หลังจากปล่อยให้แฟน ๆ รอกันยาวนานถึง 3 ปี ในที่สุด Apple ก็เปิดตัว AirPods Pro 3 หูฟังไร้สายรุ่นใหม่ที่หลายคนตั้งตารอ รุ่นก่อนอย่าง AirPods Pro 2 ก็ถือว่าครองตลาดมาอย่างมั่นคง แถมยังมีรุ่น Refresh ที่เปลี่ยนพอร์ตเป็น USB-C ออกมาเมื่อสองปีก่อน คราวนี้ Apple กลับมาอีกครั้งพร้อมคำเปรยว่าดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งเรื่องเสียง ฟีเจอร์ และดีไซน์ใหม่

ด้วยความอยากรู้ว่ามันจะต่างจากรุ่นก่อนมากแค่ไหน และคุ้มไหมถ้าจะอัปเกรด เราเลยไม่รอช้า จัดมารีวิวให้ดูกันแบบละเอียด ว่าหูฟังรุ่นใหม่นี้จะดีพอทำให้คนที่ใช้ AirPods Pro 2 อยู่ต้องเปลี่ยนเลยไหม หรืออาจจะยังน้า

ดีไซน์

สำหรับงานออกแบบของ AirPods Pro 3 ต้องบอกเลยว่าแทบไม่ต่างจากรุ่นเดิมเลยครับ ถ้าเอามาวางเทียบกับ AirPods Pro 2 แบบไม่สังเกตดี ๆ นี่แยกไม่ออกจริง ๆ เพราะยังคงใช้ดีไซน์ทรงแคปซูล (Capsule) สีขาวผิวมันเงาเป็นรอยง่ายเหมือนเดิม ทั้งตำแหน่งลำโพงสำหรับ Find My, พอร์ตชาร์จ, ไฟแสดงสถานะ ตำแหน่งการชาร์จ Magsafe และช่องร้อยสายคล้องเรียกได้ว่าคงโครงสร้างเดิมเป๊ะ

สิ่งที่เปลี่ยนจริง ๆ มีเพียงรายละเอียดเล็ก ๆ เช่น

  • ตัดปุ่ม Pair แบบ Physical Button ออกไป แล้วเปลี่ยนเป็นการเคาะเพื่อจับคู่แทน เหมือนใน AirPods 4
  • ไฟแสดงสถานะด้านหน้า จากเดิมที่เป็นหลอด LED โผล่ขึ้นมา ตอนนี้ซ่อนอยู่ใต้พลาสติกผิวเคส ทำให้แสงดูนวลและเนียนตามากขึ้น

ในแง่ขนาดของเคส ถ้าไม่ได้มีรุ่นเดิมมาเทียบจะไม่รู้เลยว่ามันต่าง เพราะ AirPods Pro 3 มีขนาดใหญ่กว่ารุ่นก่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผลคือเคสของ AirPods Pro 3 ไม่สามารถนำไปใส่กับรุ่น 2 ได้เพราะแน่นเกินไป ส่วนเคสของรุ่นเก่าจะใส่รุ่นใหม่ได้แต่จะหลวมเล็กน้อยเท่านั้นเอง ด้านน้ำหนักโดยรวมถือว่าเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวเคสของ AirPods Pro 3 หนัก 43.99 กรัม จากเดิมในรุ่นก่อนที่ 50.3 กรัม และหากรวมหูฟังเข้าด้วยกันจะอยู่ที่ราว 55.09 กรัม จากเดิม 61.4 กรัม ลดลงประมาณ 6 กรัม แม้ว่าตัวเครื่องจะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่ Apple ก็ปรับโครงสร้างให้เบาและสมดุลขึ้นกว่าเดิม

ตัวหูฟัง

ในส่วนของตัวหูฟังเองก็มีการปรับเล็กน้อยเช่นกัน โดยจุกหูฟังเปลี่ยนมาใช้วัสดุ สองชนิดผสมกัน คือ ยางซิลิโคน (แบบเดิม) และ Memory Foam หรือจุกโฟมแบบนุ่มยืดหยุ่นตรงนี้ Apple บอกว่าช่วยให้ใส่แน่นขึ้น กระชับกว่าเดิม โดยในกล่องมีจุกมาให้เปลี่ยนถึง 4 ขนาด รวมที่หูฟังเป็น 5 ขนาดและยังช่วยลดแรงกดในช่องหูได้ดีขึ้นด้วย

นอกจากนี้ท่อนำเสียงยังเฉียงเข้าหูมากกว่าเดิม เพื่อให้สวมใส่แนบกระชับยิ่งขึ้น และเพื่อหลบตำแหน่งของ เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นหัวใจที่เพิ่มเข้ามาใหม่

รายละเอียดอื่น ๆ ตัวเซ็นเซอร์ตรวจจับใบหู (Skin Detection Sensor) ยังคงเป็นแบบเดิม แต่ขนาดเล็กลง และทำงานแม่นเหมือนเดิมรูระบายแรงดันอากาศ (Vent) มีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ก้านหูฟังมีขนาดอวบและยาวขึ้น เพื่อให้ใส่แบตเตอรี่ได้มากขึ้น โดยตรงปลายตัวตัวก้านจะเป็นขั้วชาร์จไฟ และตำแหน่งของไมโครโฟนอีกตัว

