ตลาดมือถือระดับ Mid-range ช่วงนี้การแข่งขันสูงพอตัวเลยทีเดียว แต่ละแบรนด์ก็ต่างพยายามยัดเอาสเปคและฟีเจอร์เจ๋ง ๆ เข้าไปในมือถือตัวเองให้ได้มากที่สุด ในราคาที่ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่ง POCO F3 ตัวใหม่สุดของค่ายก็มาพร้อมสเปคจัดเต็มคุ้มค่าคุ้มราคา จะสามารถเข้ามาทวงคืนฉายา”นักฆ่าเรือธง” กลับไปได้หรือไม่ ? วันนี้ Droidsans จะมารีวิวให้ดูกันครับ
ดีไซน์ และการจับถือ
เวลาเราพูดถึงมือถือสเปคแรงๆ ในกลุ่ม mid range ทั้งหลาย จะมีวัสดุและดีไซน์ที่ไม่ค่อยพรีเมี่ยมเท่าไหร่เพราะเอาต้นทุนไปลงกับสเปค และฟีเจอร์การใช้งานซะมากกว่า แต่กับ POCO F3 ถือว่าทำออกมาดีกว่าที่คิด
POCO F3 นั้นดีไซน์โดยรวมดูสวยงามมีความพรีเมียมประมาณนึง กับฝาหลักแบบกระจก Gorrilla Glass 5 ที่สะท้อนแสงแวววาวเป็นกระจกเงาดูผิวเผินเหมือนมือถือเรือธงเลย แต่มันก็ติดลายนิ้วมือง่ายมาก ๆ เพราะงั้นควรหาเคสมาใส่น่าจะดีที่สุดครับ
ตัวบอดี้เครื่องโดยรวมมีความบางกำลังดีอยู่ที่ 7.8 มม. ให้ความรู้สึกในการจับถือที่ดี ไม่บางจนเกินไป มีน้ำหนักพอสมควร ไม่เบาหวิว มีการกระจายน้ำหนักอยู่ตรงกลางเครื่องพอดี ใส่กระเป๋ากางเกงได้ไม่เกะกะเลยครับ อาจจะมีข้อสังเกตที่ว่าตัวเครื่องมีความลื่นอยู่พอสมควรจากฝาหลังแวววาว เพราะงั้นควรจับถือกันอย่างระมัดระวังนะครับ
ด้านข้างตัวเครื่องใช้งานเป็นวัสดุอัลลูมิเนียมแข็งแรงทนทานให้ความรู้สึกที่พรีเมียมจับถือสบายมีปุ่มล็อค ที่ทำหน้าที่เป็นเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และปุ่มเพิ่ม/ลด เสียงอยู่ด้านขวาตัวเครื่อง ตัวเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือต้องบอกเลยว่าเร็วมาก ๆ ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก็สามารถปลดล็อคได้แล้ว แถมตำแหน่งก็วางอยู่ในตำแหน่งที่จับง่ายเป็นธรรมชาติอีกด้วย บางทีมันเร็วมาก ๆ จนเผลอไปปลดล็อคเวลาถืออยู่เฉย ๆ ก็มีครับ 🤣
ถัดมาด้านล่างก็จะมีช่องชาร์จ USB-C รองรับฟีเจอร์ชาร์จไว 33W พร้อมถาดใส่ซิมด้านข้าง และลำโพง ซึ่งเป็นระบบลำโพงคู่ รองรับฟีเจอร์ Dolby-Atmos ทำงานรวมกับลำโพงอีกตัวด้านบน แถมมี IR Blaster สำหรับใช้งานเป็นรีโมตด้วย
หน้าจอ POCO F3
ถัดมาในส่วนของหน้าจอ POCO F3 ก็มากับหน้าจอ E4 AMOLED แบบเรียบ ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz พ่วงมาด้วยกล้องหน้าแบบเจาะรูตรงกลาง แถมยังมี Touch Sampling Rate ที่ 360Hz (ตามหน้าสเปค) แต่ทางทีมงาน Droidsans ได้ทำการทดสอบหน้าจอปรากฎว่าหน้าจอกลับมีค่า Touch Sampling อยู่ที่ 480Hz ซะอย่างนั้น ซึ่งถ้าบอกตามตรงมันก็เร็วแบบ 480Hz จริง ๆ นะ แตะปุ๊บ ติดปั๊บ รวดเร็วทันใจ แถมช่วยให้การใช้งานโดยรวมรู้สึกลื่นขึ้นมาก ๆ อีกด้วยครับ
