เปิดตัวกันไปเรียบร้อยสำหรับ Redmi 8A มือถือภาคต่อ Redmi 7A มือถือรุ่นเล็ก สเปคสุดคุ้ม และที่สำคัญคือราคาสบายกระเป๋า ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในอินเดีย มาคราวนี้ Redmi ก็จะมาสานต่อความสำเร็จนั้นด้วยการอัปเกรดให้ Redmi 8A ทั้งจอใหญ่ขึ้นและแบตเตอรี่ให้มาจุกๆ ถึง 5,000 mAh แต่ราคายังน่ารักเช่นเคย โดยเริ่มต้นที่ 6,499 รูปี หรือประมาณ 2,8xx บาท พร้อมวางขายทางออนไลน์ปลายเดือนนี้
Redmi 8A มาพร้อมดีไซน์ที่เรียกว่า Aura Wave Grip Design คือฝาหลังจะมีลายคลื่นเผ็นแบบแพทเทิร์น ช่วยให้ฟีลลิ่งที่ดีในการจับถือและช่วยลดการเกิดรอยนิ้วมือ พร้อมเคลือบสารกันละอองน้ำ P2i
หน้าจอเป็นกระจก Corning Gorilla Glass 5 มีติ่งหยดน้ำด้านบนเรียกว่า Dot Notch ขนาดใหญ่ 6.22 นิ้ว ความละเอียด HD+ (1520 x 720 พิกเซล)
กล้องหลัง Redmi 8A ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ใช้เซนเซอร์ Sony IMX363 และเม็ดพิกเซลขนาดใหญ่ 1.4μm ช่วยให้ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี แล้วยังมีโหมด AI ด้วย ส่วนกล้องหน้ามีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล มี AI Selfie portrait และรองรับการสแกนใบหน้า (AI Face unlock)
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ Redmi 8A คือเรื่องของแบตเตอรี่ที่ให้มาจุใจถึง 5,000 มิลลิแอมป์ พร้อมรองรับ 18W
สเปค Redmi 8A
- Android 9 Pie + MIUI 10
- หน้าจอ Dot Notch ขนาด 6.22 นิ้ว ความละเอียด HD+ 1520 x 720 พิกเซล
- ชิปเซ็ต Snapdragon 439
- GPU: Adreno 505
- RAM 2GB / 3GB
- หน่วยความจำภายใน 32GB (รองรับ microSD Card)
- กล้องหลัง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (f/1.8, ขนาดพิกเซล 1.4µm, Dual-PD PDAF)
- กล้องหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.0, ขนาดพิกเซล 1.12µm)
- เซนเซอร์ Ambient Light Sensor, Proximity Sensor, Electronic Compass, Accelerometer
- แบตเตอรี่ 5,000 mAh (รองรับชาร์จไว 18W)
- ขนาดเครื่อง: 156.48 x 75.41 x 9.4 มม., หนัก 188 กรัม
Redmi 8A มีให้เลือก 3 สี คือ สีดำ (Midnight Black), สีน้ำเงิน (Ocean Blue) และแดง (Sunset Red) มีให้เลือกกัน 2 รุ่นความจุ ได้แก่ รุ่น 2GB/32GB ราคา 6,499 รูปี (~ 2,8xx บาท) และรุ่น 3GB/32GB ราคา 6,999 รูปี (~ 3,xxx บาท) โดยจะเปิดขายผ่านช่องทางออนไลน์ 29 กันยายนนี้ ส่วนในไทยนั้นคงต้องรอลุ้นกันก่อนว่าจะเข้าไหม ยังไงถ้ามีข่าวคราวเมื่อไหร่เราจะรีบมาบอกกันเลยจ้า ~
Source: xda-developers, Gizmochina, Mi India
ราคาน่าถอย 🙂 🙂
ซื้อให้แม่ใช้น่าสนมาก
รุ่นเล็กขนาดนี้ยังให้ USB C ต่อไปคงใช้ USB C กันหมดเสียที