Zenfone 2 เรียกได้ว่าเป็นมือถือที่ได้รับความสนใจมากที่สุด มีผู้คนรอคอยมากที่สุดในปีนี้เลยก็ว่าได้ แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากพร้อมใจจะเขวี้ยงเงินใส่ แต่กว่า ASUS จะเอามาขายจริงก็ปล่อยให้รอกันซะเหงือกแห้ง แต่ในที่สุด ช่วงอาทิตย์หน้านี้เราก็อาจจะเห็นบางร้านได้เครื่องเข้ามาขายกันแล้ว เราเลยจะถือโอกาสนี้เอา Zenfone 2 มารีวิวให้เพื่อนชม เรียกน้ำย่อยกัน ทั้งเครื่องตัวท๊อป RAM 4GB และเครื่องรุ่นเล็กสุด จอ 720p มาดูกันว่า ASUS จะทำให้เราประทับใจกันได้แค่ไหน

ปล. เตือนก่อนนะครับ รูปเยอะ วีดีโอหนัก ระวังติด FUP >~<

ขอเกริ่นก่อนเนอะ ว่าปัจจุบันเครื่องหลักที่ผมใช้อยู่นั้นคือ Nexus 5 และผมไม่เคยใช้มือถือเครื่องที่จอใหญ่กว่า 5 นิ้ว ดังนั้นรีวิวนี้อาจจะเป็นมุมมองของคนใช้เครื่องเล็กมาก่อน อาจจะชี้ให้เห็นข้อเสียของเครื่องจอใหญ่บ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าใครที่ชินกับการใช้เครื่องจอใหญ่แล้วก็คงจะไม่มีปัญหาในส่วนนี้

 

ตัวเครื่องภายนอก และการดีไซน์

มาเริ่มที่ด้านหน้ากันก่อนเลย เราจะเจอกันหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1080p (หรือถ้าเป็นรุ่นต่ำสุดก็ 720p) ใช้หน้าจอแบบ IPS ให้สีสดพอตัว มุมมองกว้าง สีไม่เพี้ยนและไม่สดเกินพอดี หน้าจอเร่งได้สว่าง ใช้งานกลางแจ้งได้สบายๆ จะติดก็ตรงที่ลดแสงสุดๆแล้วมันยังสว่างอยู่ คงต้องหาแอพ Screen Filter มาลงเพิ่มถ้าจะเล่นมือถือบนเตียงก่อนนอน

Zenfone 2 นั้นจะมีรุ่นที่มีจอแตกต่างกันอยู่ 2 รุ่น คือ จอ 1080p (รุ่นราคา 7,990 / 9,990 / 11,990 บาท) และจอ 720p (รุ่นราคา 6,990 บาท) บางคนอาจจะไม่รู้ว่ามันต่างกันขนาดไหน เราเลยถ่ายทั้งสองรู่นมาซูมให้ดูกัน จะเห็นได้ว่าทางซ้ายที่เป็นจอ 1080p มันเม็ดละเอียดกว่าชัดเจน แต่สุดท้ายก็ไปดูด้วยตาจริงๆกันเถอะ ถ้าไม่จ้องจริงๆก็ไม่เห็นเท่าไหร่หรอก

Play video

ปัญหาหนึ่งที่เจอก็คือ หากถือเครื่องด้วยมือเดียวแล้วพยายามจะเอื้อมนิ้วโป้งไปกดปุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้าม อุ้งมือเราอาจจะไปโดนขอบจอได้ ทำให้บางครั้งอาจจะกดไม่ติด หรือแค่ลากนิ้วกลายเป็นจีบนิ้วซะงั้น ขนาด Galaxy S6 edge ที่ขอบจอโดนอุ้มมือบ่อยๆยังไม่เป็นเลยนะ

ด้าน Multitouch ก็รองรับถึง 10 จุด ไม่มีปัญหา ไม่มีอาการเพี้ยนใดๆครับ

ด้านล่างจะเป็นปุ่ม capacitive navigation (ปุ่มไม่มีไฟนะ) ตรงนี้ขอชม ASUS ตรงที่ให้ปุ่ม Back อยู่ทางด้านซ้าย และปุ่ม Recent App อยู่ทางขวา เหมือนกับปุ่ม On-screen Navigation ที่ Google กำหนดมา

แต่ก็ยังเจอปัญหาแบบเดิมอยู่นะ บางทีจะกดปุ่ม Back อุ้งมือเราอาจจะไปโดยปุ่ม Recent App ได้แบบไม่ตั้งใจ ตรงนี้ก็ต้องระวังกันหน่อย

ด้านล่างใต้ปุ่ม Navigation ก็จะเป็นแถบเงาๆตามไสตล์ ASUS เขาหล่ะ ให้ความรู้สึกพรีเมียมขึ้นมาอีกระดับ

ด้านบน เหนือจอจะมีเซนเซอร์วัดแสง, เซนเซอร์วัดระยะ, ลำโพงสนทนา, กล้องหน้า, และ Notification LED สีเขียวครับ


นี้ตัดต่อเอามือของรูปบนออกเฉยๆนะครับ มันไม่ได้ลอยได้นะ =o=

ด้านข้างทั้งซ้ายและขวานั้นโล่งๆ ไม่มีอะไรเลย มีซอกสำหรับให้แงะเปิดฝาหลังอยู่ทางด้านขวาเท่านั้น

ด้านหลังจะมีกล้องหลัง 13 ล้าน พร้อม Flash คู่สองสี ปุ่มเพิ่มลดเสียง การที่ ASUS เอาปุ่มมาไว้ข้างหลังมันก็กดง่ายอยู่หรอกนะตอนที่เครื่องอยู่ในมือ แต่ว่าพอจะกดเพิ่มลดเสียงตอนมือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกงนี้มันหาปุ่มยากซะเหลือเกิน คนที่ฟังเพลงระหว่างเดินทางบ่อยๆคงจะเข้าใจ

ด้านล่างจะเป็นลำโพง แต่เห็นแถบยาวๆแบบนั้นจริงๆมีลำโพงอยู่ข้างเดียวนะ ;p เสียงที่ได้ ขอเรียกว่าอยู่ในระดับธรรมดาละกัน ใช้งานได้ปกติ ไม่ได้ว้าวอะไร เสียงดังระดับปานกลาง

