หลายๆคนอาจจะงงว่า Preview ตัวนี้โผล่มาได้ยังไง ซึ่งตัวผมก็งงอยู่เหมือนกันว่าจะมาเขียน Preview ที่ Droidsans ทำไมเนี่ย แต่ไหนๆก็ได้มาเล่น 2 วันแล้วก็เขียนมันซะเลย ฮ่าๆ
เอาน่ะ คู่แข่งของ Android TV ทั้งที ถ้าเราไม่รู้ว่าอีกเจ้าเค้าดียังไง แล้วเราจะไปเปรียบเทียบได้ยังไงเล่าเนอะ แต่ก็ขอเขียนแค่พรีวิวเท่านั้นนะครับ เพราะไม่ได้มีเวลาลองเล่นจริงๆจังๆมากนัก
แกะกล่องก่อนเลย
ตัวกล่องมาในรูปทรงสี่เหลี่ยมสีดำๆไม่มีลวดลายอะไรมาก มีแค่โลโก้ด้านหลังและรายละเอียดที่ด้านหลัง (รุ่นที่เอามาพรีวิวหิ้วมาจากญี่ปุ่น ความจุ 32GB)
เปิดกล่องออกมาก็จะเจอตัวเครื่องกับรีโมตแบบนี้
จะมี Apple TV, Siri Remote, สายไฟ, สาย Lightning และคู่มือการใช้งาน
คู่มือก็จะมีรายละเอียดการใช้งานคร่าวๆ และสติ๊กเกอร์รูปแอปเปิลแบบของ Macbook
ตัวเครื่องภายนอกบอกเลยว่าเหมือนเดิมล่ะ ต่างกันที่พอร์ตด้านหลังเครื่องและสูงกว่าเก่าเท่านั้น
มีเทปกาวปิดขอบกับด้านล่างของเครื่องมาให้เพื่อกันรอยก่อนจะส่งมาถึงมือเรา
ด้านล่างตัวเครื่องเป็นแบบนี้
พอร์ตด้านหลังจะมีช่องเสียบกับไฟบ้าน, HDMI, Ethernet LAN และ USB Type-C
หัวต่อไฟบ้านเป็นแบบนี้ ซึ่งจะแน่นและหลุดยาก
เวลาเปิดเครื่องจะมีไฟที่ด้านหน้าเครื่องแบบนี้ และจะกระพริบเวลาที่มีการกดปุ่มใดๆบน Siri Remote
สำหรับ Siri Remote แตกต่างไปจากของเดิม และดูเหมาะสมกับ Apple TV มากขึ้น โดยปุ่มทิศทางใช้เป็นแบบสัมผัสเหมือน Android TV แล้ว เวลากดเลือกก็คือกดปุ่มทิศทางนั่นแหละ และก็จะมีปุ่มอีกสี่ปุ่มดังภาพ โดยตัวรีโมตส่งข้อมูลผ่าน Bluetooth 4.0 หรือแสงอินฟาเรดก็ได้ แถมยังมี Accelerometer กับ Gyroscope ในตัวอีกด้วยแน่ะ
ด้านหลังดูเป็น Apple Product มากๆ ซึ่งจะมีรูไมค์ที่ด้านหน้าและด้านหลังสำหรับสั่งงานด้วยเสียงผ่านตัวรีโมต
ไม่ต้องใช้ถ่าน มีแบตเตอรีในตัว สามารถเสียบชาร์จโดยใช้สาย Lightning ได้เลย
สเปคโดยรวม
สำหรับ Apple TV ในล่าสุดนี้ก็เป็นรุ่นที่ 4 แล้ว (4th Generation) ซึ่งก็มีการอัพเดทอะไรหลายๆอย่างขึ้นมาจากรุ่นเก่าๆมากพอสมควร ทั้งในแง่ของ Software และ Hardware ซึ่งในรุ่นนี้จะมาพร้อมกับสเปคดังนี้
- OS : tvOS 9.0
- CPU : Apple A8
- RAM : 2GB
- ROM : 32/64 GB
- Connectivity :
- Bluetooth 4.0
- Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac + MIMO
- 10/100 Ethernet
- IR receiver
- USB Type-C
- HDMI 1.4
- Dimension : 98 x 98 x 33mm
- Weight : 425g
และสำหรับ Siri Remote
- Connectivity :
- Bluetooth 4.0
- IR Transmitter
- USB Lightning (สำหรับชาร์จไฟ)
- Battery : Built-in (ชาร์จครั้งนึงใช้ได้เป็นเดือน)