หน้าจอมีมาตรฐานสี DCI-P3 Color Gamut ให้สีที่ตรงสวย รองรับคอนเทนต์ HDR10+ พร้อมอัตราส่วนคอนทราสต์ถึง 5000000:1 เลยทีเดียว ดูหนัง ดูซีรีส์ภาพสวยได้อรรถรสแบบเต็มเปี่ยมแน่นอน
ขอบหน้าจอรอบ ๆ มีความสมดุลกันดี ไม่ได้กินพื้นที่หน้าจอเข้ามามากจนเกินไป แต่มีจุดสังเกตเล็กน้อยอยู่ที่มุมที่อาจจะมีความโค้งมนมากกว่ามือถือทั่วไปบ้าง ทำให้ UI บางแอปถูกกินพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร
หน้าจอมีความสว่างอยู่ที่ 1300nit สามารถใช้งานทั่วไปได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้าแดดจ้า ๆ ก็ไม่ค่อยสู้แสงเท่าไหร่นะ แต่ในเรื่องความคมชัด สี ความลื่นไหลถือว่าทำได้ดีมาก ๆ สำหรับมือถือในราคาระดับนี้
หน้าจอ 120Hz ช่วยให้การไถหน้าจอมีความรู้สึกที่ลื่นไหลสบายตามาก ๆ ผนวกกับ Touch Sampling Rate สูง ช่วยให้เวลาแตะหน้าจอมีความรู้สึกที่ติดนิ้ว รวดเร็วมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานทั่วไป, ดูหนังหรือเล่นเกม ก็ทำได้ลื่นไหลไม่มีสะดุด โดยเฉพาะเกมเข้าจังหวะที่มีการแตะจอเยอะ ๆ จะรู้สึกเล่นง่ายขึ้นมาก ๆ เลย
สเปค และหน่วยประมวลผล
เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นของ POCO F3 เลยก็ว่าได้ กับหน่วยประมวลผลระดับเรือธงที่ใส่มาให้แบบจัดเต็มเลย ไม่ว่าจะเป็นชิปเซ็ต Snapdragon 870 ที่เป็นชิป Snapdragon 865+ เวอร์ชันตีบวกขึ้นมาอีก ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานโดยรวมถือว่าเร็ว และลื่นไหลมาก ๆ สามารถใช้ธรรมดาทั่วไปได้สบาย ๆ
ในส่วนของแรมก็เป็น LPDDR5 มีให้เลือกระหว่าง 6GB และ 8GB เล่นเกม หรือใช้งาน Multi-task สลับแอปไปมาได้สบาย ๆ ไม่กระตุก พ่วงมาด้วยหน่วยความจำ UFS3.1 ขนาด 128GB/ 256GB สามารถเก็บเกม หรือรูปภาพได้เป็นจำนวนมาก แถมยังประมวลผลได้รวดเร็วอีกด้วย
สเปค POCO F3
- หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด FHD+ รีเฟรชเรท 120Hz
- CPU : Snapdragon 870
- GPU : Adreno 650
- RAM : 6GB / 8GB
- ความจุ (UFS 3.1) : 128GB / 256GB
- กล้องหลัง 3 ตัว
– กล้องหลัก 48MP
– กล้อง Ultrawide 8MP
– กล้อง Telemacro 5MP - กล้องหน้า : 20MP
- การเชื่อมต่อ : Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6, dual-band, Wi-Fi Direct, hotspot, IR Blaster
- เซ็นเซอร์ : Fingerprint (ด้านข้าง), accelerometer, gyro, proximity, compass, color spectrum
- ระบบเสียง : ลำโพงสเตอรีโอคู่, Dolby Atmos, ไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.