 

ในรุ่น RAM 4GB นั้น ฝาหลังจะมีลายคล้ายๆลาย brushed aluminum แต่จริงๆมันคือ พลาสติกนะ ส่วนรุ่นอื่นๆจะได้เป็นลายเรียบผิวคลายๆโหละแทน แต่ก็เป็นพลาสติกเหมือนกันนั้นแหละ

ด้วยความที่มันเป็นฝาหลังมันเป็นผิวอย่างที่ว่าไป ประกอบกับตัวเครื่องที่กว้างแบบเต็มไม้เต็มมือ คนที่ชินกับเครื่องเล็กมาก่อนอาจจะรู้สึกไม่มันใจเวลาจับถือ กลัวเครื่องลื่นหลุดมือได้ ตรงนี้อาจจะแก้โดยหาเคสมาใส่เอานะ

เมื่อเปิดฝาหลังเข้าไปด้านในจะเจอช่องใส่ซิม 2 ช่อง เป็น micro ซิมทั้งคู่ ช่องเบอร์ 1 รองรับ 2G/3G/4G ช่องเบอร์ 2 รองรับเฉพาะ 2G และข้างๆกันนั้นจะเป็นช่องใส่ microSD card รองรับความจุสูงสุด 64GB ครับ

ตรงนี้หลายคนบ่นมาว่า ทำไมเครื่องรับ 3G ไม่ได้ ให้ลองสังเกตนะว่าใส่ถูกซิมฝั่งหรือเปล่า

ด้านบนของเครื่องจะมีช่องหูฟัง, ปุ่ม power, และไมค์ตัดเสียงรบกวน

ไม่รู้ ASUS คิดยังไงถึงย้ายปุ่ม power มาไว้สูงขนาดนี้ ด้วยขนาดจอ 5.5 นิ้วนั้น มันไม่ได้กดง่ายเลย เอื้อมไปกดทีก็เสียวเครื่องจะตกที แล้วปุ่มมันก็ยวบๆ ตื้นๆ กดแล้วไม่รู้สึกว่ากดเท่าไหร่ แต่ก็ดีหน่อยที่เราไม่ต้องไปกดมันบ่อย เพราะ Zenfone 2 มีฟังก์ชั่นเคาะจอเพื่อเปิดปิดได้อยู่แล้ว ไม่ง้อปุ่ม power จะได้กดก็แค่ตอนเปิดเครื่องเท่านั้นแหละ (ตอนเปิดกดค้างนานๆหน่อยนะ สัก 5 วินาที)

 

บางคนอาจจะเคยเจอปัญหาจอเปิดเองเวลาเอาเครื่องใส่กระเป๋ากางเกงเพราะจอไปโดนต้นขา แต่กับ Zenfone 2 นั้นไม่มีปัญหาครับ เพราะมันจะดูจากเซนเซอร์วัดระยะด้วยว่ามือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกงหรือเปล่า ถ้าอยู่ในกระเป๋าจอก็จะไม่เปิดเอง หน่ะ คิดมารอบคอบดี

ด้านล่างจะมีไมค์สนาทนา และช่อง MicroUSB ตรงนี้อยากให้ ASUS เอา ช่องหูฟังกับ MicroUSB ไปอยู่ข้างเดียวกันจังเลย เวลาชาร์จไปฟังเพลงไป สายจะได้ไม่วุ่นวาย คนชอบฟังเพลงแล้วแบตหมดกลางทางแล้วต้องเสียบ powerbank คงเข้าใจดีเลยแหละ

 

สเปค และ ประสิทธิภาพการทำงาน

มาดูที่สเปคกันบ้างดีกว่า ขอบอกว่ารอบนี้ ASUS จัดเต็มอีกแล้วครับ 

ASUS Zenfone 2
ราคา6,990 บาท7,990 บาท9,990 บาท (32GB)
11,990 บาท (64GB)
รหัสZE550MLZE551ML
OSAndroid 5.0 (Lollipop) with Zen UI
CPUIntel Atom Z3560
Quad Core 1.8GHz 64-bit
Intel Atom Z3580
Quad Core 2.3GHz 64-bit
GPUPowerVR Rogue G6430
RAMLPDDR3 2GB RAMLPDDR3 4GB RAM
Storage16GB ROM + microSD สูงสุด 64GB32GB ROM + microSD สูงสุด 64GB32/64GB ROM + microSD สูงสุด 64GB
หน้าจอ
IPS LCD ขนาด 5.5 นิ้ว อัตราส่วนหน้าจอต่อขนาดเครื่อง ~70.1%
720 x 1280 พิกเซล (267ppi)1080 x 1920 พิกเซล (~403 ppi)
Gorilla Glass 3
SIM2 ซิม (microSIM) dual-standby รอรับสายได้พร้อมกัน
เครือข่ายที่รองรับ
2G ทุกเครือข่าย GSM 850 / 900 / 1800 / 1900
3G ทุกเครือข่าย 850 / 900 / 1900 /2100 HSPA 42.2/5.76 Mbps
4G Band 3/8/28 LTE CAT4 DL:150Mbps UL:50Mbps
WiFi802.11 a/b/g/n/ac, Wi-Fi Direct, Wi-Fi Hotspot
การเชื่อมต่อBluetooth 4.0, USB 2.0, USB OTGBluetooth 4.0, NFC, USB 2.0, USB OTG
กล้องหลัง13 ล้านพิกเซล + f/2.0 + autofocus + dual truetone flash
 บันทึกวิดีโอ 1080p@30fps
กล้องหน้า5MP
เสียงลำโพงและช่องหูฟัง 3.5 มม., ฟังวิทยุได้
SensorsAccelerometer, Gyro, Proximity, Compass, Light
GPSA-GPS + GLONASS
แบตเตอรีLi-Po 3000 mAhLi-Po 3000 mAh + Fast Charge (60% ใน 39 นาที)
ขนาดและน้ำหนัก152.5 x 77.2 x 10.9, 170 กรัม
สีดำ/แดง/ขาวดำ/ขาว/แดง/เทา/ทอง

