สมาร์ทโฟนขนาดมหึมา ที่เรียกกันว่าแฟบเล็ท (Phablet) นั้น หนึ่งในรุ่นที่อยู่ในความทรงจำแน่นอนว่าต้องมี Samsung Galaxy Mega ที่เมื่อปีที่ผ่านมาออกรุ่น 6.3 และ 5.5 5.8 มาทำตลาดด้วยกันถึง 2 รุ่น ซึ่งรุ่น 6.3 นั้นก็ได้รับความนิยมในหมู่คนที่ชอบหน้าจอใหญ่ๆ เพราะตัวเครื่องนั้นมีขอบหน้าจอที่บางกว่าแท็บเล็ท 7 นิ้วนั่นเอง ส่วนรุ่น 5.5 5.8 นั้นกลับเงียบกว่า และตอนนี้ทาง Samsung ก็มี GALAXY Grand 2 มายึดตลาดหน้าจอช่วง 5 นิ้วไปแล้ว

มาในปีนี้ Samsung ก็ได้เอา Galaxy Mega ออกมาทำใหม่อีกครั้ง โดยในครั้งนี้ปรากฏตัวออกมาเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ GALAXY Mega 2 ที่มาพร้อมหน้าจอขนาด 6 นิ้ว TFT LCD ความละเอียด HD 1280 x 720 รองรับ 4G LTE และตั้งราคาขายไว้ที่ 14,500 บาท

พอขนาดหน้าจอลดลงจาก 6.3 มาเหลืออยู่ที่ 6 นิ้วก็ทำให้ Galaxy Mega 2 นั้นจับได้ถนัดและง่ายขึ้น หน้าจอ Super AMLOLED ความละเอียด HD นั้นตอนแรกผมก็กลัวว่ามันจะแอบหยาบและเห็นเป็นจุดพิกเซลหรือไม่ แต่ก็พบว่าหน้าจอนั้นเนียนใช้ได้ คือไม่ได้คมจนบาดตา แต่ก็ไม่หยาบจนเห็นเป็นเม็ดๆ

ส่วนเรืองการใช้งานมือเดียวนั้นก็คงเป็นไปได้ยากอยู่ดี ไม่ว่ารุ่นไหนๆ ที่ทำหน้าจอใหญ่ๆ 6 นิ้วขึ้นไปทั้ง Samsung, Huawei หรือ Sony ถึงแม้จะมีโหมดการใช้งานมือเดียวมาช่วยก็บอกได้เลยว่ามันก็ยังไม่สะดวกเท่าไหร่ เวลาถือมือเดียวแล้วพยายามพิมพ์ด้วยนิ้วโป้งนี่ ได้แต่ลุ้นว่าเครื่องจะหล่นตอนไหน

Galaxy Mega 2 มีโหมดหน้า Home แนวนอนมาให้เหมือนกับรุ่นที่แล้ว ซึ่งผมว่าสะดวกดี ไม่ต้องพลิกไปพลิกมาเวลาเปิดปิดแอปหรือเกม สามารถใช้ได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน

ชิพของ Galxy Mega 2 นั้นใช้เป็น Exynos 4415 1.4GHz quad-core มาพร้อมกับ GPU Mali-400MP (quad-core 533MHz) หน่วยความจำในตัวเครื่อง(ROM) 16GB และให้ RAM 1.5GB

ที่ผมแปลกใจคือดีไซน์ด้านหลังของ Mega 2 ที่กลับไปใช้ฝาหลังหนังเทียมพร้อมด้ายเย็บขอบแบบเดียวกับ Note 3 เฉยเลย ทั้งๆ ที่แทบทุกรุ่นที่เปิดตัวในปีนี้ใช้ฝาหลังลายพลาสเตอร์ของ S5 กันหมด

กล้องหลังของ Galaxy Mega 2 นั้นมีความละเอียดที่ 8MP Auto-focus พร้อม LED แฟลช ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 2.1MP

ขอบด้านข้างตัวเครื่องก็เป็นพลาสติกเคลือบเงาสีเงิน ไม่ได้มีการทำลวดลายอะไรเป็นพิเศษ ตำแหน่งแกะฝาหลังก็อยู่ระนาบเดียวกับตัวกล้อง  

แบตเตอรี่ของ Galxy Mega 2 มีความจุ 2,800 มิลลิแอมป์ ก็ถือว่าโหดเอาเรื่อง ในแบตเตอรี่ก็ฝังแผงวงจร NFC มาด้วย ช่องใส่ซิมการ์ด (micro SIM) และช่องไมโครเอสดีอยู่ด้านขวาบนของตัวเครื่องโดยจะวางซ้อนทับกันอยู่

Galaxy Mega 2 นั้นถึงแม้จะไม่ได้มาพร้อมกับ Android L (แน่สิ ก็ google ยังทำไม่เสร็จ) แต่ก็ได้ Android 4.4.4 มาตั้งแต่วางขายเลย

ส่วน ROM ที่ให้มา 16GB นั้นเปิดเครื่องมาก็เหลือราวๆ 11GB ถือว่าโอเค เสียพื้นที่ให้ระบบไปแต่ 4GB ไม่มากเท่าไหร่

ตอนแรกที่ผมลองเปิด Multi-Windows ของ Mega 2 ขึ้นมา ก็แอบตกใจว่าทำไมมันไม่มี LINE ให้เลือกแบ่งหน้าจอ พอกดไปกดมาถึงได้รู้ว่ามันต้องไปเลือกเพิ่มจากในการตั้งค่าของ Multi-Windows อีกทีนึง

คือถ้าแบ่งจอ LINE กับ Facebook ไม่ได้นี่แย่เลยนะ

มาถึงโหมดกล้องของ Galaxy Mega 2 กันแล้ว ซึ่งเท่าที่ลองกดๆ ดูก็มีโหมดทั่วๆ ไปของ Samsung อย่าง Beauty face, Multishot, Panorama, Richtne (HDR)

 

 = ตัวอย่างภาพถ่ายจาก Samsung Galaxy Mega 2 =

วันนี้เพิ่งได้เครื่องมาทดสอบ ก็เลยเอาไปลองกดภาพมาให้ดูกันสักเล็กน้อย แต่กว่าผมจะได้เครื่องก็บ่าย 3 บ่าย 4 ตอนนี้ฟ้าก็เริ่มจะครึ้มๆ แล้วครับ ยังไงก็ลองดูกันคร่าวๆ ไปก่อน

ภาพถ่าย Auto Mode

 ภาพถ่าย Richtone HDR Mode

ภาพนี้ Crop แค่บางส่วนมานะครับ

เท่าที่ได้ลองถ่ายมาผมชอบเรื่องความเร็วของชัตเตอร์ พอล็อคโฟกัสได้ก็กดถ่ายรัวๆ ต่อเนื่องได้เลย (แต่ถ้ายังล็อคไม่ได้ก็อีกเรื่อง) สำหรับสีที่ได้มานั้นค่อนข้างตรงกับของจริง อย่างพวกดอกไม้สีแดงๆ นี่ค่อนข้างเป๊ะมาก กล้องค่ายอื่นๆ บางทีเจอปัญหากลายเป็นสีชมพูหรือเพี้ยนไปเลยก็มี

Samsung Galaxy Mega 2 จะเริ่มวางจำหน่ายในช่ววงต้นเดือนกันยายน ราคา 14,500 บาท โดยจะมีให้เลือก 2 สี คือสีขาวและสีดำ