- Sensor :
- Accelerometer
- Gyroscope
เปิดเครื่องกันเถอะ
เพียงแค่เสียบสายต่อไฟบ้านและต่อ HDMI เข้ากับจอทีวีก็ใช้ได้เลย
สิ่งแรกสุดที่ต้องทำเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรกคือต้องเชื่อมต่อกับ Siri Remote เสียก่อน
มีภาษาไทยให้ด้วยนะ
หน้าตาของคีย์บอร์ดบน Apple TV (รูปแบบเปลี่ยนไปตามรูปแบบข้อมูลที่จะพิมพ์ลงไป)
มีฟีเจอร์ Aerial Screensaver ที่จะเปลี่ยนภาพพักหน้าจอเป็นวีดีโอคมชัดที่ถ่ายจากสถานที่สวยๆมาแสดง ซึ่งจะมีอยู่อันนึงในเครื่องอยู่แล้ว แต่สามารถดาวน์โหลดเพิ่มแบบอัตโนมัติได้
หน้าแรกสุดของ Apple TV จะเป็นแบบนี้ โดยแถวข้างบนสุดจะเป็นการ Suggest จากเมนูที่เลือกอยู่ ณ ตอนนั้น (ผมเลือก Movies iTunes อยู่ มันเลยแสดงเป็นรายชื่อหนังที่น่าสนใจ)
สำหรับเวอร์ชันนี้มาพร้อมกับการรองรับ App เพิ่มจึงทำให้สามารถดาวน์โหลดแอพมาติดตั้งได้ตามใจชอบจาก App Store แต่ว่าจะต้งเป็นแอพที่รองรับ Apple TV เท่านั้นนะ
เกมขาประจำก็โผล่มากัน
สำหรับบางเกมจะ Exclusive เฉพาะ Apple TV ด้วยนะ (สงครามแย่งชิงแอพ)
เกมส่วนใหญ่สามารถใช้ Siri Remote ควบคุมได้เลย แต่ถ้าต้องการใช้จอยก็ต้องหาจอยบลูทูธมาต่อเท่านั้นนะ
สำหรับแอพอื่นๆนอกเหนือจากเกมก็มีให้ใช้งานพอสมควร ถือว่าไวเหมือนกันนะ สำหรับการผลักดันให้นักพัฒนาทำแอพให้รองรับ Apple TV ด้วยหลังจากที่พึ่งเปิดตัวไปไม่นาน (เทียบกับ Android TV แล้วถือว่าไวมาก)
มี Home Sharing ให้ใช้งานด้วย เอาไว้แชร์พวกเพลงหรือภาพจาก Macbook หรือ iMac
สำหรับหนังที่มีให้ดูถือว่าดีกว่าฝั่งแอนดรอยด์เลยล่ะ เพราะเดิมทีก็มีมานานแล้ว จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นชื่อหนังเวอร์ชันภาษาไทยมาโผล่ในนี้ รวมไปถึงมีหนังไทยอยู่ในนี้ด้วยนะ (แต่ก็เห็นมีอยู่ค่ายเดียว)
หนังบางเรื่องก็มีให้ซื้ออย่างเดียว บางเรื่องก็มีให้ทั้งเช่าและซื้อ และทุกเรื่องสามารถ Preview ดูได้ก่อนซื้อนะ รวมไปถึงมีซับไตเติลกับเสียงภาษาไทยให้ด้วยล่ะ
Music ของ Apple เจ้าของบล็อกไม่ได้ใช้เลยพูดอะไรไม่ได้ (Radio ก็ด้วย) ส่วนเพลงก็สามารถ Sync จาก Apple ID ของเรา แล้วเปิดฟังบนนี้ได้เลย
ลองโหลดแอพ YouTube มาใช้งานบนนี้ดูก็สามารถดูได้ปกติสุข แต่ก็อาจจะไม่มึเมนูบางอย่างที่ต้องการ
แอพใช้งานทั่วไปท่เราจะได้ใช้งานจริงๆก็ยังมีไม่ค่อยเยอะนัก (เหมือน Android TV น่ะแหละ) แต่ก็มีแอพ AirBNB ในนี้ด้วย แถมทำสวยมาก (ความชอบส่วนตัว)
สามารถเปลี่ยนไปยังแอพที่ต้องการได้ง่าย ลื่นไหลตามสไตล์ iOS (tvOS based on iOS) ย้ายแอพไปมาได้อย่างต่อเนื่อง
ปรับ Screen Resolution ได้ด้วย!