หลายๆคนคงจะไม่คุ้นกับรหัส CPU ของ Intel ว่ามันเป็นระดับไหน สำหรับรุ่น RAM 4GB นั้นจะใช้ Intel Atom Z3580 2.3 GHz ซึ่งถ้าเทียบจากสเปคแล้วก็จะอยู่ราวๆ Snapdragon 800 หรือ 801 ซึ่งถ้าดูที่ผลการทดสอบข้างล่างก็จะเห็นว่าได้คะแนนออกมาพอๆกัน

ถ้ามาดูที่ตัวต่ำลงมาหน่อยอย่าง Intel Atom Z3560 นั้นจะมีสเปคเหมือนตัวพี่มันทุกประการ เว้นแต่ว่า Clock Speed กว่า อยู่ที่ 1.83 GHz เท่านั้น เทียบกับ Snapdragon ก็คงเป็นตัว 615 ได้หล่ะมั้ง แต่น่าจะแรงกว่านั้นหน่อย

 

Antutu Benchmarks & 3DMark


Benchmark ของตัวท๊อป RAM 4GB CPU Intel Z3580

คะแนนของ Antutu และ 3DMark ที่ได้ออกมา … ผมนี้กด test ใหม่สองรอบเลย Rank ที่อยู่ข้างบนนั้นมัน Galaxy Note 4 ใช่ไหม แล้วที่กองๆอยู่ “ใต้” Zenfone 2 นี้มันรุ่นตัวท๊อปปีที่แล้วหนิ เฮ้ยย แรงเกินไปแล้ว เชื่อว่าคนที่กะจะซื้อ Zenfone 2 คงไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเป็นเครื่องที่แรงที่สุดในตลาดอยู่แล้ว แต่ในราคาเท่านี้ (หมื่นกว่าบาท) Zenfone 2 คงจะเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดแล้วล่ะ

 

แล้วถ้าเป็นเครื่องตัวล่างสุดของสาย Zenfone 2 อย่างตัว RAM 2GB CPU Intel Z3560 หล่ะ จะเป็นอย่างไรบ้าง


Benchmark ของตัวต่ำสุด RAM 2GB CPU Intel Z3560

เฮ้ยยย นี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงได้คะแนนเท่าๆกันเลยหล่ะ? อย่างที่บอกไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ว่า CPU ของ Zenfone 2 ทั้งสองตัวนั้นมันแทบจะเหมือนกันทุกประการ เพียงแต่ว่าการตั้งค่า clock speed จากโรงงานมันตั้งมาต่างกันเท่านั้นเอง อีกทั้งมันยังใช้ GPU เดียวกัน และตัว RAM 2GB นั้นใช้จอความละเอียด 720p จึงไม่ต้องประมวลผลมากเท่าจอ 1080p คะแนนสุดท้ายก็เลยไม่ห่างกันมากนั้นเอง

อีกเหตุผลหนึ่งที่อาจจะฟังดูเข้าท่าก็คือ แม้ว่า clock speed เริ่มต้นจะต่างกัน แต่พอเปิดโปรแกรม benchmark มันก็จะ boost CPU ให้แรงขึ้นไปเกือบเท่าๆกัน (เหมือนที่ Samsung โดนจับว่าโกงคะแนน benchmark เมื่อก่อนนั้นแหละ เดี๋ยวนี้เขาก็ทำกันทุกค่าย)

 

ปล. Benchmarks นี้ผมไม่ได้ปิด Cleaning Master นะครับ ถ้าเรา kill process ของ Cleaning Master ทิ้งจะได้นะแนน Antutu เพิ่มซักราวๆ 500-1000 คะแนน

 

Real World Usage

แต่ผล Benchmark หรือจะสู้การใช้งานจริง ในการทดสอบนี้ผมได้สังเกตุการใช้งานของตัวเอง ซึ่งก็น่าจะสะท้อนถึงการใช้งานมือถือของคนทั่วไปได้ส่วนหนึ่ง แล้วนำมาออกแบบการทดสอบนี้เพื่อจะดูว่า Zenfone 2 จะทำงานได้ลื่นแค่ไหนภายในสถานการณ์ปกติชีวิตคนทั่วไป

เราได้ทำการทดสอบไว้แล้วใน Blog ทดสอบ RAM 4GB ของ Zenfone 2 กับการ multitasking ใครอยากชมความอลังการงานสร้างของ RAM 4GB สามารถตามไปดูได้เลย~

 

Gaming

ในด้านการเล่นเกมก็แรงไม่แพ้ใครเหมือนกันนะ ด้วย CPU ระดับเรือธง GPU ก็ใช่ย่อย เราก็เห็นความสามารถมันตอน Benchmark มาแล้วรอบหนึ่ง คราวนี้เรามาลองเล่นเกมจริงกันเลยดีกว่าว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

เกมที่เราจะใช้ทดสอบในที่นี้จะเป็นเกมที่ใช้ทดสอบ multitask นั้นแหละ ก็คือ

  • Asphalt 8 (ปรับ effect ละเอียดสุด)
  • Plant VS Zombie 2
  • Implosion
  • Pangya (PSP Emulator ผ่านแอพ PPSSPP)

โดยในเกมสุดท้ายที่เล่นผ่าน Emulator นั้นเราจะลองปรับ Rendering Resolution ดูจาก 1xPSP, 3xPSP, และ 5xPSP ดูว่าตัวเครื่องนั้นจะรับได้ขนาดไหนกัน เรามาเริ่มที่ตัวท๊อป RAM 4GB CPU Intel Z3580 กันเลย

Play video

3 เกมแรกไม่มีปัญหาใดๆครับ เชื่อว่าเกมส่วนใหญ่ที่ออกแบบมาสำหรับ Android โดยเฉพาะคงไม่เป็นอุปสรรคใดๆสำหรับ Zenfone 2 เล่นได้สบายๆ แต่จะเริ่มกระตุกหน่อยก็ตรงเกมที่เล่นผ่าน Emulator นี้แหละ เรามาดูกันทีละขั้น

