ขึ้นต้นปีใหม่ แปลว่าได้เวลาของสมาร์ทโฟนซีรีส์คุ้มของ Xiaomi หรือที่รู้จักกันในนาม ‘Redmi Note Series’ รุ่นใหม่ของปีนี้แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ได้เดินทางมาถึงรุ่นที่ 14 กันแล้ว และยังเน้นเรื่องความคุ้มค่าเหมือนเดิม โดยรุ่นเริ่มต้นวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นแค่ 5,999 บาทเท่านั้น แต่รุ่นท็อปสุดอย่าง Redmi Note 14 Pro+ เอง ก็เป็นรุ่นที่ขอขยับมาขายความพรีเมียมมากกว่าเดิม บทความนี้จะพาไปชมว่าซีรีส์ Redmi Note ตัวท็อปมีอะไรดี ไปพร้อม ๆ กับการรีวิวไว ๆ ของรุ่นน้อง Redmi Note 14 ทั้งซีรีส์ !

สเปคของ Redmi Note 14 Pro+

  • จอภาพ : หน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว
    • ความละเอียด 1.5K 1220 x 2712 พิกเซล
    • สว่างสูงสุด 3000 นิต
    • อัตรารีเฟรช 120Hz
    • รองรับ HDR10+, Dolby Vision, กระจกกันรอย Gorilla Glass Victus 2
  • ชิปเซต : Qualcomm Snapdragon 7s Gen 3 (4 nm)
  • RAM LPDDR4X : 12GB
  • หน่วยความจำ UFS 2.2 : 512GB
  • กล้องหลัง :
    • กล้องถ่ายภาพหลัก 200 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Samsung ISOCELL HP3, f/1.65, กันสั่น OIS, 2.24μm 16-in-1 pixel binning
    • กล้องอัลตราไวด์ 8 ล้านพิกเซล f/2.2
    • กล้องถ่ายภาพมาโคร 2 ล้านพิกเซล f/2.4
  • กล้องหน้า : 20 ล้านพิกเซล f/2.2
  • ระบบเสียง : ลำโพงคู่ Dolby Atmos
  • แบตเตอรี่ : 5,110 mAh
    • รองรับชาร์จไว 120W HyperCharge
  • การเชื่อมต่อ
    • 5G
    • Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac/6
    • Bluetooth 5.4
    • NFC
  • พอร์ต
    • USB C
    • ซิม : Hybrid Dual SIM (Nano-SIM, dual stand-by)
  • เซนเซอร์ : Fingerprint (สแกนนิ้วบนหน้าจอ, optical), accelerometer, gyro, proximity (ultrasonic), compass
  • ความทนทาน : IP68
  • ระบบปฏิบัติการ : HyperOS บนพื้นฐาน Android 14
  • ขนาด :
    • 162.53 x 74.67 x 8.75 มม. (วัสดุกระจก)
    • 162.53 x 74.67 x 8.85 มม. (วัสดุ Vegan Leather)
  • น้ำหนัก: กระจก 210g / Vegan Leather 205g

ดีไซน์

ว่าด้วยเรื่องของงานดีไซน์แล้วนั้น Redmi Note 14 Pro+ คือสมาร์ทโฟนที่ทำดีไซน์มาได้พรีเมี่ยมมากขึ้นไม่น้อยเลย โดยได้ดีไซน์ฝาหลังมาให้ดูเรียบหรูมากขึ้น อย่างสีดำ Midnight Black ที่รีวิวอยู่นี้ก็จะให้ดีไซน์ฝาหลังเครื่องเป็นกระจกสีดำ ขัดด้าน ทำให้สามารถจับถือได้รู้สึกถึงความพรีเมียมมากขึ้น ด้วยการทำฝาหลังให้โค้งไปด้านหลังตามความโค้งของจอและการขัดด้านนี้ ซึ่งฝาหกลังสัมผัสนี้จะมีแค่ในสีดำ Midnight Black และสีฟ้า Frost Blue เท่านั้นนะ อีกตัวเลือกสีอย่าง Lavender Purple นั้นจะเปลี่ยนฝาหลังไปใช้หนังวีแกนแทน แต่สัมผัสตัวเครื่องก็ดีไม่แพ้กันนะ

