้มค่า ดีไซน์พรีเมียม การใช้งานทั่วไปและการถ่ายรูปที่กำลังดี Reno14 F 5G คือคำตอบ แต่ถ้าต้องการเน้นความแรง ใช้งานกล้องถ่ายภาพแบบขั้นสุด และที่สำคัญคือต้องการกล้องซูมเพื่อยกระดับการถ่ายภาพไปอีกระดับ เพิ่มเงินเพื่อไปซื้อ Reno14 5G ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเช่นกันครับ
ราคาและการวางจำหน่าย
OPPO Reno14 F 5G วางจำหน่ายในประเทศไทยด้วยกันทั้งหมดสามสีหลักได้แก่ สีฟ้าลายหางปลา (Opal Blue) สีชมพู (Glossy Pink) และสีเขียวเรืองแสง (Luminous Green) พร้อมตัวเลือกความจุ 3 รุ่น ในราคาเริ่มต้น 11,999 บาท
- 8GB + 256GB (ออนไลน์เท่านั้น) ราคา 11,999 บาท
- 12GB + 256GB ราคา 12,999 บาท
- 12GB + 512GB ราคา 14,999 บาท

OPPO Reno14 5G จะวางจำหน่ายด้วยกันทั้งหมดสองสีหลักได้แก่ สีขาวลายหางปลา (Opal White) และสีเขียวเรืองแสง (Luminous Green) ส่วนสีใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวมาก็คือ สีเขียวมินต์ (Mint Green) พร้อมตัวเลือกความจุ 2 รุ่น ในราคาเริ่มต้น 16,999 บาท
- 12GB + 256GB ราคา 16,999 บาท
- 12GB + 512GB ราคา 18,999 บาท
เซนเซอร์กล้องหลักรุ่นเดียวกันกับมือถือเครื่อง 6 พัน cmf1