- แบตเตอรี่ 4520 mAh รองรับชาร์จไว 33W
- ระบบ Android 11 ครอบด้วย MIUI 12
ทดสอบการเล่นเกมบน POCO F3
จากการทดสอบพลังประมวลผล ทางทีมงานก็ใช้เป็นเกมที่กินสเปคที่สุดใน Android ตอนนี้อย่าง Genshin Impact มาลองซึ่งก็สามารถเล่นได้ 60FPS แบบปรับสุดได้ แต่ก็มีอาการกระตุกบ้างเป็นบางครั้งเมื่อมีการเลื่อนเปลี่ยนฉากที่ทำให้เกิด Blur Effect แถมถ้ามีการตีมอนส์เตอร์แบบชุลมุนหน่อย ๆ ก็มีอาการกระตุกเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าทำได้ดีเลยสำหรับมือถือราคานี้
สำหรับเกมที่ใช้สเปคเบาลงมาหน่อยอย่าง League of Legends: Wild Rift ก็ถือว่าหมู ๆ เลย สามารถวิ่ง 60FPS แบบปรับสุดได้ฉลุยเลย ไม่ว่าจะบวกชุลมุนหรือช่วงฟาร์มก็ลื่นเล่นได้ไม่มีสะดุดเลยครับ เห็นแบบนี้แล้วก็มั่นใจได้เลยว่าไม่ว่าจะเล่นเกมไหนก็รันได้ไม่มีปัญหา สำหรับสายเล่นเกมจะต้องถูกใจแน่นอน อีกทั้งในอนาคตถ้าเปิดฟีเจอร์ 90 หรือ 120 FPS มาก็บอกเลยว่ารันได้สบาย ๆ แน่นอนครับ
อีกจุดที่น่าสนใจคือด้วย Touch Sampling Rate 360Hz (หรือ 480Hz?) ช่วยให้การเล่นเกมพวกจับจังหวะได้อรรถรสมาก ๆ จากที่ลอง Cytus ซึ่งเป็น Rhythm เกมที่ต้องรัวนิ้วมาก ๆ ก็สามารถเล่นได้ง่ายขึ้นหลายขุมเลย ไม่ใช่แค่ Cytus นะครับ สำหรับผู้ใช้งานที่รักการเล่นเกม Rhythm จะต้องหลงรักมือถือเครื่องนี้แน่นอน (ถ้าติดฟิล์มขุ่นด้วยจะยิ่งแจ่มเข้าไปอีกครับ)
ประสบการณ์ใช้งาน และอินเทอร์เฟซ
POCO F3 ใช้งาน MIUI 12 เวอร์ชันของ POCO เอง (ซึ่งจากที่ใช้งานก็ไม่ได้ต่างจาก MIUI ธรรมดาเท่าไหร่) หน้าตา และการใช้งานก็มีความลื่นไหลใกล้เคียงกับ Stock Android อยู่พอสมควร แถมยังมีฟีเจอร์ในการปรับแต่งที่ครบครัน อีกทั้งตัว MIUI 12 ก็ได้รับการ Optimize มาดีพอสมควร การใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ 120FPS ตลอด ลื่นไหลสบายตามาก ๆ จะมีข้อสังเกตุเล็กน้อยที่หน้า Google Discover ที่จะมีอาการเฟรมตกทุกครั้งที่สไลด์เปิดออกมา ซึ่งก็อาจจะถูกแก้ไขในอัปเดตต่อไปก็ได้ครับ
อีกจุดสังเกตที่เจอตั้งแต่ MIUI 12 บนมือถือ Mi 11 ก็จะเป็นเรื่องของ Dark Mode ที่มีปัญหาในแอปบางตัวอย่าง Shoppee, Facebook และ Netflix สาเหตุมาจากที่ตัว MIUI 12 ทำการบังคับเปิด Darkmode โดยการเปลี่ยน Element ทุกอย่างที่เป็นสีขาวให้เป็นสีดำ ทำให้บางครั้งไอคอน หรือภาพกลืนไปกับพื้นหลัง หรือในเคสของ Netflix ที่ซับไตเติลมีเงาขาว ๆ ขึ้นมาแทนทำให้อ่านยาก
ตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นใน Netflix (ไม่สามารถแคปภาพได้ เลยเห็นแค่ซัพไตเติ้ลเท่านั้น)