ส่วนเรื่องความพรีเมี่ยม ตัวเครื่องยังเพิ่มความพรีเมี่ยมในตัวเครื่องให้แน่นกว่าเดิมอีก ด้วยการทำตัวเครื่องให้รองรับมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP68 ด้วย แถมยังมีเทคโนโลยี Wet Touch เพื่อให้ทัชหน้าจอได้แม้จอจะเปียกอยู่ด้วย แปลว่าต่อให้ตัวเครื่องจะเปียกน้ำจากการเล่นน้ำอยู่ ก็สามารถแตะหน้าจอเพื่อให้เล่นต่อได้แน่นอน

นอกจากนั้นยังได้เสริมความแข็งแรงด้วย ‘All-Star Armor Structure’ ซึ่งเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งและทนทานของตัวเครื่องมากขึ้นด้วยการเพิ่มโครงสร้างการป้องกันการกระแทก All-Star Armor Structure ที่ใส่วัสดุที่กันกระแทกทั้งข้างเครื่อง, โครงสร้างภายใน, เฟรมอัลลูมิเนียมเพื่อให้ทนต่อการตกกระแทกมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงกระจกจอหลัง Corning Gorilla Glass 7i (ในสีที่ใช้ฝาหลังกระจก) ด้วย

โดยเฉพาะหน้าจอของ Redmi Note 14 Pro+ (และ Note 14 Pro) ที่ได้ให้กระจกครอบหน้าจอเป็น Corning Gorilla Glass Victus 2 ที่ทนต่อการตกกระแทกได้ดีขึ้น และเป็นกระจกหน้าจอของสมาร์ตโฟนเรือธง (แม้จะเป็นรุ่นเก่า) เลยด้วย ซึ่งทำให้รูปร่างภายนอกของ Redmi Note 14 Pro+ และ Note 14 Pro ถือว่าได้ให้ดีไซน์ที่สวย และแข็งแรงมากอยู่ทีเดียว

หน้าจอ

พูดถึงหน้าจอแล้วหน้าจอของ Redmi Note 14 Pro+ (รวมถึง Redmi Note 14 Pro) มาพร้อมกับหน้าจอ CrystalRes AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 2712×1220 หรือ 1.5K รีเฟรชเรต 120Hz และความสว่างสูงสุด 3000 nits ด้วย พร้อมกับเป็นหน้าจอแบบโค้ง ซึ่งทำให้การใช้งานหน้าจอของ Redmi Note 14 Pro+ นั้น ทำออกมาได้ค่อนข้างพรีเมี่ยมอยู่นะ เพียงแต่ว่าเทรนด์สมาร์ตโฟนตอนนี้เริ่มเอนเอียงไปทางจอแบนมากขึ้นแล้ว แม้ว่าจะมีความแข็งแรงที่มากขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังเจอปัญหาเรื่องการหาฟิล์มมาติดรอบตัวเครื่องที่ยังคงหามาติดได้ยากอยู่บ้างเหมือนกัน

แต่ที่ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีคือเรื่องของการถนอมสายตา โดยหน้าจอของ Redmi Note 14 Pro และ Note 14 Pro+ ได้ให้ PWM Dimming หรืออัตราการกระพริบของหน้าจอที่ 1920Hz เลย แม้จะไม่ใช่จำนวนที่มากจนหน่าตกใจ แต่ก็เป็นจำนวนที่มากพอที่จะทำให้สามารถใช้งานหน้าจอได้แบบสบายตามากขึ้นอยู่เหมือนกันนะ

ส่วนคุณภาพของหน้าจอจริง ๆ แล้ว ถือว่ายังสามารถแสดงผลสีและความละเอียดของภาพได้ดี และสามารถเล่นภาพที่ 120Hz ได้ค่อนข้างลื่นไหลมากทีเดียว ถือเป็นสมาร์ทโฟนระดับหมื่นกลางที่ทำเรื่องของการใช้งานทั่วไปได้ค่อนข้างดีมากอยู่ และยังสามารถใช้หน้าจอเพื่อเสพคอนเทนต์ได้ด้วย แต่หน้าจอจะมีสีที่ค่อนข้างสดหน่อย ถ้าอยากให้ได้ภาพที่เรียบ หรือสีตรงกว่านี้ สามารถลดโทนสีไปใช้สีโหมด ‘สีดั้งเดิมโปร’ ก็ได้เหมือนกัน

พูดถึงรุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์บ้างเล็กน้อย ที่น่าสนใจคือหน้าจอของ Redmi Note 14 ทั้งซีรีส์มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.67 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz ทั้งหมดเลย ที่แตกต่างกันจะเป็นเรื่องของสเปคหน้าจอ และรูปทรงของหน้าจอ โดย Redmi Note 14 4G และรุ่น 5G จะให้หน้าจอแบบแบน และมีความอิ่มของสีที่ไม่ดีเท่ารุ่น Pro แต่ที่มีเหมือนกันทั้งซีรีส์ คือเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือแบบแสงใต้หน้าจอ ที่ได้ให้มาครบทุกรุ่นแบบทั่วถึงเลย

กล้องถ่ายภาพ

ทีนี้ มาที่เรื่องของกล้องถ่ายภาพกัน หลาย ๆ คนถ้าได้เห็นข่าวการเปิดตัว Redmi Note 14 Series ที่ประเทศอินเดีย น่าจะสังเกตเห็นว่าชุดกล้องถ่ายภาพของ Redmi Note 14 Pro+ (รวมถึงรุ่น Pro) นั้น ได้ให้กล้องถ่ายภาพมาไม่เหมือนกัน เพราะว่า Redmi Note 14 Pro+ และ Pro ที่เข้ามาขายในประเทศไทยนั้น เป็นเวอร์ชัน Global ที่ขายเหมือน ๆ กันทั่วโลกนั่นเอง โดยได้ให้สเปกกล้องถ่ายภาพมาดังนี้ คือ

  • กล้องถ่ายภาพหลัก 200 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Samsung ISOCELL HP3, f/1.65, กันสั่น OIS, 2.24μm 16-in-1 pixel binning
  • กล้องอัลตราไวด์ 8 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Sony IMX355 f/2.2
  • กล้องถ่ายภาพมาโคร 2 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Omnivision OV02B10 f/2.4
  • กล้องหน้าความละเอียด 20 ล้านพิกเซล เซนเซอร์ Omnivision OV20B f/2.2

ซึ่งชุดกล้องถ่ายภาพนี้จะเหมือนกันใน Redmi Note 14 Pro+ และ Redmi Note 14 Pro นะ โดยจะใช้กล้องถ่ายภาพหลัก ในการทำงานทั้งถ่ายภาพในระยะ 1 เท่า และระยะซูมที่ใช้การครอปภาพจากกล้องถ่ายภาพหลักเลย ไม่ได้ใช้กล้องถ่ายภาพซูมในการถ่ายภาพซูมแต่อย่างใด

โดย Xiaomi ได้เพิ่มอัลกอริทึมในการปรับแต่งภาพถ่ายในชื่อ ‘Xiaomi Imaging Engine’ ที่จะประมวลผลภาพถ่ายให้สีสันสดใสโดยการใช้อัลกอริทึม End-to-End (E2E) AI Remosaic ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลและคุณภาพของภาพถ่ายให้มากขึ้นด้วย นอกจากนั้นยังสามารถถ่ายภาพด้วยการซูมครอปเข้าไปได้ 4 เท่า Lossless Zoom อีกด้วย เอาเป็นว่าลองดูตัวอย่างภาพถ่ายจาก Redmi Note 14 Pro+ เครื่องนี้กันดูว่าได้คุณภาพภาพถ่ายเป็นอย่างไรบ้าง

ซึ่งจากตัวอย่างภาพที่ถ่ายมาได้นั้น ถือว่าสามารถถ่ายภาพออกมาได้ความสว่าง และความชัดที่ดีอยู่นะ คือไม่ได้มีสีของภาพที่สดมากจนเกินไป และไม่ได้มีความคมชัดที่เว่อจนเกินไปด้วย เพียงแต่ว่า การที่จะสามารถถ่ายภาพออกมาได้คุณภาพที่ดีมากได้นั้น จำเป็นที่จะต้องถ่ายภาพในสภาพแสงที่ดีมากพอก่อน ถึงจะสามารถถ่ายภาพออกมาได้ในคุณภาพที่น่าพอใจได้นะ