  • ที่ 1xPSP เล่นได้สบายๆ frame rate อยู่ที่ 40-60 FPS ไม่มีปัญหา
  • ที่ 3xPSP frame rate เริ่มตกลงมาที่ราวๆ 30 FPS แต่ก็ยังไม่กระตุกอะไรนะ เล่นได้สบายๆ อาจจะมีตกลงไปแถวๆ 15-20 FPS บ้าง
  • ที่ 5xPSP ตรงนี้เริ่มไม่ไหวแล้ว frame rate อยู่ที่ราวๆ 20-30 FPS เสียงเริ่มมีขาดๆหายๆ

 

มาดูที่ตัว RAM 2GB CPU Intel Z3560 กันบ้างว่าจะไหวไหม

Play video

สำหรับเครื่องรุ่นรอง RAM 2GB แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ CPU แรงเท่า แต่ก็ยังเล่นเกมได้สบายดีอยู่ 3 เกมแรกยังสบายๆ ดูด้วยตาเปล่าไม่รู้สึกอะไรต่างจากรุ่นพี่นะ แต่พอมาเกมสุดท้าย (PSP Emulator) เริ่มเห็นผลชัด เพราะมี FPS โชว์มุมบนขวานี้แหละ

  • ที่ 1xPSP ยังเล่นได้สบายๆ frame rate ยังอยู่ราวๆ 40 FPS ต้นๆ
  • ที่ 3xPSP frame rate เริ่มตกลงมาอยู่ที่ราวๆ 30 FPS
  • ที่ 5xPSP นี้เริ่มไม่ไหวเหมือนกัน ตกลงมาที่ราวๆ 20-30 FPS เหมือนรุ่นพี่เลยแหะ

 

ดังนั้นถ้าจะมีคนมาถามว่า ซื้อ Zenfone 2 รุ่นไหนดี เน้นเล่นเกม บอกไปเลยว่า รุ่นไหนก็เหมือนกันนั้นแหละ เพราะ CPU มันไม่ได้มีความแตกต่างขนาดนั้น และส่วนสำคัญที่ ใช้ในการเล่นเกมก็คือ GPU ซึ่ง Zenfone 2 ทุกรุ่นใช้ GPU เดียวกันครับ (ไม่นับไอตัวจอ 5 นิ้วนะ)

 

Camera

มาดูที่กล้องกันบ้าง Zenfone 2 ใส่กล้องมาในระดับกลางๆ กล้องหลังความละเอียด 13 ล้าน f2.0 พร้อม 2 tone flash และกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้าน มุมมองกว้าง ตามสเปคอาจจะดูดี แต่พอดูภาพถ่ายจริงแล้ว … แหมะ รู้สึกว่ามันไม่โอเคเท่าไหร่ มาลองดูเองดีกว่า

ปล. เราสามารถกดเปิดกล้องเร็วๆจากตอนปิดจอได้โดยการกดปุ่ม volume 2 ครั้ง เข้าไปตั้งค่าได้ที่ Setting > Lock screen > Instant Camera 

 

UI กล้อง

ขอเริ่มที่ UI กล้องละกัน ASUS ยังคน UI กล้องแบบเดิม ยังคงมีปุ่มตั้งค่าอยู่ที่มุมล่างซ้าย ถัดขึ้นมาก็เป็นปุ่มกล้องหน้า แล้วก็ปุ่มเปิดปิด flash

ทางด้านขวาก็จะมีปุ่มดูรูป, ปุ่ม shutter, ปุ่มถ่ายวีดีโอ, และปุ่มเลือกโหมดครับ

เมื่อกดปุ่มเลือกโหมดมุมล่างขวาก็มีโหมดขึ้นมาให้เลือกเต็มไปหมด ตรงนี้จะขอยกมารีวิวเฉพาะบางโหมดละกันนะครับ

 

Auto

ในโหมด Auto นั้นก็ตามชื่อ ไม่ต้องปรับอะไรทั้งนั้น กดถ่ายได้เลย … แต่ถ้าอยากปรับก็ปรับได้นะ กดที่ปุ่มตั้งค่าก็จะปรับ ได้เยอะแยะ ทั้ง ISO, ชดเชยแสง, วัดแสง, คุณภาพไฟล์ภาพถ่าย, ฯลฯ เต็มไปหมด ของพวกนี้มันควรจะอยู่แต่ในโหมด manual ไหม? รู้สึกว่า ASUS จะยังทำ UI/UX ได้ไม่ดีเท่าไหร่ในจุดนี้

 

แต่ก็ยังดีที่ Auto เขาเกือบฉลาด … คือมันจะคอยบอกเราว่า เออ แสงแบบนี้ เราแนะนำให้ใช้โหมดนี้นะ แล้วก็จะเด้ง icon โหมด เช่น HRD หรือ Low-Light ขึ้นมาที่มุมล่างขวา เราก็สามารถกดแล้วเปลี่ยนไปใช้โหมดนั้นได้ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็เปลี่ยนให้เลยก็ได้นะ เราควรจะมีหน้าที่กดถ่ายอย่างเดียวพอ ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย นี้มัน Auto นะ!

 

 

ส่วนคุณภาพของภาพถ่ายก็ออกมากลางๆ มองเผินๆเหมือนจะดูดี แต่พอสังเกตุดีๆแล้วจะเห็นว่า oversharpen มากๆ (การทำให้ภาพดูคมโดยการเน้นขอบ) ซึ่งมันทำให้ภาพที่ได้กลายเป็นหลอกตาแปลกๆ สีสันที่ออกมาก็ดูสดกว่าความเป็นจริงไปเยอะเลย

 

Low-Light

ในโหมดนี้จะเป็นการรวมเอาพิกเซลของกล้อง 4 เม็ดให้เป็นเม็ดเดียวเพื่อการรับแสงที่ดีขึ้น แต่ก็แลกมาด้วยการลดความละเอียดภาพจาก 13 ล้าน เหลือ 3 ล้าน เท่านั้น เรามาดูภาพตัวอย่างกัน ภาพข้างล่างนี้ถ่ายโดยโหมด auto / manual / low-light ตามลำดับนะครับ โดยผมมีแถมรูปสุดท้ายให้คือเอาภาพจากโหมด manual มาแต่งรูปเพิ่มแสง มาดูว่าแบบไหนจะดีกว่ากัน