ภาพรวม

AirPods Pro 3 ยังคงดีไซน์คลาสสิกที่เป็นเอกลักษณ์ของ Apple เอาไว้ครบถ้วน งานประกอบแน่น วัสดุพรีเมียมเหมือนเดิม เปิดกล่องแล้วสัมผัสได้ถึงความแน่นหนาและคุณภาพ แต่มีเรื่องที่หลายคนอาจขัดใจเล็กน้อย เพราะในกล่องไม่มีสายชาร์จ USB-C แถมมาแล้ว นะครับ รุ่นนี้ตัดออกไปเลย

การสวมใส่ และการใช้งาน

แม้ AirPods Pro 3 และ AirPods Pro 2 จะมีดีไซน์โดยรวมที่คล้ายกันมาก แต่ความรู้สึกเวลาสวมใส่กลับต่างกันอย่างชัดเจน จุดที่เปลี่ยนไปเห็นได้ชัดคือความลึกของจุกหูฟัง รุ่นใหม่นี้สามารถสอดเข้าไปในช่องหูได้ลึกกว่าเดิม ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับหูฟัง In-Ear ทั่วไป ซึ่งเหมาะกับคนที่ชอบใส่แบบแน่นกระชับ ไม่หลวมเหมือนรุ่นก่อนใส่แบบแปะไว้เฉย ๆ สำหรับคนที่เคยรู้สึกว่า AirPods Pro 2 หลวมไปนิด รุ่นใหม่นี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีขึ้นมาก

น้ำหนักของหูฟังแต่ละข้างอยู่ที่ 5.55 กรัม หนักขึ้นเล็กน้อยจากรุ่นก่อนที่ 5.3 กรัม แต่ไม่ได้รู้สึกต่างเมื่อใช้งานจริง ก้านหูฟังมีขนาดอวบและยาวขึ้นเล็กน้อย เวลาจับหรือบีบควบคุมเสียงทำได้ถนัดมือมากขึ้น การกระจายน้ำหนักยังคงสมดุลดี ใส่แล้วไม่รู้สึกถ่วงแม้ใช้งานนาน ๆ

จุกหูฟัง

จุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือจุกหูฟังที่เปลี่ยนมาใช้วัสดุแบบผสมระหว่างซิลิโคนกับโฟม เวลาจับจะรู้สึกแน่นขึ้น แข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่พอใส่จริงกลับนุ่มสบายกว่าที่คิด ไม่ได้รู้สึกแข็งหรือรบกวนช่องหูมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะ Apple ใช้วัสดุเกรดพรีเมียมที่ให้สัมผัสเนียนแน่น ต่างจากหูฟังระดับเริ่มต้นที่จุกยางมักจะมีความแข็งกระด้างกว่า ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องบีบหรือปั้นก่อนใส่เหมือนจุกโฟมทั่วไป แค่เสียบเข้าไปก็แน่นพอดี ต่างจากรุ่นก่อนที่ใช้จุกซิลิโคนล้วนซึ่งใส่แล้วเบาและโปร่งกว่า ใครที่ชอบฟีลใส่สบาย ๆ ไม่แน่นมากอาจรู้สึกว่ารุ่นใหม่นี้กระชับเกินไปเล็กน้อยจนรู้สึกอึดอัดบ้าง

เวลาที่ใส่ใช้งานไปนาน ๆ จะสังเกตความต่างจากรุ่นเดิมได้ชัด เพราะ AirPods Pro 2 มักมีอาการลื่นหลุดออกจากตำแหน่งเดิมเล็กน้อย ฟังไปเรื่อย ๆ แล้วจะรู้สึกเหมือนหูฟังค่อย ๆ ไหลออก จนต้องขยับหรือกดกลับเข้าไปใหม่อยู่บ่อย ๆ แต่ใน AirPods Pro 3 ปัญหานี้แทบไม่เจอแล้ว รุ่นใหม่นี้ใส่ได้กระชับแน่นขึ้นมาก อาการไหลออกจากหูลดลงชัดเจน ถึงอย่างนั้นความแน่นที่เพิ่มขึ้นก็แลกมากับความรู้สึกแข็งขึ้นเล็กน้อย ถ้าใส่นาน ๆ อาจมีอาการเจ็บหูบ้างตามสไตล์หูฟัง In-ear และยังคงมีปัญหาทั่วไปของหูฟังแนวนี้คือเมื่อใส่ต่อเนื่องนาน ๆ มักจะรู้สึกคันหู ต้องถอดออกมาเช็ดหรือพักหูเป็นระยะ

ทั้งสองรุ่นไม่สามารถสลับจุกกันได้ เพราะตำแหน่งของเบ้ายึดไม่เหมือนกัน แต่สำหรับคนที่ใช้ AirPods Pro 2 แล้วอยากได้ความรู้สึกแบบรุ่นใหม่โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด ก็สามารถหาจุกโฟมหรือจุกแบบ Hybrid จากแบรนด์ After Market มาใช้แทนได้

การที่ตัวหูฟังออกแบบให้เป็นทรง In-Ear ที่สอดเข้าไปลึกกว่าเดิม ช่วยให้การตัดเสียงรบกวนแบบ Passive ทำได้ดีขึ้นตามธรรมชาติของทรงนี้ ใส่แล้วแน่นหนึบไม่ต้องกลัวหลุด ระหว่างทดสอบทั้งการวิ่ง กระโดด หรือแม้แต่ซ้อนมอเตอร์ไซค์บนถนนที่สั่นสะเทือนก็ยังไม่เจออาการหลุดจากหูแต่อย่างใด แต่ถ้าใครใส่แล้วรู้สึกแน่นไปหรือหลวมไป ซีลเสียงไม่ดี Apple ก็ยังมีจุกไซซ์อื่นแถมมาให้ในกล่อง สามารถลองเปลี่ยนให้พอดีกับขนาดหูของตัวเองได้เลย

การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ Hearrate Sensor

AirPods Pro 3 มาพร้อมเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจเป็นครั้งแรก ถือเป็นก้าวใหม่ของตระกูล AirPods ที่เริ่มเข้าสู่สายสุขภาพจริงจัง แม้จะไม่ใช่หูฟังรุ่นแรกของ Apple ที่มีฟีเจอร์นี้ เพราะก่อนหน้านี้ Powerbeats Pro 2 ก็เคยใส่มาแล้ว รวมถึงหูฟังจากแบรนด์อื่นในตลาดที่ทำได้มานาน แต่สิ่งที่แตกต่างคือวิธีที่ Apple ผสานระบบนี้เข้ากับอีโคซิสเต็มของตัวเองได้แนบเนียนกว่าใคร

จุดที่ทำให้การวัดอัตราการเต้นของหัวใจใน AirPods Pro 3 โดดเด่นคือการเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับแอปออกกำลังกายของ Apple ได้เต็มรูปแบบ ข้อมูลที่ได้จะถูกส่งตรงเข้าสู่ระบบ Health และแอป Fitness ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและแสดงผลละเอียดในแบบเดียวกับที่ Apple Watch ทำได้

เพื่อรองรับการใช้งานนี้ Apple ยังอัปเดตแอปออกกำลังกายบน iPhone ให้สามารถกดเริ่มการออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องมี Apple Watch แล้วด้วย อินเทอร์เฟซของแอปจะหน้าตาเหมือนบน Apple Watch แทบทั้งหมด เพียงแต่เมื่อมาอยู่บนจอใหญ่ของ iPhone จะรู้สึกว่าพื้นที่ดูโล่งเกินไปเล็กน้อย เหมือนยังออกแบบมาไม่สุด

จากการทดลองใช้งานจริง ผมนำ AirPods Pro 3 ไปใช้กับเกม Fitness Boxing 3 ออกกำลังกายต่อเนื่องประมาณ 30 นาที โดยใส่ทั้ง AirPods Pro 3 และ Apple Watch Series 6 พร้อมกัน ผลที่ได้คือค่าชีพจรจากหูฟังแม่นยำไม่ต่างจาก Apple Watch แถมบางช่วงยังเก็บข้อมูลได้เสถียรกว่า เพราะระหว่างออกกำลังกายที่มีการเหวี่ยงแขนมาก นาฬิกามักขยับหลวมจนวัดไม่ได้บ้าง

แต่ตัวหูฟังกลับแนบหูตลอดทำให้จับจังหวะหัวใจได้ต่อเนื่อง ระบบของ Apple จะเลือกใช้ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่คิดว่าแม่นที่สุดมาบันทึก ทำให้บางครั้งค่าที่เห็นในแอปมาจากหูฟังแทนนาฬิกาโดยอัตโนมัติ หลังออกกำลังกายเสร็จแบตเตอรี่ของหูฟังลดลงเพียงราว 3% เท่านั้น เพราะผมไม่ได้เปิดเพลงและเปิดแค่โหมด Ambient เท่านั้น

คำถามคือ AirPods Pro 3 ใช้แทน Apple Watch ได้ไหม คำตอบคือได้ในบางกรณี ถ้าเป็นการออกกำลังกายทั่วไป เช่นคาร์ดิโอในยิม ปั่นจักรยาน หรือเล่นฟิตเนสที่ไม่ต้องอาศัยเซ็นเซอร์อื่น ๆ อย่างวัดออกซิเจนในเลือด GPS หรือระดับความสูง หูฟังสามารถเก็บข้อมูลหัวใจแทนได้เลย แต่ถ้าเป็นกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องเก็บข้อมูลหลายอย่างพร้อมกัน ระบบของ AirPods Pro 3 ยังไม่ละเอียดเท่า Apple Watch

ถ้าเอาไปใส่วิ่งโดยไม่ใช้นาฬิกา ก็สามารถทำได้ แต่ต้องพก iPhone ไปด้วย เพราะ AirPods Pro 3 ไม่ได้เก็บข้อมูลไว้ในตัวเอง ข้อมูลที่ได้จะถูกส่งไปประมวลผลใน iPhone อีกที ต่างจาก Apple Watch ที่สามารถทำงานแบบอิสระและดูข้อมูลย้อนหลังได้โดยตรง โดยเฉพาะรุ่นที่มี Cellular ซึ่งไม่ต้องพกโทรศัพท์เลย ดังนั้น AirPods Pro 3 จึงเหมาะกับการออกกำลังกายในยิมหรือพื้นที่ปิดที่สามารถวาง iPhone ไว้ใกล้ตัวได้มากกว่า ส่วนถ้าออกไปข้างนอกแล้วไม่พกโทรศัพท์ก็เก็บข้อมูลไม่ครบแน่นอน

การตัดเสียงรบกวน Active Noise Cancelling (ANC)