แต่ปัญหานี้ผู้ใช้งานก็สามารถแก้ได้ง่าย ๆ เพียงไปปิด Dark Mode เฉพาะแอปที่มีปัญหาในหน้า Settings แต่ถ้าพูดกันตามตรง ปัญหานี้ก็ไม่ควรเกิดขึ้นแต่แรก แต่ไม่แน่ทาง POCO ก็อาจปล่อยอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อแก้ไขในอนาคตก็เป็นได้ครับ
กล้อง
ถัดมาในเรื่องของกล้องถ่ายรูป POCO F3 ก็ทำออกมาได้น่าพอใจเลย ให้กล้องมาถึง 3 ตัวได้แก่ กล้องหลัก 48MPกล้อง, Ultrawide 8MP และ กล้อง Telemacro 5MP ซึ่งถ้าใครที่เคยใช้งานมือถือ POCO มาก่อนก็น่าเข้าใจกันดีว่ามือถือเครื่องนี้ไม่ได้เน้นไปที่การใช้งานกล้องซักเท่าไหร่ แต่ POCO F3 ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ในสถานการณ์ที่แสงดี ๆ สว่าง ๆ ตัวกล้องหลักสามารถถ่ายรูปออกมาได้ชัดเจน รายละเอียดดี สีอาจจะออกไปทาง Satuation กับ Contrast หนัก ๆ หน่อยซึ่งถ้าใครชอบแนวนั้นก็เหมาะเลยครับ
กล้องหน้า 20MP ก็ถือว่าใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาเลย ตัวมือถือก็มีฟีเจอร์ถ่าย Selfie ที่ครบครัน แถมฟิลเตอร์หลากหลายถูกใจสายเซลฟี่แน่นอน แต่มีข้อสังเกตอยู่ทีว่าภาพจะออกมาซอฟท์ ๆ หน่อย หน้าอาจจะเนียนผิดธรรมชาติไปบ้าง แน่ถ้าใครชอบเซลฟี่หน้าเนียน ๆ ก็น่าจะชอบกันแน่นอน
เรื่องโหมดกลางคืนก็จะมีจุดสังเกตใหญ่ ๆ อยู่ที่เวลาในการประมวลผลภาพที่ใช้เวลานานเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่ถ่ายที่แสงน้อยหรือตอนกลางคืน มือถือจะใช้เวลาราว ๆ 1 – 2 วินาทีหลังจากกดชัตเตอร์เพื่อประมวลผลภาพซึ่งอาจจะฟังดูเหมือนไม่ได้นานขนาดนั้น แต่ก็ถือว่ามีโมเม้นต์ที่ขัดใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ระบบสั่น Heptic
ถือว่าต้องแยกหัวข้อออกมาพูดกันเลยกับเรื่องระบบสั่น Heptic ที่ปกติแล้วมือถือราคาหมื่นกลาง ๆ อาจจะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ POCO F3 ถือว่าเหนือความคาดหมายมาก ๆ เป็นระบบสั่นที่แรงเร็ว และรู้สึกพรีเมียมมาก ๆ ฟีลเดียวกับมือถือเรือธงตัวท็อป ๆ เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นตอนพิมพ์แชท หรือเวลาได้รับการแจ้งเตือนก็จะรู้สึกดีมาก ๆ ครับ
แบตเตอรี่
สำหรับใครที่ห่วงว่าสเปคแรงแล้วจะกินแบตเตอรี่ก็ไม่มีปัญหาเลย เพราะ POCO F3 มาพร้อมกับแบตขนาดใหญ่ 4520mAh สามารถใช้งานทั้งวันแบบจัดเต็ม เหลือกลับบ้านประมาณ 30% สบาย ๆ เลย แต่ถ้าเล่นเกมก็อาจจะหมดไวหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกตินะ ซึ่งทาง POCO ก็มีการเคลมว่าแบตเตอรี่ขนาดนี้สามารถ Stand by ได้ 268 ชั่วโมง, เล่นเกมได้ 10 ชั่วโมง, ดูหนักได้ 14 ชั่วโมง และฟังเพลงได้ 149 ชั่วโมงเลยทีเดียว