Siri บน Apple TV
สำหรับ Siri บน Apple TV รู้สึกว่าจะแตกต่างไปจาก iPhone/iPad นิดหน่อยครับ เพราะว่าไม่ได้มีการโต้ตอบพร้อมลูกเล่นแพรวพราวซักเท่าไร ทำได้แค่ถามเกี่ยวกับหนัง เพลง หรืออื่นๆที่เป็น Content ใน Apple TV ไม่สามารถถามอย่าง “What’s a Google?” แล้วหวังว่าจะมีคำตอบฮาๆให้
แต่สิ่งสำคัญของ Siri บน Apple TV คือรองรับแค่บางภาษาและบางประเทศเท่านั้น ภาษาอังกฤษ (Australia, Canada, UK, US) ภาษาเยอรมัน (Germany) ภาษาฝรั่งเศส (France) ภาษาสเปน (Spain) และภาษาญี่ปุ่น (Japan)
*ในวงเล็บคือประเทศที่รองรับครับ ต้องเป็นภาษานั้นๆและประเทศนั้นๆ
และดูเหมือนว่า Apple TV ที่ขายนอกเหนือจากประเทศดังกล่าวนั้นที่ Siri Remote จะไม่มีไมค์สำหรับพูดสั่งงาน Siri เลยด้วยซ้ำ สังเกตได้จากเว็ปของไทยจะใช้ชื่อว่า Apple TV Remote แทน ไม่ใช่ Apple Siri Remote และไม่มีคำอธิบายฟีเจอร์ของรีโมตว่ามีไมค์สำหรับสั่งงานด้วยเสียง
แต่เนื่องจากเครื่องที่เอามาลองเล่นนั้นมาจากญี่ปุ่น จึงหายห่วงไปได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีสิ่งที่ต้องทำเพื่อรองรับ Siri นั่นก็คือต้องกำหนด Language กับ Region Format ใน Settings ให้เป็นภาษาและประเทศที่รองรับ รวมไปถึงตั้งค่าในตั้งค่า Location ใน Settings ของ iTune และ App Store ใน Apple TV ให้เป็นประเทศที่รองรับด้วย แล้วถึงจะมีข้อความถามเพื่อเปิดใช้งาน Siri
ถ้าไม่ได้เปิดใช้งาน Siri ก็จะเป็นการกดเข้าหน้าค้นหา แต่ถ้าเปิดใช้งาน Siri อยู่ ก็จะขึ้นคล้ายๆกับ iPhone ให้กดปุ่มไมค์บนรีโมตค้างไว้แล้วพูดสั่งงานได้เลย เมื่อพูดเสร็จก็ปล่อยปุ่มได้เลย
การสั่งงานด้วยเสียงทำออกมาได้ดีถึงจะออกมาไม่ถูกต้องบ่อยครั้ง แต่ก็ตอบสนองกับเสียงพูดได้ไวมาก
สรุปคร่าวๆ
ถือว่า Apple TV ในรุ่นนี้ทำออกมาได้โอเคกว่าของเก่าขึ้นมาก โดยเฉพาะในแง่ของแอพที่จะช่วยให้ตัว Apple TV กลายเป็นเครื่องบันเทิงภายในบ้านมากขึ้นโดยเฉพาะแอพเกม
ประสบการณ์การใช้งาน ความลื่นไหลไม่ทำให้ผิดหวังเลย รวมไปถึงความรู้สึกตอนเลื่อนนิ้วไปมาบนรีโมตก็ทำออกมาได้ดี ควบคุมได้ง่ายขึ้น
และยังมี AirPlay ที่ใช้ Macbook/iMac/iPhone/iPad สามารถ Screencast ขึ้นจอได้ทันที (แบบเดียวกับ Google Cast น่ะแหละ)