ระบบตัดเสียงรบกวนของ AirPods Pro 3 ยังคงเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่ Apple ทำได้ดีเสมอมา และในรุ่นใหม่นี้ต้องบอกว่าดีขึ้นไปอีกขั้น เปิดโหมดเมื่อไรจะรู้สึกได้ทันทีว่าเสียงรอบข้างเงียบลงมาก แม้จะไม่ได้เปิดโหมดตัดเสียงก็ยังช่วยกันเสียงได้ดีอยู่แล้วตามธรรมชาติของหูฟังแบบ In-ear แต่พอเปิด ANC เข้าไปอีกชั้น ถ้าอยู่ในห้องแอร์หรือออฟฟิศจะรู้สึกเหมือนตัดขาดจากโลกภายนอกแทบจะทันที และถ้าเปิดเพลงด้วยยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว

ประสิทธิภาพของการตัดเสียงในภาพรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นแบบมหาศาลจากรุ่นก่อน เพราะ AirPods Pro 2 ก็ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่สิ่งที่รู้สึกต่างคือความสบายเวลาใช้งาน ANC รุ่นใหม่นี้ลดอาการหูอื้อหรือแน่นในหูเพราะ ANC ได้ดีขึ้นมาก เปิดฟังนาน ๆ แล้วไม่รู้สึกปวดหัวหรืออึดอัดเท่ารุ่นเดิม ทำให้สามารถใช้โหมดนี้ได้สบายขึ้น

ในส่วนของโหมดเปิดรับเสียงรอบข้างหรือ Transparency Mode ก็มีการปรับให้เสียงเป็นธรรมชาติมากขึ้น จากเดิมที่เหมือนเอาเสียงภายนอกมาอัดใส่หูผ่านไมโครโฟนจนฟังออกว่าเป็นเสียงจากหูฟัง ตอนนี้เสียงดูสมจริงขึ้น ลดเสียงแหลมและ Noise ส่วนเกินลง พร้อมเพิ่มย่านเสียงกลางและเบสให้ใกล้เคียงเสียงจริงเวลาที่ไม่ได้ใส่หูฟัง แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบเหมือนฟังเสียงจริง ๆ ด้วยหูเปล่า แต่ก็ถือว่าทำได้ดีกว่าเดิมอย่างรู้สึกได้

โหมด Adaptive ที่เพิ่มเข้ามาใหม่จะคอยปรับระดับการตัดเสียงให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อม เช่น อยู่ในที่เงียบจะเปิด ANC เบาลง แต่ถ้าอยู่ในที่เสียงดังจะเร่งขึ้นให้อัตโนมัติ การทำงานโดยรวมถือว่ากลาง ๆ คือให้ความรู้สึกอยู่ระหว่างโหมดตัดเสียงรบกวนกับโหมดเปิดรับเสียงรอบข้าง ทำให้ใช้งานทั่วไปได้โดยไม่ต้องสลับไปมา แต่ในบางจังหวะระบบอาจตอบสนองช้าหรือปรับไม่ทันบ้าง

สิ่งที่แปลกเล็กน้อยคือ รอบนี้ Apple ตัดโหมด “ปิดทั้งหมด” ออกไป เหลือให้เลือกแค่สามแบบคือ ANC, Adaptive และ Ambient ทำให้ไม่สามารถปิดระบบตัดเสียงได้เลย ต่างจากรุ่นก่อนที่สามารถเลือกปิดได้ทั้งหมด สำหรับบางคนที่ชอบใช้โหมดปกติแบบไม่เปิดอะไรเลยอาจจะรู้สึกขัดใจ ซึ่งในฝั่งของ macOS ยังมีเมนูให้เลือกปิดได้อยู่ แต่ใน iPhone กลับทำไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเป็นข้อจำกัดชั่วคราวหรือจงใจออกแบบมาแบบนี้

ด้านฟังก์ชันเสริมอื่น ๆ ยังคงครบเหมือนเดิม ทั้งเครื่องช่วยฟัง การลดเสียงดังอัตโนมัติ การควบคุมด้วยการพยักหน้าเพื่อรับสาย การตามหาหูฟังผ่าน Find My หรือระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมที่ Apple เรียกว่า Personalized Volume ก็ทำงานได้ไวขึ้นเล็กน้อยโดยรวมยังถือว่าเสถียรและใช้งานได้ดีเหมือนเดิม

แปลภาษา

AirPods Pro 3 มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่อย่างการแปลภาษาแบบเรียลไทม์ผ่านหูฟัง ซึ่งเป็นหนึ่งในความสามารถที่หลายคนรอคอย เพราะช่วยให้การสื่อสารระหว่างคนละภาษาทำได้สะดวกขึ้นโดยไม่ต้องถือโทรศัพท์ตลอดเวลา

หลักการทำงานคือคนที่สวม AirPods จะได้ยินเสียงแปลจากภาษาของคู่สนทนาเป็นภาษาที่ตั้งค่าไว้ ระบบจะประมวลผลผ่าน iPhone ก่อน ดังนั้นเสียงแปลจะไม่ได้ออกมาทันที ต้องรอให้คู่สนทนาพูดจบก่อนสักครู่แล้วเสียงแปลจึงจะดังขึ้นทางหูฟัง ส่วนถ้าเราต้องการตอบกลับก็สามารถพูดออกไปได้เลย แล้ว iPhone จะช่วยแปลและแสดงผลให้บนหน้าจอ หรือสามารถกดเล่นเสียงแปลให้คู่สนทนาได้ยินโดยตรง แต่ถ้าทั้งสองคนใส่หูฟัง AirPods อยู่ทั้งคู่ ก็แทบไม่ต้องมองหน้าจอเลย คุยกันได้ตามปกติราวกับมีล่ามส่วนตัวอยู่ในหู