ขอบอกก่อนว่า สภาพแสงที่ถ่ายคือมืดมาก มีโคมไฟอยู่ทางซ้ายไกลๆ ในโหมด auto นี้ภาพดำสนิท ไม่สามารถโฟกัสได้เลย เท่าที่ดูโหมด low-light ก็ช่วยให้ภาพสว่างขึ้นได้มาก และทำให้กล้องโฟกัสได้ คุณภาพก็พอใช้งานลง social ได้ แต่อย่าไปขุดเค้นเอารายละเอียดอะไรกับมันมากนักนะ 3 ล้านก็คือ 3 ล้าน

 

HDR

ในโหมด HDR นั้นต้องเรียกว่า สวยแบบอาร์ทๆ แต่หลอกตามาก จะเห็นได้ว่าตามขอบระหว่างจุดมืดกับจุดสว่างจะเป็นขอบแสงสว่างๆแปลกๆ ซึ่งเกินจากการ process ภาพหนักไปนั้นเอง แต่บางภาพก็ออกมาดูดีนะ อย่างภาพสุดท้ายเป็นตัน (ภาพนั้นเหมือนว่ามันจะดูดีอยู่แล้ว HDR ช่วยดึง shadow ขึ้นมานิดหน่อย)

ด้านล่างนี้จะเป็นตัวอย่างภาพ โดยภาพแรกจะเป็นของโหมด Auto และถัดไปจะเป็นของโหมด HDR ครับ

 

Super Resolution

ในโหมดนี้กล้องจะทำการถ่ายภาพรัวหลายๆภาพ แล้วนำมารวมกันทำให้ได้ภาพที่มีควรละเอียดสูงขึ้นเป็น 52 ล้านฟิกเซล เท่าที่ดู พอเอามา crop แล้วมันก็ดูดีกว่า Digital zoom นะ นิดนึง ภาพดูคมขึ้น แต่เอาจริงๆ คิดไม่ออกเหมือนกัยว่าจะเอาภาพใหญ่ๆมากไปทำไม เปิดดูทีก็ช้าเปล่าๆ อัพขึ้น social ก็ช้า แถมอัพไปก็โดยย่ออยู่ดี (นี้เอาภาพ 52 ล้านเข้า Photoshop ใส่มา crop ให้ดูนี้เครื่องเกือบ save ภาพไม่ได้เพราะ RAM คอมผมไม่พอ =o=)

ภาพแรกจะเป็น Super Resolution นะครับ ส่วนภาพที่สองจะเป็น Auto

 

Selfie & Selfie Panorama

โหมดนี้ต้องบอกเลยว่าสาวน่าจะชอบ ด้วยเลนส์กล้องหน้ามุมกว้างทำให้เวลา selfie สามารถทำได้ง่าย แถมด้วย software สามารถปรับภาพ ให้ผีกลายเป็นคน ปรับคนให้เป็นเอเลี่ยนได้ เราสามารถปรับใส่โทนสีสำหรับแต่งหน้าได้ ปรับให้สีผิวสว่างขึ้นได้ (ตรงนี้ผมว่าพอปรับสว่างมากๆสีมันจะแปลกๆ เหมือนเอาไฟส่องแต่แสงผิดมุม) ปรับหน้าเนียนได้ ปรับตาโตหน้าเรียวได้ สองอันสุดท้ายนี้ค่อยปรับดีๆนะ เดี๋ยวหน้าจะเละเป็นเอเลี่ยนไป =o=

ถึงเลนส์กล้องหน้าจะกว้าง แต่บางทีก็กว้างไม่พอกลุ่มเพื่อน 6 7 คนอยู่ดี แต่ ASUS ก็มีโหมด Selfie Panorama มาให้เหมือนกัน (เอ…เหมือนใครนะ) แต่อยากจะบอกว่าแอบถ่ายยากนะ เพราะต้องเลื่อนไปที่ละ shot กลาง 1 ขวา 2 ซ้าย 2 กว่าจะครบนี้เล่นเอาเมื่อยอยู่เหมือนกัน แถมบางทีต่อไม่เนียนด้วย คงเป็นเพราะเราผิดซ้ายขวาไม่ตรงนั้นแหละ แต่มันบิดให้ตรงยากนะ ลองดูตัวอย่างภาพละกันครับ

อีกอย่างคือ เมื่อเราใช้โหมด Seflie Panorama แล้ว จะไม่สามารถใช้ Effeft แบบโหมด Selfie เดี่ยวๆได้เลย ปรับอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น เร่งแสงให้สว่างยังไม่ได้เลย ดังนั้นความจริงจะโผล่ทันทีว่าดำขนาดไหน =_= 

 

ใครอยากดูรูปจาก Zenfone 2 เพิ่มเติม ลองเข้าไปดูใน Blog Mini Blind iPhone 6, Galaxy S6, S5, S4, และ Zenfone 2 ได้นะครับ Zenfone 2 คือกล้อง C นะครับ

 

Software

เรามาดูที่ Software กันบ้าง Zenfone 2 ยังคงมาพร้อมกับ ZenUI เหมือนเช่นเคย แค่คราวนี้มาบน Android 5.0 Lollipop คาบอมยิ้มมาตั้งแต่เกิด แต่จะได้อัพ Android M หรือเปล่านี้อีกเรื่องนึงนะ อิ ;p

ZenUI นี้ก็ยังคงทำออกมาได้น่าประทับใจเช่นเคย มีหลายๆส่วนที่ทำออกมาอุดข้อจำกัดของ Lollipop ได้ดี เรามาดูกันทีละส่วนเลยละกัน

 

Home Launcher

ในส่วนของ Home Launcher นั้น ASUS ก็ยังทำได้ดี สามารถปรับแต่งได้หลายส่วน เช่น Scroll Animation, font, ขนาดตัวหนังสือ, และรูปแบบของ folder พอรวมกับความสามารถในการเปลี่ยน Theme และ Icon ทำให้ Launcher ของ ZenUI นั้นเป็นหนึ่งในตัวที่ปรับแต่งได้มากที่สุดเลยหล่ะ