นอกจากนั้น ถ้าเป็นเรื่องของการถ่ายภาพบุคคล สามารถถ่ายได้ที่ระยะ 1 เท่า กับ 2 เท่า ซึ่งมาจากการครอปภาพจากกล้องถ่ายภาพหลักทั้งหมด โดยได้มีโหมด AI ฟรุ๊งฟริ๊ง ซึ่งเป็นการใช้ AI ในการถ่ายภาพบุคคลให้มีความสดใสมากยิ่งขึ้น และมีใบหน้าที่เนียนยิ่งขึ้นด้วย

ส่วนการถ่ายภาพกลางคืน เวลาถ่ายอาจจะต้องใช้เวลาในการถ่ายอยู่บ้าง แต่ภาพที่ถ่ายออกมานั้น ก็มีความสว่างอยู่ไม่น้อยเลย แต่ถ้าถามว่าสามารถถ่ายออกมาได้ดีมากไหม ก็เรียกว่าอาจจะยังสามารถพัฒนาไปกว่านี้ได้อยู่บ้างเหมือนกัน เพราะเรื่องของความชัดในภาพก็ได้หายไปพอสมควร

และในส่วนของกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากนั้น Redmi Note 14 Pro+ ได้ให้กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากมาที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น ทำให้ภาพถ่ายมุมกว้างมาก อาจจะมีความคมชัดของภาพที่ไม่ได้มากนัก แต่ถือว่ายังพอใช้ในการถ่ายภาพวิวได้อยู่บ้าง ถ้าสภาพแสงดีพอ

ปิดท้ายด้วยกล้องหน้า ที่ได้ให้ความละเอียดมาที่ 20 ล้านพิกเซลนั้น สามารถถ่ายภาพบุคคลได้ดีอยู่เหมือนกัน แม้ว่าจะไม่ได้ถ่ายออกมาได้สวยเว่อมากนัก แต่ถือว่านำภาพไปใช้ลงบนโซเชียลมีเดียได้อยู่เช่นกัน

ทั้งนี้ รีวิวนี้เราจะขอเน้นการรีวิวภาพถ่ายของ Redmi Note 14 Pro+ เท่านั้น ส่วนตัวอย่างของภาพถ่ายรุ่นอื่น ๆ สามารถตามไปดูได้ในคลิปวิดีโอของ DroidSans ได้เลย

ฟีเจอร์ AI ใน Redmi Note 14 Series

นอกจากเรื่องของกล้องถ่ายภาพแล้ว เรื่องของ AI ก็มีให้มาในสมาร์ทโฟน Redmi Note 14 Series เหมือนกัน โดยฟีเจอร์ AI ที่มีให้ในสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นนั้นไม่เท่ากันด้วย โดย Redmi Note 14 และ Redmi Note 14 5G นั้น จะให้ AI เป็น Google Gemini, AI Erase, AI Sky และ AI Beautify เท่านั้น ในขณะที่ Redmi Note 14 Pro ได้ให้ Circle to Search with Google, AI Erase Pro และ AI Image Expansion เพิ่มเข้ามา และ Redmi Note 14 Pro+ ได้เพิ่มทั้ง AI Interpreter, AI Notes, AI Recorder, AI Subtitles และ AI Film เพิ่มเข้ามาอีกด้วย ซึ่งถือว่า Redmi Note 14 Pro+ ได้ให้ฟีเจอร์ AI มาแน่นมาก ๆ เลยทีเดียว สำหรับสมาร์ืโฟนในเรตราคานี้