ตอนนี้ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ในเวอร์ชัน Beta จึงอาจยังไม่แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยในเวอร์ชันแรกจะรองรับเพียง 5 ภาษา ได้แก่ อังกฤษ (สหรัฐ), อังกฤษ (สหราชอาณาจักร), โปรตุเกส (บราซิล), ฝรั่งเศส, เยอรมัน และสเปน ส่วนในเวอร์ชัน iOS 26.1 จะมีการเพิ่มภาษามากขึ้น เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี อิตาลี และภาษาจีนทั้งแบบตัวย่อและตัวเต็ม แต่ทั้งหมดต้องใช้งานร่วมกับระบบ Apple Intelligence ซึ่งตอนนี้ยังไม่รองรับภาษาไทย

ฟีเจอร์แปลภาษานี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะ AirPods Pro 3 เพราะ AirPods Pro 2 ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน เพียงแค่อัปเดต iPhone เป็น iOS 26 ขึ้นไป จึงไม่จำเป็นต้องอัปเกรดหูฟังใหม่เพื่อใช้ฟีเจอร์นี้ สำหรับการทดสอบจริงยังไม่ได้ลองใช้งาน เนื่องจากยังไม่มีภาษาที่ถนัดนอกจากไทยและอังกฤษ ส่วนภาษาที่สามที่ถนัดยังไม่มีที่ระบบรองรับ ทำให้ไม่สามารถทดสอบความแม่นยำของการแปลได้เต็มรูปแบบ จึงขอเว้นไว้ก่อนจนกว่าจะมีการอัปเดตรองรับภาษาเพิ่มเติม

คุณภาพเสียง

โดยภาพรวม AirPods Pro 3 ยังคงคาแรกเตอร์เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูล AirPods Pro เอาไว้ครบ เสียงยังคงออกแนวสมดุล ฟังง่าย ไม่เน้นย่านใดย่านหนึ่งจนเกินไป เสียงแหลมยังมีให้รู้สึกชัดแต่ไม่บาดหู เสียงเบสไม่กระแทกหรือหนักแน่นจนเกินไป จัดว่าเป็นโทนเสียงที่เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป ฟังเพลงหลากหลายแนวได้โดยไม่รู้สึกเมื่อยหู ถ้าไม่ได้จับมาฟังเทียบกันแบบละเอียด แทบแยกไม่ออกเลยว่าต่างจาก AirPods Pro 2

คุณภาพเสียงถ้าเทียบกับ AirPods Pro 2 

แต่ถ้าเทียบเรื่องเสียงแบบลงรายละเอียดกับ AirPods Pro 2 จะรู้เลยว่าต่างกันหลายส่วน

  • เสียงเบสให้แรงกระแทกที่ชัดขึ้นเล็กน้อย ย่านกลางต่ำถูกบูสต์ขึ้น ทำให้เสียงกลองและเบสดูมีพลังขึ้น แต่เสียงเบสลึกหรือ Deep Bass ยังไม่ลงได้ลึกเท่าหูฟังสายเบสโดยเฉพาะ ถ้าใครชอบแนวเบสหนัก ๆ จะรู้สึกว่าเบสของ AirPods ยังเบาอยู่
  • เสียงกลางหรือเสียงร้องมีความหนาและอิ่มขึ้นกว่าเดิม แต่ตำแหน่งของนักร้องเหมือนจะถอยหลังออกไปเล็กน้อย จากที่เคยอยู่ระนาบเดียวกับเครื่องดนตรีในรุ่นก่อน กลายเป็นอยู่ด้านหลังนักดนตรีนิด ๆ แทน ทำให้ฟังแล้วได้บรรยากาศเวทีเสียงที่กว้างขึ้นแต่ถ้าเน้นฟังเสียงร้องต้องเร่งเสียงเพิ่มอีกระดับ
  • เสียงแหลมของรุ่นใหม่นี้ปลายมนกว่าเดิม ไม่แหลมพุ่งเท่ารุ่นก่อน ความพริ้วไหวของเครื่องดนตรีบางอย่าง เช่น เสียงกีตาร์หรือไวโอลิน ฟังดูนุ่มลงเล็กน้อย ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ AirPods Pro 2 จะให้โทนเสียงแบบกีตาร์ Fender Stratocaster ที่มีความใสและพริ้ว ส่วน AirPods Pro 3 จะขยับไปทาง Gibson Les Paul ที่เสียงหนา แน่น มีน้ำหนัก และให้ฟีลดุดันขึ้น เหมาะกับแนวเพลงร็อคหรือแนวที่ต้องการจังหวะหนัก ๆ มากกว่าเดิม แต่เพลงแนวฟังสบายหรืออะคูสติกอาจจะรู้สึกว่าความพริ้วหายไปนิดหนึ่ง
  • ในส่วนของรายละเอียดเสียง AirPods Pro 3 ทำได้ดีกว่ารุ่นเดิม เสียงเครื่องเคาะ ฉาบ หรือเครื่องดนตรีประกอบต่าง ๆ แยกกันได้ชัดขึ้น มีมิติและตำแหน่งชัดกว่าเดิม จากที่เคยฟังแล้วกลืนเป็นชั้นเดียว ตอนนี้แยกเสียงได้ง่ายขึ้น แต่ในบางเพลงที่มีองค์ประกอบเยอะอาจรู้สึกว่ามีความรกเพิ่มเล็กน้อยเพราะทุกอย่างถูกขับออกมาชัดขึ้น
  • มิติเสียงด้านซ้ายขวาและระยะลึกทำได้ดีขึ้นเล็กน้อย ให้ความรู้สึกโอบล้อมมากกว่าเดิมโดยเฉพาะเวลาเปิด Spatial Audio