นอกจากเหนือการใช้ Siri Remote ควบคุมแล้วยังสามารถใช้ iOS Device ควบคุมได้เช่นกัน โดยโหลดแอพจากใน App Store มาใช้
เผื่อใครที่สงสัยว่าช่อง USB Type-C มีไว้ทำอะไร ต้องบอกว่ามีไว้สำหรับนักพัฒนามากกว่าครับ อย่างการแคปหน้าจอจาก Apple TV ก็ต้องเชื่อมต่อผ่านทางนี้เช่นกันครับ แต่ผมไม่มีตัวสาย (ไม่แถมมาให้ด้วย) ก็เลยแคปหน้าจอไม่ได้ ต้องถ่ายภาพจากจอทีวีแก้ขัดไป
แล้ว Apple TV กับ Android TV อย่างไหนดีกว่ากัน
สำหรับในแง่ของความสามารถของทั้งคู่แล้ว บอกเลยว่าตอนนี้ต่างกันน้อยมาก อะไรที่ Apple ทำได้ Android ก็ทำได้ ดูหนังฟังเพลงผ่าน iTune ก็จะมี Google Movies/Music เช่นกัน มี AirPlay ก็มี Google Cast รวมไปถึงแอพที่มีใน Store เช่นกัน แต่บางแอพก็จะ Exclusive สำหรับเครื่องนั้นๆเป็นบางเกม เรียกได้ว่าความสามารถแทบไม่ต่างกัน UI ก็ไม่ค่อยต่างกันด้วย ความรู้สึกตอนใช้งานก็ต่างกันแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
แต่ Apple อาจจะได้เปรียบในแง่ของ Content ในประเทศไทยอย่างเพลงและหนังมากกว่า เพราะของฝั่ง Android TV ยังไม่ค่อยจะเข้ามาซักเท่าไร ในขณะที่ Apple เข้ามาทำ Content ในประเทศไทยมาพักใหญ่แล้ว
Siri Remote ให้ความรู้สึกตอนสัมผัสที่ดีกว่านะ คลึงปัดนิ้วไปมาลื่นไหลดี และก็ Siri ฟังเสียงพูดได้ไวกว่า แต่ Android TV ก็รองรับภาษาไทยนะ
แต่ราคาก็ต่างกันเกือบ 3 เท่าเลยนะเนี่ย
ถ้าถามว่าตัวไหนดีกว่ากันบอกเลยว่าขึ้นอยู่กับว่าภายในบ้านคุณใช้ฝั่งไหนมากกว่ากัน ถ้ามีอุปกรณ์แอนดรอยด์เยอะก็แนะนำ Android TV มากกว่า แต่ถ้าทั้งบ้านเป็นใช้ผลไม้กันก็แนะนำ Apple TV จ้า
ขอจบการพรีวิวเพียงเท่านี้ครับ 😀
ลองให้หน่อยครับว่า มี App TrueVisions Anywhere ไหมครับ
ถ้ามีใช้ได้โดยไม่มีปัญหาอะไรไหมครับ
มาตามคำสัญญาจริงๆ ด้วย ^^
เมื่อไหร่ Content ดูหนังของบ้านเราจะลง Nexus player บ้างเนี่ย
Primetime, iFlix, Hollywood HD ไม่ยอมจัดลงซะที สงสัยจะติดปัญหาลิขสิทธิ์
รออยู่เหมือนกันนะครับ
แต่เห็นของ Primetime นิ ติดปัญหาลิขสิทธิ์เยอะหน่อย โดยเฉพาะของ android ใช้ได้อยู่เจ้าเดียวอะมั้งคับตอนนี้
มันน่าจะต่อ dvb-t2 ได้ด้วย
ผมใช้ Nvidia Shield Android TV อยู่ พอสู้ได้ไหมครับ
อืมมม ผมชอบพวก Android TV Box
+1 … Function อลังการล้านแปดมากกก
โดยเฉพาะการ Cast ที่ทำได้ทั้งจาก Android และ iOs