ถ้าใครจำกันได้ Xiaomi ได้ให้ฟีเจอร์ AI มาเยอะมาก ๆ โดยเริ่มจากในสมาร์ทโฟนรุ่นก่อนหน้าอย่าง Xiaomi 14T Series ซึ่งฟีเจอร์ AI ต่าง ๆ เหล่านี้ ก็เป็นฟีเจอร์ที่เจอใน Redmi Note 14 Pro+ เครื่องนี้แทบทั้งหมดเหมือนกัน ดังนั้น ใครที่สนใจในฟีเจอร์เกี่ยวกับ AI สมาร์ทโฟนของเราแล้ว Redmi Note 14 Pro+ ถือว่าตอบโจทย์ไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะ Circle to Search ที่เป็นฟีเจอร์ AI ที่ยืนยันได้ว่าใช้งานบ่อยมาก ๆ และมีประโยชน์มากด้วยเช่นกัน

สเปกภายในเครื่อง ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

Redmi Note 14 Pro+ ซึ่งเป็นรุ่นท็อปของซีรีส์นั้น มาพร้อมกับชิปเซต Qualcomm Snapdragon 7s Gen 3 ซึ่งเป็นชิปเซตของสมาร์ทโฟนระดับกลางที่ได้ให้ประสิทธิภาพที่มากขึ้นกว่าในรุ่นที่แล้วอย่าง 7s Gen 2 อยู่พอสมควรเลย นอกจากนั้นยังได้ให้แรมขนาด 12GB และหน่วยความจำ 512GB อีกด้วย ในขณะที่รุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์ Redmi Note 14 นั้น ได้ให้ชิปเซตและความจำดังนี้

  • Redmi Note 14 ให้ชิปเซต MediaTek Helio G99 แรมขนาด 8GB และหน่วยความจำ 256GB
  • Redmi Note 14 5G ให้ชิปเซต MediaTek Dimensity 7025-Ultra แรมขนาด 8/12GB และหน่วยความจำ 256/512GB
  • Redmi Note 14 Pro 5G ให้ชิปเซต MediaTek Dimensity 7300-Ultra แรมขนาด 12GB และหน่วยความจำ 256GB

โดยรวม ๆ แล้ว Redmi Note 14 Series ถือว่าได้ให้สเปกมาค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว และก็ได้ให้ประสิทธิภาพมาสมราคาของแต่ละรุ่นเลยทีเดียว ดังนั้น เพื่อให้การทดสอบประสิทธิภาพนั้นเห็นภาพอย่างชัดเจน เราเลยขอสรุปผลการทดสอบแบบรวดเดียวทั้ง 4 รุ่น โดยทดสอบด้วยการ Benchmark พร้อม ๆ กัน ในสภาพแวดล้อมเดียวกัน ออกมาเป็นผลดังนี้

คะแนนRedmi Note 14Redmi Note 14 5GRedmi Note 14 ProRedmi Note 14 Pro+
Geekbench 6.4.0
(Single-Core)
7309431,0291,157
Geekbench 6.4.0
(Multi-Core)
1,9762,2772,9003,199
3DMark Wild Life Stress Test
(Max)
1,244ไม่สามารถทดสอบได้3,1133,987
3DMark Wild Life Stress Test
(Min)
1,223ไม่สามารถทดสอบได้3,1003,774
3DMark Wild Life Stress Test
(Stability)
98.3%ไม่สามารถทดสอบได้99.6%94.7%
3DMark Slingshot Extreme2,543
AnTuTu Benchmark
V10
448,945466,939673,045733,910

ที่น่าสนใจก็คือ ในการทดสอบ 3DMark นั้น Redmi Note 14 5G นั้นไม่สามารถทดสอบชุดการทดสอบใหม่ ๆ หรือชุดการทดสอบที่เราเห็นกันประจำอย่าง 3DMark Wild Life ได้ เนื่องจากตัวชิปเซตนั้นยังไม่รองรับ Vulkan มากพอสำหรับการทดสอบชุดการทดสอบนี้ จากการศึกษาเพิ่มเติม พบว่าตัวเครื่องมาพร้อมกับการ์ดจอ PowerVR BXM-8-256 ซึ่งแตกต่างกับชิป MediaTek อื่น ๆ ที่มักใช้การ์ดจอ Mali เลยทำให้ฟีเจอร์บางอย่างอาจจะขาดหายไปได้ แต่ถ้าเน้นเรื่องการใช้งานทั่วไป Redmi Note 14 5G ก็โอเคอยู่เหมือนกัน ในขณะที่รุ่นท็อปอย่าง Redmi Note 14 Pro+ นั้น ได้ให้ชิปเซต Qualcomm Snapdragon เพียงแค่รุ่นเดียวเท่านั้น แต่ก็ได้ให้ประสิทธิภาพที่สูงอยู่ทีเดียว