ภาพรวมถือว่าเป็นแนวเสียงที่คล้ายกับตอน Apple ปรับโทนเสียงของ AirPods 4 เทียบกับ AirPods 3 คือเสียงหนาและแน่นขึ้น เน้นพลังมากขึ้น ใครชอบฟังเพลงแนวเบสชัดหรือเสียงแน่น ๆ จะถูกใจแน่นอน แต่ถ้าเป็นคนชอบฟังโทนใส โปร่ง เบา ฟังสบาย รุ่นนี้อาจจะให้ฟีลหนักแน่นเกินไปเล็กน้อย

เรื่องระบบเสียงรอบทิศทาง Spatial Audio ก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกว่ามีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดหรือให้ประสบการณ์ที่แตกต่างจากรุ่นก่อนมากนัก การติดตามทิศทางของเสียงเวลาหมุนหัวหรือขยับตำแหน่งยังทำได้แม่นยำเหมือนเดิม เสียงมีความโอบล้อมและให้มิติที่ดี แต่ถ้าใครเคยใช้ AirPods Pro 2 มาก่อนอาจไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

ทดสอบความหน่วง

จากการทดสอบทั้งการเล่นเกมและดูวิดีโอบน YouTube พบว่า AirPods Pro 3 แทบไม่มีอาการดีเลย์ให้เห็นเลย เสียงและภาพซิงก์กันได้เนียนมาก ถ้าไม่ตั้งใจฟังจับผิดจริง ๆ ก็แทบแยกไม่ออก ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมตามมาตรฐานของ Apple ที่ขึ้นชื่อเรื่องการจัดการสัญญาณเสียงแบบไร้สายอยู่แล้ว ใช้เล่นเกมแนวที่ต้องอาศัยจังหวะเสียงอย่างเกมดนตรีหรือเกมยิงก็ยังตอบสนองทัน ไม่มีอาการหน่วงจนรู้สึกสะดุด

ไมโครโฟน

จากการทดสอบใช้งานจริงพบว่าไมโครโฟนของ AirPods Pro 3 ให้โทนเสียงที่ใกล้เคียงกับรุ่นก่อนอย่าง AirPods Pro 2 เสียงพูดมีความชัดเจน ฟังง่าย ไม่อู้อี้ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมทั่วไปก็ยังเก็บเสียงได้ดี การสนทนาผ่านโทรศัพท์หรือประชุมออนไลน์ให้เสียงที่เป็นธรรมชาติและต่อเนื่อง

เมื่อนำไปใช้คุยโทรศัพท์หรือประชุมในพื้นที่ที่มีเสียงรบกวนมาก เช่นริมถนนหรือในที่มีลมแรง หูฟังยังคงควบคุมเสียงรอบข้างได้ดี สามารถตัดเสียงรบกวนส่วนเกินออกไปได้พอสมควร ทำให้เสียงพูดยังฟังรู้เรื่อง แต่ก็มีจุดสังเกตเล็กน้อยคือหางเสียงจะถูกตัดให้สั้นลง และโทนเสียงจะถูกบีบให้แบนลงเล็กน้อย ฟังแล้วไม่หนาเท่าตอนอยู่ในที่เงียบ แต่ก็ยังคุยรู้เรื่อง ไม่ต้องตั้งใจฟังมาก และไม่ทำให้คู่สนทนารู้สึกว่ามีเสียงพื้นหลังรบกวน

โดยรวมถือว่าไมโครโฟนของ AirPods Pro 3 ยังไว้ใจได้ตามมาตรฐานของ Apple เหมาะสำหรับการใช้งานสนทนาในชีวิตประจำวัน ประชุมออนไลน์ หรือแม้แต่คุยโทรศัพท์ขณะเดินทางก็ยังให้เสียงที่คมชัดและมั่นใจได้

แบตเตอรี่

ตามข้อมูลจาก Apple ระบุว่า AirPods Pro 3 สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานสูงสุด 8 ชั่วโมงเมื่อเปิดโหมดตัดเสียงรบกวน ANC หากเปิดระบบเสียงสามมิติหรือโหมดติดตามศีรษะ (Head Tracking) จะลดลงเหลือราว 7.5 ชั่วโมง และถ้าเปิดโหมดวัดอัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังกายจะเหลือประมาณ 6.5 ชั่วโมง ส่วนกล่องชาร์จสามารถจ่ายพลังงานเพิ่มได้รวมประมาณ 24 ชั่วโมง หรือชาร์จซ้ำได้ราวสามรอบเต็ม