Smart Group

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจก็คือส่วนของ App Drawer เพราะมันมีฟังก์ชั่นที่เรียกว่า Smart Group ที่จะช่วยเราจัดแอพให้อยู่เป็นหมวดหมู่ เช่น แอพเกี่ยวกับการถ่ายรูป, Social Network, หรือเครื่องมือต่างๆ ง่ายๆใน 3 คลิกเท่านั้น

 

Notification Bar & Quick Setting

หัวข้อนี้ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ ASUS ทำออกมาได้ดี ปิดช่องโหว่ของ Lollipop ได้ เพราะ Lollipop ไม่อนุญาติให้เราปรับเปลี่ยนจัดเรียง Quick Setting ทั้งนั้น แต่ของ Zenfone 2 นี้เราจัดได้ตามใจเลย

 

มีเรื่องติอยู่นิดหน่อยนะ คือไฟฉาย จริงๆแล้วไม่ต้องใส่มาเป็น 1 แอพ ก็ได้นะ เอาแค่ toggle เปิด/ปิด ผ่าน Quick Setting ก็พอ แล้วก็อยากให้เปิดไฟฉายตอนปิดจอได้ด้วย Update Firmware ครั้งหน้าแก้ให้หน่อยนะ ASUS นะ 😉

 

Theme & Icon Pack

ด้านการปรับแต่งหน้าตานั้น ASUS เขาก็จัดมาให้พอหอมปากหอมคอ theme สามารถปรับได้ไปถึง icon บนหน้า lock screen, icon ใน apps drawer และหน้า home, รวมไปถึงในส่วนของ Notification Bar ด้านบนด้วย แต่ไม่ถึงส่วนของ Setting และ Phone หรือ Contact อะไรพวกนั้นนะ

ตัว theme ก็ยังมีให้เลือกไม่มาก เห็นอยู่แค่ 7 themes เท่านั้น แต่ก็ยังดีที่ส่วนของ Icon Pack นั้นสามารถรองรับ Icon Pack ทั่วไปที่อยู่ใน Playstore ได้ อยากใช้อะไรก็หาโหลดมาได้ตามใจเราเลยครับ

 

Snap View

ใครที่ปัจจุบันต้องพกมือถือสองเครื่อง เครื่องหนึ่งเป็นเครื่องส่วนตัว อีกเครื่องหนึ่งของที่ทำงานบ้าง ไม่ต้องอีกต่อไป เพราะ Zenfone 2 เครื่องเดียวเอาอยู่

Snap View เป็นเป็นฟังก์ชั่นที่จะช่วยแยก user ในเครื่องออกจากกันด้วย lock pattern ที่ต่างกัน ถ้าเราลากๆรหัสแบบที่ 1 เราก็จะปลดล็อคเข้าไปใน user ที่ 1 ถ้าเราลากๆรหัสอีกแบบ มันก็จะเข้าไปใน user ที่สอง ซึ่งสอง user นี้จะแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง พูดแล้วจะหาว่าคุย เรามาดูตัวอย่างการใช้งานกัน

Play video

 

ZenMotion

เมนู ZenMotion จะรวม 3 ฟังก์ชั่นไว้ในนี้คือ Touch Gesture, Motion Gesture, และ One Hand Mode งงหล่ะสิ มันคือเมนูเกี่ยวกับการใช้ท่าทางความคุมมือถือนั้นแหละ แต่จะ Motion หรือจะ Guesture ก็เอาสักอย่าง บางที ASUS ก็ตั้งชื่อแปลกๆนะ เรามาดูกันทีละตัวดีกว่า

 

Touch Gesture

ชื่อไม่ได้ช่วยให้เข้าใจอะไรเลย =_= มันคือ Screen-off Guesture หรือการวาดตัวอักษรลงบนจอตอนปิดอยู่เพื่อให้เครื่องแอพขึ้นมาทันที เราสามารถใช้งานการเคาะ 2 ครั้งเพื่อเปิดจอได้ตรงนี้

นอกจากนั้นเรายังสามารถตั้งค่าให้เปิดแอพเมื่อวาดตัวอักษรลงบนจอได้ด้วย เช่นวาดตัว C เพื่อเปิดกล้อง แต่เราไม่สามารถสร้างตัวอักษรขึ้นมาเองได้นะ ต้องใช้ที่มีอยู่เท่านั้น คือตัว W, S, e, C, Z, V มีให้แค่ 6 ตัวเท่านั้น

เรามาลองดูตัวอย่างการใช้งานกัน

Play video

 

Motion Gesture

ตรงนี้ไม่มีอะไรมาก เราสามารถตั้งให้เมื่อเขย่าเครื่องสองครั้ง จะเซฟ screenshot ไปใส่ไว้ในแอพที่ชื่อว่า Do It Later เพื่อช่วยจำเรื่องที่เราจะกลับมาทำทีหลัง แต่เท่าที่ลองเขย่าดูมันก็ไม่เห็นจะ work เลย เขย่าจนเครื่องจะหลุดจากมือละยังทำงานไปแค่ครั้งเดียว =-=

 

One Hand Mode

  

นี้คือตัวช่วยที่จะทำให้เราใช้งานเจ้าเครื่องจอ 5.5 นิ้วนี้ได้ง่ายขึ้น โดยการลดขนาดจอมันเล็กลง ….. ซื้อมา 5.5 นิ้ว ใช้ 5 นิ้วพอ

อันนี้ก็เอาไว้ใช้เวลาเหลือมือว่างข้างเดียว เช่นตอนอยู่บนรถเมล์หรือบน BTS ในหน้านี้เราสามารถตั้งให้การกด home 2 ครั้งเป็นการย่อจอได้ ก็อาจจะสะดวกดี แต่ลองสังเกตุดูว่า พอเปิดฟังก์ชั่นนี้แล้ว การกด home เฉยๆเพื่อไปหน้า home เนี่ยมันจะช้าลงประมาณครึ่งวิ (มันรอดูว่าเราจะกดครั้งที่ 2 หรือเปล่า) แนะนำให้ไปตั้งปุ่ม One Hand Mode ใน Quick Setting จะดีกว่า ปุ่ม home จะได้ไม่หน่วง

เรามาดู video ลองใช้งาน One Hand Mode กัน

Play video

 