POCO F3 ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ชาร์จไว 33W พร้อมอแดปเตอร์ชาร์จในกล่อง สามารถชาร์จแบตเต็ม 100% ได้ในเวลาเพียง 52 นาทีเท่านั้น ต่อให้แบตหมดชาร์จแปปเดียวก็เต็มแล้วสะดวกมาก ๆ
สรุป
POCO F3 ถือว่าเป็นมือถือสเปคแรงที่เข้ามาทลายตลาดให้กระเจิงกันอีกครั้งหนึ่ง ด้วยสเปคเครื่องระดับเรือธงจากชิป Snapdragon 870 พร้อมทั้งดีไซน์ตัวเครื่องโดยรวมที่ถือว่าเกินราคามาก ๆ ทำให้ POCO F3 ถือว่าเป็นมือถือในเรนจ์ราคาหมื่นต้น ๆ ที่น่าสนใจมาก ถ้าไม่ติดเรื่อง MIUI12 ที่มีปัญหาเรื่องการใช้งานเล็กน้อย ผนวกกับกล้องที่ยังสู้รุ่นอื่น ๆ ไม่ได้ ไม่งั้นมันคงนับเป็นหนึ่งในมือถือ “นักฆ่าเรือธงที่สมบูรณ์แบบ” ไปแล้ว
POCO F3 มีมาวางขายด้วยกัน 3 สี ได้แก่ สีขาว ◉ Arctic White, ◉ สีดำ Night Black และ ◉ สีฟ้า Deep Ocean Blue
- 6GB/128GB ราคา 10,999 บาท
- 8GB/256GB ราคา 12,999 บาท
ข้อดี
- สเปคสุดแรงในทุกด้าน เหมาะกับการเล่นเกม และใช้งานทั่วไปสบาย ๆ
- หน้าจอเกินราคากับ AMOLED 120Hz พร้อม Touch Sampling Rate 360Hz (หรือ 480Hz กันแน่ 🤣)
- ดีไซน์สวยงามดูพรีเมียม เครื่องบางพกพาสะดวก
- ราคาคุ้มค่ากับสเปคที่ได้
- โมเตอร์สั่น Heptic ดีมาก ๆ สำหรับมือถือราคานี้
ข้อสังเกต
- ฝาหลังเป็นรอยนิ้วมือง่ายมาก ๆ
- MIUI12 มีบัคในการใช้งานค่อนข้างเยอะ เช่นในเรื่องของ Dark Mode
- ระบบกล้องหลังที่ยังธรรมดาอยู่
รุ่นนี้เห็นมีคนบ่นเรื่องความสว่างกันมาก โดยมีสว่างน้อยผิดปกติ spec. ที่บอกว่า 1300 nit เป็นค่าสูงสุด เมื่อแสดงแบบ HDR เท่านั้น การใช้งานปกติจะลดลงมาก เห็นรีวิวในต่างประเทศบอกว่า ประมาณ 500 กว่าๆเท่านั้นเอง หรือเพิ่มเป็น 700 กว่า เมื่อตั้งค่าเป็น Auto Brightness และยังมีปัญหาเมื่อเครื่องร้อน ความสว่างของจอจะลดลงอีกด้วย
1300 คือค่า peak หลาย ๆ รุ่นก็แจ้งแบบนี้อย่าง S21 ก็แจ้งไว้ 1300 แต่ก็วัดจริงได้ 4xx/8xx ต้องดูสเปคให้เป็นครับพวกนี้มันเล่นแง่เลขการตลาดมันเยอะ ส่วนเรื่องทัสความใสเคลียร์และเสียงดรอปก็คงตามนั้นแหละ
Xiaomi และในเครือ ปีนี้ (และปีก่อนหลายรุ่น) ทำสแกนนิ้วด้านข้าง กลายเป็นปลดโดยไม่ได้ตั้งใจบ่อยมาก
มันตั้งค่าได้นะครับ แบบต้องออกแรงกด เซ็นเซอร์ถึงจะสแกน
ขอบคุณครับ เดี๋ยวลองดู
มีดีแค่ชิปแรงอย่างเดียว ยังไม่ใช่นักฆ่าเรือธงหรอก
ถ้าไม่เล่นเกมส์หรือเล่นเกมส์ไม่หนัก A52 5G ดีกว่ามากเลย
หน้าจอดีกว่า(สวยและสว่างกว่า), งานประกอบดีกว่า, มีรูหูฟัง 3.5mm, มีช่อง SD Card, น้ำหนักเบากว่า, กล้องดีกว่า(หน้าและหลัง), มี IP67, UI ดีกว่า, OS Support นานกว่า, ศูนย์บริการดีกว่า
Antutu แค่ 250k คุณคิดว่ามันยังจะลื่นอยู่ได้กี่ปีครับ