ตัวเลขนี้ถือว่าดีขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของแบตเตอรี่ตัวหูฟังที่อึดขึ้นจากเดิมใน AirPods Pro 2 ซึ่งใช้งานได้เพียง 6 ชั่วโมง และไม่ได้ระบุด้วยว่าเป็นการเปิด ANC หรือไม่ รอบนี้เพิ่มเป็น 8 ชั่วโมงพร้อมเปิด ANC ถือว่าอึดขึ้นพอตัว แต่จุดที่ลดลงกลับอยู่ที่แบตเตอรี่ของกล่องชาร์จ ที่รอบนี้จุไฟได้น้อยกว่าเดิม จากเดิมที่เคยใช้ได้รวม 30 ชั่วโมง หรือชาร์จซ้ำได้ถึง 5 รอบ ตอนนี้เหลือเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งจากการใช้งานจริงก็รู้สึกได้เลยว่าแบตในกล่องหมดเร็วขึ้นจริง

จากการทดสอบใช้งานจริงประมาณชั่วโมงครึ่งระหว่างเดินทางกลับบ้าน เปิดโหมด Adaptive สลับเปิดและปิด ANC ตามสถานการณ์ เช่น ขึ้นรถเปิด ANC เดินริมถนนปิดเพื่อฟังเสียงรอบข้าง เมื่อกลับถึงบ้านแบตเตอรี่หูฟังยังเหลือ 85% ถือว่าใช้งานได้อึดมากเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน

เรียกได้ว่า AirPods Pro 3 เป็นรุ่นที่แบตอึดที่สุดในบรรดา AirPods ทั้งหมดที่เคยใช้มา (ไม่นับ AirPods Max) การที่ตัวหูฟังใช้งานได้นานแตะระดับ 8 ชั่วโมง ทำให้เหมาะกับการใช้งานต่อเนื่องในสถานการณ์ที่ต้องอยู่บนเครื่องบินหรือเดินทางนาน ๆ ได้สบายโดยไม่ต้องคอยชาร์จบ่อย ๆ

สิ่งที่คาดหวังแต่ก็ยังไม่ใส่มาให้

เมื่อดูจากช่วงเวลาการเปิดตัวที่ห่างกันเกือบสามปี ระหว่าง AirPods Pro 2 กับ AirPods Pro 3 หลายคนก็คาดหวังว่า Apple จะเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในส่วนที่ผู้ใช้เรียกร้องมานาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่หวังไว้

สิ่งแรกคือเรื่องชิปประมวลผล ซึ่ง AirPods Pro 3 ยังคงใช้ชิป H2 ตัวเดิมเหมือนในรุ่นก่อน ทำให้ความสามารถโดยรวมไม่ต่างกันมาก ทั้งในด้านการประมวลผลเสียง ระบบ ANC หรือ Spatial Audio แม้จะมีการจูนซอฟต์แวร์ใหม่ให้ตอบสนองเร็วขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นรู้สึกได้ว่า “เร็วหรือฉลาดขึ้น” แบบก้าวกระโดด

อีกเรื่องที่หลายคนรอคอยแต่ยังไม่มีคือระบบเสียงแบบ Lossless หรือการฟังเพลงความละเอียดสูง เพราะ Apple ยังคงใช้ Codec เดิมคือ AAC ผ่านการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.3 โดยไม่ได้อัปเกรดเป็น Codec ระดับ Hi-Res อย่าง ALAC ของตัวเอง หรืออย่าง LDAC และ aptX Lossless ที่แบรนด์อื่นเริ่มใส่มาแล้ว ผลที่ได้คือคุณภาพเสียงยังคงอยู่ในระดับเดียวกับรุ่นก่อน ฟังเพลิน รายละเอียดครบในแบบ AirPods แต่ยังไม่ถึงขั้นแน่นลึกทุกมิติแบบหูฟัง Hi-End ที่รองรับเสียง Lossless จริง ๆ

สรุป

หลังจากได้ลองใช้งาน AirPods Pro 3 มาระยะหนึ่ง ต้องยอมรับว่านี่คือหูฟังที่ยังคงรักษามาตรฐานความยอดเยี่ยมของ Apple เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน และอาจพูดได้เต็มปากว่านี่คือหูฟัง TWS ที่ดีที่สุดของ Apple ในตอนนี้ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูแทบไม่ต่างจากรุ่นก่อน แต่สิ่งที่เปลี่ยนอยู่ภายในกลับทำให้ประสบการณ์ใช้งานดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งคุณภาพเสียงที่แน่นขึ้น รายละเอียดเสียงที่คมชัดกว่าเดิม ระบบตัดเสียงรบกวนที่เงียบขึ้น รวมถึงฟีลลิ่งการสวมใส่ที่แน่นกระชับแต่ยังให้ความสบาย ไม่อึดอัดจนเกินไป

เรื่องแบตเตอรี่ก็ถือเป็นจุดที่พัฒนาได้ดีขึ้น ใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานจนแทบไม่ต้องพกเคสชาร์จระหว่างวัน ระบบ Adaptive Audio และโหมดตัดเสียงอัจฉริยะช่วยให้การใช้งานในชีวิตประจำวันง่ายขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในออฟฟิศ เดินทาง หรือออกกำลังกาย ตัวหูฟังจะปรับเสียงให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ฟีเจอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจก็เป็นอีกหนึ่งก้าวใหม่ แม้ยังไม่ใช่จุดขายหลัก แต่ก็แสดงให้เห็นว่า Apple พยายามขยายบทบาทของ AirPods ให้เชื่อมโยงกับด้านสุขภาพและการออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มี Apple Watch