Lock Screen

Lock Screen ของ Zenfone 2 ก็ยังไม่มีอะไรต่างจากเดิมนัก ที่มีเพิ่มขึ้นมาก็คือการแสดง notification ในหน้า Lock Screen แต่ถ้าใครจำได้ว่าเมื่อก่อนตอนเป็น KitKat เวลาเราเปิดจอมา เราก็จะเจอกับที่ให้ใส่ password (หรือ pattern) ทันที ไม่ต้องมาลากขึ้น 1 ครั้งแล้วถึงจะเจอแบบใน Lollipop นี้เป็นหนึ่งในส่วนที่ผมไม่ชอบเลยของ Lollipop

แต่ ASUS ก็ทำให้ผมต้องอึ้ง! … ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ก็รู้สึกว่าเขาคิดมารอบคอบดีตรงนี้ ชื่นชมๆ ใน Zenfone 2 เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้มันเป็นแบบเก่าหรือแบบใหม่ ก็เป็นแค่รายละเอียดเล็กๆที่ อืมม มันดีอะ

ถ้าใครยังงงอยู่ ลองดูตาม video ข้างล่างนี้

Play video

 

software ของมือถือทั่วไป

ในหัวข้อนี้เราจะมาดูแอพของมือถือทั่วๆไป เช่น Phone, Contact, File Manager, และ Music Player ที่ ASUS ใส่มาให้ ตรงนี้ขอพูดรวมๆละกันว่าทำออกมาได้ดี UI จะออกแนวใหญ่ๆ อ่านง่าย กดง่าย รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ชอบก็เช่น

  • File Manager สามารถต่อเข้า Cloud Storage และ Network Place (ดึงไฟล์จาก PC ในวง LAN เดียวกันได้เลย)
  • Music Player เลือกแสดงเพลงตาม folder ได้ จัด playlist ง่ายขึ้น

แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ทำออกมาซ้ำซ้อนกับบริการของ Google เช่น

 

  • VIP Contact ในสมุดโทรศัพท์ มันก็ไม่ได้ดูต่างอะไรกับ Favorite Contact ของ Google
  • What’s Next นี้เหมือน Google บอกตารางนัด บอกสภาพอากาศล่วงหน้า
  • Do It Later เหมือน Google Keep หรือ Reminder ใน Google Now

 

ซึ่งตรงนี้ก็เช้าใจว่า ASUS อาจจะพยายามทำของตัวเองออกมาให้ดีกว่า แต่เอาเข้าจริงๆคนก็ใช้ของ Google อยู่ดีนั้นแหละ

 

Bloatware

ASUS ก็เป็นอีกเจ้าหนึ่งที่ยังไม่เลิกใส่แอพแปลกๆมาให้ในเครื่อง (Samsung เค้าทำตัวดีขึ้นแล้วนะ) Bloatware บางตัวก็มีประโยชน์นะบางที แต่ส่วนใหญ่จะไม่ แถมบางตัวน่ารำคาญด้วย มาลองดูบางตัวที่เห็นชัดๆ

  • ZenCircle ก็ไม่รู้ว่า ASUS จะพยายามทำตัวเป็น Social Network ไปทำไม ทำมาก็รกเครื่องเปล่าๆ กดเข้ามามีแต่หน้าแนะนำ แล้วมี Link ให้โหลดแอพเพิ่มเอาเอง คืออะไรรรร? ลบไม่ได้ Disable ไม่ได้ด้วย

 

  • ZenTalk อันนี้พยายามจะดึงให้คนเข้าไปใช้ forum รวมกลุ่ม Zenfone แต่ใส่ shortcut มาใน Add Drawer แบบลบไม่ได้ Disable ไม่ได้นี้มันก็น่ารำคาญไปนะ

 

  • ASUS Support แอพนี้พยายามจะช่วยเวลาที่เราเครื่องมีปัญหา เราสามารถลองกดเข้าไปหาแนวทางแก้ไขได้ในเมนู Assistance แต่ที่น่ารำคาญคือ News นี้แหละ นอกจากจะมี Notification แดงๆโผล่มาแล้ว ข้อความข้างในก็มีแต่โฆษณาสินค้าตัวเอง มันน่ารำคาญยิ่งนัก

 

แต่ในดงของแอพไร้ประโยชน์ก็ยังมีแอพดีๆอยู่บ้าง เช่น PhotoCollage ที่ช่วยให้เรารวมหลายๆภาพเป็นภาพเดียวได้ มีรูปแบบให้เลือกเยอะดี สวยๆเก๋ๆก็มี แถมดึงภาพลงมาจาก album บน Facebook ตรงๆเลยก็ได้ด้วย

 

ส่วนแอพของ ASUS อื่นๆเช่น PC Link, Remote Link, Share Link, Party Link ก็ค่อนข้างมีประโยชน์นะ บางตัวก็เจ๋งดี ใครอยากรู้ว่ามันใช้ทำอะไรได้บ้าง ลองเข้าไปอ่านใน Blog นี้ ที่คุณ @Laruku ได้เขียนเอาไว้แล้ว น่าสนใจดีครับ

 

Battery Life

สุดท้ายเรามาดูเรื่องของ Battery กัน ด้วยแบต 3000 mAh ด้วยการใช้งานทั่วไปของผมแล้วก็อยู่ได้ทั้งวันนะ เริ่มวัน 8 โมง กลับบ้าน 5 โมงเย็นยังเหลือแบต เกิน 10% บางทีก็ 20% นับ Screen-on Time (เวลาที่ใช้งานจริง) ราวๆ 3 ชั่วโมงนิดๆ ในที่นี้ผมก็ใช้เน็ตปกติ 3G บ้าง WiFi บ้าง เปิด Location ตลอด และมีเล่นเกมด้วยราวๆครึ่งชั่วโมง โดยรวมแล้วก็ถือว่าไม่ได้แย่อะไร อยู่ในระดับปกติ แต่ก็ตัวชาร์จทุกวันหน่ะนะ ตามสไตล์ smartphone ปัจจุบัน

 