Pocophone f1 ปี 2018 มาตอนนี้ก็ยังใช้งานดีลื่้นอยู่
Samsung A series ปี 2018 ตอนนี้มีเครื่องไหนลื่นอยู่บ้างล่ะครับ
Poco กลับมาสมศักดิ์ศรีคง concept ไม่เหมือน oneplus จาก flagshipkiller การเป็น flagship ซะเอง
kill หมด แม้กระทั่งแบรนด์ตัวเอง
มีปัญหาเรื่องทัชอยู่ครับ เจอกันหลายคน
รอ f3 pro ละกันครับ เดี๋ยวมันก็ออก ไอ้แบรนด์สุดคุ้มโรคจิตดนี่ย
ไอ่พวกที่ออกมาบอกว่าสเปคกระดาษอย่างนู้นอย่างนี้ ซัมซุงดีกว่าอย่างโน้นอย่างนี้ หารู้ไม่แต่ก่อนซัมซุงพึ่งเกิดในตลาดมือถือ ที่ตามหลังโนเกีย โมโต ก็ทำแบบนี้แหล่ะ อัดสเปคขายราคาถูกมากๆๆๆๆๆ สมัยก่อนเพื่อนผมยังบอกให้ฟรียังไม่เอาเลยซัมซุง พอเจ้าตลาดเกือบตาย ตัวเองก็ขึ้นมาผงาด พร้อมกับอัพราคา ขึ้นมาดูพรีเมี่ยมขึ้น วัวอย่าลืมตืนครับ ตอนนี้มือถือจีนก็ทำกลยุทธ์ตามซัมซุงสมัยก่อนนี่แหล่ะ ดูหัวเหว่ยเป็นตัวอย่าง แต่ก่อนก็ถูกอย่างขี้ พอมาตอนหลังยอดขายดีก็อัพตัวเองขึ้นเป็นแบบพรีเมี่ยม อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้ แต่ก่อนเร้าเตอร์หัวเว่ยผมยังไม่เอาเลยครับ โยนทิ้งเลย
มันก็ไม่แปลกนะครับ ขายของ ใครอยากขายถูก ไม่มีหรอก แต่จุดสำคัญคือ ขยับตัวมาขายแพงแล้ว ทำยังไงให้คนยังซื้ออยู่นั่นละ ซึ่งซัมซุงถือว่าสอบผ่านนะ หัวเหว่ยก็สอบผ่าน
ส่วนเสี่ยวมี่ รอวันมันพัง ไม่ใช่เพราะเกลียดมันนะ แต่พยายามทำยอดขายโดยการออกรุ่นใหม่บ่อยๆ จนไม่สามารถโฟกัสการทำรอมที่ดีได้เหมือนเดิม แต่ติดตลาดไปแล้วทำไงก็ขายได้ คนใช้เจอปัญหาก็มี ไม่เจอปัญหาก็มี เลยยังขายได้เรื่อยๆ
ก็รอดูต่อไปล่ะกันครับ เราเห็นแต่ผู้ชนะที่ยืนได้ ส่วนผู้แพ้ก็ได้แต่ม้วนเสื่อกลับบ้าน
อยากรู้ว่าเป็นไงไปในกลุ่มครับบอกได้คำเดียวว่าป่วย
ชาร์ตแบตเต็ม 100% โดยใช้เวลาเพียง 52% เท่านั้น หมายถึงชาร์ต 100%
ที่เวลาเทียบเท่า 52% หรือยังไงครับ งง
ขำไอ้คนบอกว่าป่วย แสดงว่าเห็นเค้าสเปคดีหน่อยซื้อมาใช้ไม่ศึกษาดูเลย เสียวหมี่ เค้ารีบเข็นออกมาขายก่อนก็พอจะตำหนิได้อยู่บ้าง แต่ทุกรุ่นพออัพเดตไป 1-3 ครั้ง สามารถใช้งานได้ดีกว่า fw ออกขายแน่นอน รับประกันให้เลยโดยแฟนหมี่ตัวจริง redmi note8,9s,10 ,poco x3,f3,mi 9t,10tและอีกหลายรุ่นก่อนหน้า เหมือนกันหมดรอ fw ใหม่ ซ่อมบั๊ก รอเค้าหน่อยแล้วคุณจะติดใจ poco f3 สุดจริงใจเรทนี้ ย้ำว่าไม่ได้เน้นกล้องดีที่สุด แต่ต้อง over all ที่สุด(สุดทุกทาง)
***แถมให้ ตัว f3 มีระบบ memc ช่วยภาพเคลื่อนไหวในวีดีโอด้วย (เหมือน motion flowในทีวี)ใช้กับแอฟ youtube/netflix ได้ด้วย นึกว่าจะได้ใช้กับ mi10t แต่โดนกั๊กให้ตัว pro คราวนี้สะใจกว่าได้ใช้กับจอ amoled สุดไปอีก
Netflix ปกติไม่ให้แคปอยู่แล้วครับ เป็นเรื่องความปลอดภัย