อย่างไรก็ตาม AirPods Pro 3 ก็ยังมีบางจุดที่น่าผิดหวังเล็กน้อย เช่น การที่ยังคงใช้ชิป H2 เหมือนเดิม รวมถึงไม่รองรับระบบเสียง Lossless ที่หลายคนรอคอย โดยยังคงใช้ Codec แบบ AAC ผ่าน Bluetooth 5.3 ซึ่งให้เสียงที่เสถียรแต่ยังไม่ถึงระดับ Hi-Res แบบหูฟังระดับสูงของค่ายอื่น อีกทั้งแบตเตอรี่ของกล่องชาร์จก็ลดลงจากรุ่นก่อนเล็กน้อย และตัดโหมด “ปิด ANC ทั้งหมด” ออกไป ทำให้บางคนรู้สึกขัดใจ ส่วนจุกหูฟังที่ปรับดีไซน์ใหม่ใส่ได้แน่นขึ้นก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน บางคนอาจรู้สึกว่ามันแน่นเกินไปเล็กน้อย

โดยรวมแล้ว AirPods Pro 3 ไม่ได้มาเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง แต่เป็นการเก็บรายละเอียดและปรับปรุงสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ลงตัวมากขึ้น เหมาะกับคนที่มองหาหูฟังคุณภาพสูง ใช้งานได้ครบทั้งดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือออกกำลังกาย เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ในระบบ Apple ได้อย่างไร้รอยต่อ สำหรับคนที่ยังใช้ AirPods Pro รุ่นแรก รุ่นนี้คือการอัปเกรดที่คุ้มค่าแน่นอน แต่ถ้าใช้รุ่นสองอยู่และยังพอใจกับของเดิม ก็อาจจะยังน้า

ใช้ AirPods Pro 2 ต้องเปลี่ยนไหม

สำหรับใครที่ใช้ AirPods Pro 2 อยู่แล้วและกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ดีไหม คำแนะนำคือถ้ายังพอใจกับของเดิมอยู่ เช่น แบตเตอรี่ยังดี เสียงยังโอเค และเพิ่งซื้อมาหรือใช้งานได้ไม่นาน ก็ยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะประสบการณ์การใช้งานโดยรวมของ AirPods Pro 3 ไม่ได้ต่างจากรุ่นก่อนแบบรู้สึกได้ชัดขนาดนั้น ถ้าวัดกันที่ราคาต้องจ่ายเพิ่มแล้วถือว่ายังไม่คุ้มเท่าไร เลยเป็นเหตุผลที่ถ้าถามว่าซื้อเลยดีไหม ก็คงต้องตอบว่า…อาจจะยังน้า

แต่ถ้าใครยังใช้ AirPods Pro รุ่นแรก หรือ AirPods Pro 2 รุ่นพอร์ต Lightning อยู่ รุ่นใหม่นี้ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะได้พอร์ตชาร์จแบบ USB-C ที่หาสายง่ายและใช้ร่วมกับ iPhone รุ่นใหม่ได้โดยตรงแล้ว ยังได้แบตเตอรี่ที่สดใหม่กว่า ใช้งานได้ยาวนานขึ้น และได้ระบบ Adaptive Audio รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ประสบการณ์โดยรวมดีกว่าเดิม ที่สำคัญคือการเชื่อมต่อและการตั้งค่าทั้งหมดทำได้ต่อเนื่องไม่ต้องเริ่มใหม่ ไม่ต้องปรับตัวเยอะ

ส่วนคนที่ยังไม่มีหูฟังทั้งสองรุ่นและกำลังมองหาอยู่ ถ้างบถึงและอยากได้ของใหม่สุดที่มีฟีเจอร์ครบก็ไป AirPods Pro 3 ได้เลย ใช้งานได้นาน คุ้มระยะยาว แต่ถ้าเน้นความคุ้มค่าและไม่ได้ต้องการฟีเจอร์ใหม่อย่างการวัดหัวใจหรือ Adaptive Audio รุ่นเก่าอย่าง AirPods Pro 2 ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ราคามือหนึ่งหรือมือสองลดลงมาพอสมควร บางร้านเหลือเพียงราวหกพันบาทต้น ๆ เท่านั้น เรียกได้ว่ายังน่าซื้ออยู่มากสำหรับคนที่อยากเริ่มใช้ AirPods Pro ที่ราคาไม่แรงเกินไป

ข้อดี

  • ตัวหูฟังแบตอึดขึ้นมาก ไม่ต้องชาร์จบ่อย
  • จุกหูฟังแน่นกระชับขึ้นกว่าเดิม
  • ตำแหน่งจุกหูฟังยื่นเข้าไปในรูหูลึกขึ้น
  • ตัดเสียงรบกวนดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมพอสมควร
  • มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ออกกำลังโดยไม่ต้องใช้ Apple Watch ก็ได้
  • แนวเสียงถูกใจคนชอบหูฟังเสียงหนักแน่น
  • ใช้เล่นเกมโคตรดีไม่ดีเลย์เลย

ข้อสังเกต

  • ตัวหูฟังมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย ใส่แล้วเห็นเลยว่าหูฟังยื่นออกมามากขึ้น
  • ถ้าคนไม่ชอบจุกแบบแน่น ๆ จะรู้สึกดว่าใส่ไม่สบาย
  • ไม่ถูกใจคนที่ชอบแนวเสียงโปร่ง ๆ ฟังสบาย ไม่รก
  • ใช้เคสเดิมไม่ได้
  • ผิวเป็นรอยง่ายเหมือนเดิม
  • ไม่รองรับระบบเสียง Hi-Res