ทีนี้เรามาดูเรื่องของการเล่นเกมกันบ้าง โดยเราจะทดสอบเฉพาะรุ่นท็อปอย่าง Redmi Note 14 Pro+ เท่านั้น เริ่มจากเกมกินสเปกยอดฮิตอย่าง Genshin Impact กันก่อน โดยสามารถปรับสุดและตั้งค่าที่ 60 FPS แล้ว ก็ยังสามารถเล่นได้ แต่จะเกิดอาการ Lag Spike บ้างในบางจังหวะ รวมไปถึงเกิดอาการแลคในช่วงที่เกิดการต่อสู้มาก ๆ และเปิดแผนที่ ถ้าอยากจะเล่นโดยเกิดอาการแลคน้อย แนะนำให้ปรับลดการตั้งค่าเป็นปานกลาง จะช่วยให้เล่นได้ลื่นกว่าอยู่พอสมควรเลย

นอกจากนั้น ถ้าเป็นเกม RoV ก็จะสามารถเล่นได้ดีเลย โดยสามารถตั้งค่าปรับทุกอย่างสูงสุด และเปิดโหมดเฟรมเรต 60 FPS ได้แบบสบาย ๆ และเล่นได้แบบชิว ๆ เลยด้วย

อย่างสุดท้ายคือเรื่องแบตเตอรี่ ที่ Redmi Note 14 Pro+ ได้ให้แบตเตอรี่มาถึง 5,110 mAh เลย เป็นจำนวนที่เรียกว่ามากตามมาตรฐานของสมาร์ทโฟนในยุคปัจจุบัน เพียงแต่ว่า อาจจะไม่ได้เยอะมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญแบบสมาร์ทโฟนเรือธงในช่วงนี้ แต่ที่ได้ให้มาแน่นมาก ๆ คือเรื่องของการขาร์จแบตเตอรี่กลับ ที่รองรับการชาร์จแบตเตอรี่กลับถึง 120W เลยทีเดียว ซึ่งเท่าที่ลองใช้มานั้น แบตเตอรี่ถือว่าอึดในระดับมาตรฐาน คือไม่ได้อึดมากกว่าที่คาดเอาไว้ หรือแบตเตอรี่ไหลมากกว่าที่คาดเอาไว้ด้วย แต่การที่ตัวเครื่องสามารถชาร์จแบตเตอรี่กลับได้ที่ 120W นั้น ถือว่าทำให้แบตเตอรี่สามารถใช้งานได้นานอยู่เลยทีเดียว แถมยังแถมอแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่มาในกล่องทั้งซีรีส์เลยด้วย แต่การจะชาร์จแบตเตอรี่เร็วได้นั้น ต้องใช้อแดปเตอร์ของ Xiaomi เองเท่านั้นนะ

Redmi Note 14 รุ่นอื่น ๆ ในซีรีส์

อย่างที่ได้บอกไปว่า Redmi Note 14 Series นั้นไม่ได้มีแค่ Redmi Note 14 Pro+ เท่านั้น แต่ยังได้มี Redmi Note 14 ในซีรีส์รวมกันถึง 4 รุ่นเลยทีเดียว ซึ่งแต่ละรุ่นเป็นสมาร์ทโฟนสายคุ้มในระดับราคาของตัวเอง โดยแต่ละรุ่นก็จะมีจุดเด่นของตัวเองที่แตกต่างกันไป ประกอบไปด้วย

