เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2568 ได้มีการเผยแพร่ประกาศพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 โดยเป็นการแก้ไขปรับปรุงฉบับเดิม และมีการเพิ่มเติมข้อบังคับใหม่ ให้ทันยุคปัจจุบันมากขึ้น เพื่อปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วในวันที่ 12 เมษายนที่ผ่านมา

สรุปสาระสำคัญ : พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568

1. จุดประสงค์ของการออกพระราชกำหนด (ฉบับที่ 2)

  • เพื่อ ปรับปรุงเพิ่มเติม จากพระราชกำหนดฉบับเดิม (พ.ศ. 2566)
  • เพิ่มความเข้มงวดและความชัดเจนในการ ป้องกัน – ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
  • แก้ปัญหาการหลอกลวงทางออนไลน์, บัญชีม้า, การใช้ซิมโทรศัพท์-บัญชีธนาคารในทางมิชอบ

2. เพิ่มนิยามคำว่า “ข้อมูล” ให้ครอบคลุมมากขึ้น

ในมาตรา 3 ได้ ขยายความหมายของ “ข้อมูล” ให้รวมถึง:

  • (6) หมายเลขโทรศัพท์
  • (7) บัญชีเงินฝากหรือบัญชีธนาคาร
  • (8) บัญชี e-Wallet / สินทรัพย์ดิจิทัล
  • (9) บัญชีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ (เช่น LINE, Facebook ฯลฯ)
  • (10) ข้อมูลอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด

3. เจ้าหน้าที่มีอำนาจ “ขอ ระงับ ตรวจสอบ” ได้รวดเร็วขึ้น

  • เจ้าหน้าที่รัฐ (เช่น ตำรวจ, ปปง.) สามารถขอข้อมูลหรือสั่งระงับการใช้งานบัญชี/ซิมโทรศัพท์
    โดยไม่ต้องรอหมายศาล หากเป็นกรณีเร่งด่วน
  • ธนาคารหรือผู้ให้บริการโทรคมนาคมต้อง ตอบสนองคำร้องขออย่างทันท่วงที

4. ให้ประชาชน “ร้องขออายัดบัญชีต้องสงสัย” ได้เอง

  • หากประชาชนสงสัยว่าเงินถูกโอนผิดบัญชี หรือเกี่ยวข้องกับการหลอกลวง → สามารถร้องขอธนาคารให้อายัดบัญชีปลายทางชั่วคราวได้
  • ต้องมี “หลักฐานเบื้องต้น” ประกอบการร้องขอ

5. คุมเข้มการใช้ “บัญชีม้า” และ “ซิมม้า”

ผู้ใดซื้อ เสนอซื้อ ขาย เสนอขาย แลกเปลี่ยน เสนอแลกเปลี่ยน ข้อมูลส่วนบุคคล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เช่น

  • ผู้ที่ยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร, ซิมมือถือ หรือ wallet โดยรู้ว่าเสี่ยงถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ
    → มีโทษทั้ง จำคุกและปรับ
  • ผู้ให้ “เช่าซื้อ” หรือ “โอนบัญชี” ไปยังบุคคลอื่นโดยไม่ตรวจสอบความถูกต้อง
    → ถูกจัดว่า “สนับสนุนอาชญากรรม

6. การบังคับใช้

  • พระราชกำหนดฉบับนี้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (ลงประกาศวันที่ 11 เมษายน 2568 จึงมีผลบังคับใช้วันที่ 12 เมษายน 2568)
  • ใช้ควบคู่กับฉบับเดิม (พ.ศ. 2566) โดยเพิ่มเติมอำนาจ และรายละเอียดในทางปฏิบัติให้เข้มขึ้น

7.จัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุ

  • ตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.)” ในการรับแจ้งเหตุมีอำนาจ ขอข้อมูล / สั่งระงับบัญชี / สั่งบล็อก SMS-เบอร์โทร / ตรวจสอบคริปโต

8.ระบุชัดผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง จะต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหาย หากประชาชนโดนหลอก

  • ตามมาตรา 8/10 ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องจะต้อง ร่วมรับผิดชอบความเสียหาย หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างครบถ้วน เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าได้ดำเนินการตาม “มาตรฐานที่กำหนด” อย่างเพียงพอแล้ว ได้แก่
    • ธนาคาร / สถาบันการเงิน
    • ค่ายมือถือ / ผู้ให้บริการโทรคมนาคม
    • แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (เช่น Facebook, Line, TikTok ฯลฯ)
    • ผู้ให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัล (wallet), ผู้ให้บริการคริปโต เป็นต้น

โดยรายละเอียดหลักเกณฑ์ข้อปฏิบัติ จะมีการประกาศเพิ่มเติมภายหลัง

อ่านฉบับเต็ม >> พระราชกำหนด