Charging Time

แม้ว่าแบต Zenfone 2 จะอยู่ในระดับธรรมดาๆ ไม่ได้อึดมากมาย แต่ความเร็วในการชาร์จถือว่าดีเยี่ยม ชาร์จ 50% ในเวลา 40 นาที ชาร์จเต็ม 100% ใน 2 ชั่วโมง เรามาดูกราฟละเอียดๆกันดีกว่า

ปล. ในการทดสองการชาร์จนั้น ผมเปิด WiFi, 3G, และ GPS ไว้เพื่อให้ใกล้เคียงใช้งานจริง เพราะคิดว่าโดยปกติคนทั่วไปก็น่าจะทำแบบนั้น

ถ้าใครไม่ชอบชาร์จมือถือทิ้งไว้กลางคืน หรือบางทีลืมเสียบชาร์จก่อนนอน เช้ามาแบตจะหมด ไม่ต้องห่วงเลยว่าวันนั้นจะต้องเสียบ Powerbank ทั้งวัน เพราะ Zenfone 2 นั้นมี Quick Charge ใส่มาให้ด้วย (เฉพาะตัว 11,900 / 9,990 บาท) แค่เสียบไว้ก่อนไปอาบน้ำแต่งตัวตอนเช้าก็มีแบต 60-70% ก่อนออกจากบ้านได้สบายๆ

 

ซื้อ Zenfone 2 รุ่นไหนดี?

Zenfone 2 ก็เป็นอีกรุ่นที่โดน ASUS ซอยซะถี่ยิบ ตั้งแต่ราคา 6,990-11,990 บาท แต่ผมขอแยกเป็น 2 รุ่นใหญ่ๆละกันคือรุ่น RAM 2 GB และ RAM 4 GB (ส่วนเรื่องเมมเท่าไหร่ดี อาจจะแล้วแต่ความต้องการของแต่ละคนนะครับ ปล. มันใส่ microSD card ได้นะ)

จากที่ลองใช้มา เครื่อง RAM 2 GB ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาเลยนะ (ถ้าไม่บ้าคลั่งเปิด 4 เกมแบบในทดสอบ) ความแรงก็ไม่ได้ต่างกันมาก หน้าจอ 720p vs 1080p ถ้าไม่จ้องจริงๆจะดูไม่ออกเลย ดังนั้นถ้าคนที่งบไม่มาก จะซื้อเครื่องตัวต่ำสุด 6,990 บาท ผมก็ว่าคุ้มนะ ไม่ได้ต่างจากตัวท๊อปขนาดนั้น

แต่ถ้าใครมีงบ อยากเอาให้สุด ก็จัดตัว RAM 4 GB ไปเลยไม่ว่ากัน ได้จอคมกว่า การใช้งานโดยรวมลื่นกว่า แต่ถ้าถามว่าคุ้มกับการเพิ่มเงิน 5,000 บาทไหม (หรือ 3,000 บาทสำหรับรุ่น 4GB/32GB) ก็อาจจะไม่ แต่ถ้าเทียบกับเครื่องอื่นๆในตลาด นี้ก็ยังเป็นเครื่องที่คุ้มที่สุดอยู่ดีนั้นแหละ

โดนส่วนตัวแล้ว เครื่องที่ดูจะเป็น sweet spot (จุดลงตัว) ที่สุดดูจะเป็นตัว 9,990 บาท RAM 4GB ROM 32 GB สเปคเหมือนตัวท๊อป ROM น้อยกว่า แต่ใส่ microSD card เอาก็ไม่เสียหาย เอาจริงๆแค่ 32 GB ก็เยอะพอแล้ว

 

สรุป

Zenfone 2 เป็นมือถือที่คุ้มค่า แรง ลื่น เร็ว ที่สุดตัวหนึ่งของปีนี้ แต่ในราคาเท่านี้ รับรองว่ามันไม่ได้ Perfect ไปซะทุกอย่าง แรงขนาดนี้ เล่นเกมได้สบายๆ ตัว RAM 4 GB ก็ multitask ลื่นๆทั้งวัน แอพมีโหลดใหม่ กล้องยังทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่แต่ก็พอรับได้ Software ก็ทำออกมาได้ดีใช้งานได้ไม่มีปัญหา แต่ข้อเสียบ้าง เช่น Bloatware มีเยอะอยู่

ถ้าให้เลือกระหว่าง Zenfone 2 กับ Nexus 5 ถามว่าผมจะเลือกอะไร ผมก็ยังคงเลือก Nexus 5 นะ ด้วยความลื่นและความเป็น Pure Android แต่ถ้าบังคับให้ผมใช้ Zenfone 2 ผมก็ไม่ได้เสียใจอะไร เพราะมันเป็นเครื่องที่ดีเครื่องหนึ่งเลยหล่ะ เอาความรู้สึกจริงๆตอนได้จับ Zenfone 2 ครั้งแรกคือ “อืมมม Nexus 5 เราคงตกรุ่นไปแล้วสินะ”

 

ข้อดี

  • เครื่องแรงมาก เทียบชั้นเครื่องเรือธงจากค่ายต่างๆได้เลย
  • ตัว RAM 4 GB ทำงานลื่นมาก สลับแอพไปมาไม่มีโหลดใหม่
  • หน้าจอคุณภาพดี สีสด สว่าง มุมมองกว้าง
  • Software ทำออกมาได้ดี UI ปรับแต่งได้เยอะ
  • ชาร์จเร็วมาก เสียบไว้ไม่ทันรู้ตัวก็เต็มแล้ว
  • ราคาถูกมากเมื่อเทียบกับสเปคที่ได้

ข้อด้อย

  • กล้องไม่ได้ดีขนาดนั้น คุณภาพกลาง process ภาพเยอะไป ถ่าย RAW ไม่ได้
  • Bloatware มีเยอะพอสมควร
  • ตัวเครื่องกว้างไปและยาวเกินไป จับถือมือเดียวไม่ถนัด ผาหลังลายโลหะจะลื่นๆหน่อย กลัวเครื่องตก

ข้อสังเกตุ

  • มีหลายคนบ่นเรื่องศูนย์บริการ ก็ลองหาข้อมูลเพิ่มหน่อยนะกัน ตรงนี้ผมก็ยังไม่เจอกับตัวเลยพูดอะไรไม่ได้