  • Redmi Note 14 4G – สมาร์ทโฟนรุ่นประหยัด ที่ให้กล้องถ่ายภาพความละเอียด 108 ล้านพิกเซล, ได้จอ AMOLED 120Hz, แบตเตอรี่เยอะ แถมยังสแกนลายนิ้วมือใต้หน้าจอได้ด้วย ในราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยเริ่มต้นที่ 5,999 บาทเท่านัน้
  • Redmi Note 14 5G – สมาร์ทโฟน 5G รุ่นเริ่มต้น ที่ให้กล้องถ่ายภาพความละเอียด 108 ล้านพิกเซลแบบมีการกันสั่น OIS, ได้จอ AMOLED 120Hz แบบถนอมสายตา และคุณภาพดีกว่า Redmi Note 14 4G และกันน้ำกันฝุ่นที่ IP64 ด้วย ในราคาเริ่มต้น 7,999 บาท
  • Redmi Note 14 Pro 5G – รุ่นน้องของ Redmi Note 14 Pro+ ที่ลดชิปเซตมาเป็น Dimensity 7300-Ultra แต่ยังได้ให้ฟีเจอร์รอบตัวเครื่องอื่น ๆ ที่แน่นมาก ๆ ทั้งหน้าจอ Gorilla Glass Victus 2, กันน้ำกันฝุ่นที่ IP68 และฟีเจอร์ AI ที่อาจจะไม่ได้มากเท่ารุ่น Pro+ แต่ก็มากพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันแน่นอน

สรุปส่งท้ายและราคา

ปิดท้ายด้วยเรื่องราคากันบ้าง อย่างที่ได้บอกไว้ตอนแรกว่า Redmi Note 14 Pro+ นั้นคือรุ่นท็อปสุดในซีรีส์​ Redmi Note 14 Pro+ รุ่นนี้ เลยจะวางตำแหน่งของตัวเองไว้เป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง ในเรตราคาหมื่นกลางไปด้วยเลย ถามว่าเป็นรุ่นที่ดีไหม ถือว่าเป็นรุ่นที่เหมาะกับสายไลฟ์สไตล์ ที่ชอบใช้สมาร์ทโฟนในการใช้งานทั่ว ๆ ไปเป็นหลัก ถ่ายรูปบ้าง เน้นเรื่องการออกไปทำกิจกรรม ใช้ชีวิตด้านนอก ที่อุ่นใจเรื่องความปลอดภัยเพราะกันกระแทก และกันน้ำ-ฝุ่นอย่างดี แถมยังได้ให้ความจุเยอะด้วย โดย Redmi Note 14 Pro+ นั้นวางจำหน่ายในประเทศไทยที่รุ่นแรม 12GB และหน่วยความจำ 512GB เท่านั้น ในราคา 14,990 บาท ด้วยกัน ส่วนรุ่นอื่น ๆ ก็จะมีราคา และโปรโมชันที่คุ้มค่าแตกต่างกันไป โดย

  • Redmi Note 14 วางจำหน่ายในไทยแค่ความจุ 8+256GB ที่ราคา 5,999 บาท
    • ถ้าซื้อภายในวันที่ 11 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 จะได้รับของแถมเป็น กระเป๋าล้อลาก Redmi Note 14 Series และประกัน VIP Service (ประกัน 2 ปี และประกันจอแตก 1 ครั้งภายใน 6 เดือน) มูลค่ารวม 5,690 บาท
  • Redmi Note 14 5G วางจำหน่าย 2 ความจุ คือ
    • 8+256GB ราคา 7,999 บาท
    • 12+256GB ราคา 9,999 บาท
    • ถ้าซื้อภายในวันที่ 11 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 จะได้รับของแถมเป็น กระเป๋าล้อลาก Redmi Note 14 Series และประกัน VIP Service (ประกัน 2 ปี และประกันจอแตก 1 ครั้งภายใน 6 เดือน) มูลค่ารวม 7,690 บาท
  • Redmi Note 14 Pro 5G วางจำหน่ายแค่ความจุ 12+256GB ที่ราคา 11,990 บาท
    • ถ้าซื้อภายในวันที่ 11 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2568 จะได้รับของแถมเป็นสมาร์ทวอทช์ Redmi Watch 5 Active และประกัน VIP Service (ประกัน 2 ปี และประกันจอแตก 1 ครั้งภายใน 6 เดือน) มูลค่ารวม 11,290 บาท

ใครที่สนใจใน Redmi Note 14 Series สามารถตามไปจัดกันได้เลย ไม่ว่าจะผ่านช่องทางร้านค้าออนไลน์ไหนก็ตาม ทั้ง mi.com, Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือกระทั่งหน้าร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศได้เลย