iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ที่หลายคนรอคอยกลับมาแล้ว บอกเลยว่ามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์กล้องหลังแบบใหม่ (ตรงไหน) สีใหม่สดใสกว่าเดิม ชิปใหม่ A18 ที่เพิ่มประสิทธิภาพ และความเร็วมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนเยอะมาก ได้ปุ่มใหม่ถึง 2 ปุ่ม ทั้ง Action Button และ Camera Control แบบเดียวกับรุ่น Pro ซึ่งราคาเริ่มต้นรอบนี้ก็ถูกลงกว่าเดิมด้วยเหลือ 29,900 บาท จะคุ้มรึเปล่ากับสิ่งที่ได้อัปเกรด วันนี้เราจะมารีวิวให้ดูกัน
สีสดใสกระแทกตากระแทกใจ โมดูลกล้องใหม่ (ที่คุ้นเคย)
หลังจากที่เปลี่ยนไปใช้ดีไซน์กล้องวางแนวเฉียงมาหลายรุ่นทั้ง iPhone 13, 14, 15 รุ่นธรรมดา ในช่วงที่ผ่านมา เพราะ Apple อ้างเรื่องเซนเซอร์รับภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว iPhone 16 รุ่นล่าสุดนี้ก็กลับไปใช้การวางกล้องแนวตั้งแบบเดียวกับตอน iPhone 11 และ iPhone 12 อีกครั้ง ตัวฐานกล้องรอบนี้มีขนาดใหญ่ ตัวกล้องมีความนูนออกจากตัวเครื่องอยู่พอสมควร และดีไซน์มีความคล้ายกับ iPhone XS มากกว่า iPhone 12
เนื่องจากต้องการให้รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Spatial เพื่อไว้ใช้ดูบน Apple Vision Pro ได้แบบ 360 องศา ว่ากันตามตรง เอาจริง ๆ จะวางกล้องแนวตั้งก็ทำได้หนิ แต่ที่ผ่านมาใช้ข้ออ้างอื่นเพื่อที่จะไม่ใช้ดีไซน์เดิมมากกว่าเรื่องในเชิงเทคนิคด้านฮาร์ดแวร์
ถึงแม้ว่าภาพรวมดีไซน์จะไม่เปลี่ยนมาก เหมือน iPhone 15 และ iPhone 15 Plus สิ่งที่ชอบคงเป็นเรื่องของกระจกผิวด้านที่จับไปแล้วให้สัมผัสที่ดีมาก ๆ เหมือนรุ่น Pro เลย และขอบตัวเครื่องที่มีความโค้งมนรับกับกระจกด้านหน้าหลังได้ดีมาก ๆ ถ้าไม่ติดว่าวัสดุต้องเป็นไทเทเนียมแบบตัวโปรเท่านั้น ผมว่าอะลูมินิเนียมใน iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ก็เป็นอะไรที่มากแล้ว
สีสันรอบนี้เรียกว่าให้มาสดใส จัดจ้านมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยเหมือนกับว่าตอน iPhone 15 และ iPhone 15 Plus นั้นเป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ผลิ ส่วน iPhone 16 และ iPhone 16 Plus เป็นตัวแทนของฤดูร้อนก็ว่าได้
ตำแหน่งปุ่มต่าง ๆ โดยรวมแล้วยังคงเหมือนเดิมหมด แต่ใส่เคสเดิมไม่ได้แล้ว เพราะดีไซน์ของชุดกล้องหลังเปลี่ยนไป น้ำหนักรอบนี้หนักขึ้น 2 กรัม เดิม iPhone 15 และ iPhone 15 Plus จะมีน้ำหนัก 171 และ 201 กรัม รอบนี้ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus อยู่ที่ 173 และ 203 กรัม จากที่ลองจับถือแล้วไม่รู้สึกถึงความต่างของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาแต่อย่างใด
เปลี่ยนปุ่มปิดเสียงเป็นปุ่ม Action Button แบบเดียวกับรุ่น Pro แล้ว
iPhone 16 และ iPhone 16 Plus มาพร้อมกับปุ่มใหม่ Action Button แบบเดียวกับ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max โดยจะมาแทนที่ Alert Slider หรือสวิตช์ปิดเสียงเดิม ซึ่งการอัปเกรดในครั้งนี้เป็นเหมือนการเพิ่มฟังก์ชันให้ปุ่มปิดเสียงเดิมให้สามารถทำได้หลายอย่างมากขึ้น เช่น เปิดไฟฉาย เข้าแอปอัดเสียง ค้นหาเพลงผ่าน Shazam และอื่น ๆ
จากที่ลองใช้มา พบว่าทำงานได้หลากหลายคำสั่งแบบเดียวกับ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max รุ่นปีที่แล้วเลย ใครเคยใช้มาแล้วไม่ต้องปรับตัวอะไร แต่สำหรับคนที่มาจาก iPhone รุ่นที่เก่ากว่าแบบผมอาจจะไม่ชินบ้างในช่วงแรก เพราะต้องเรียนรู้จังหวะการกดใหม่อีกครั้ง
แม้ว่าตัวปุ่มจะใช้งานได้หลายฟังก์ชัน แต่หลัก ๆ แล้วที่เราใช้งานก็ยังใช้เป็นปุ่มปิดเสียงเหมือนเดิม เลยรู้สึกว่า Alert Slider แบบเดิมใช้งานสะดวกกว่ามาก ๆ
ปุ่ม Camera Control ความลำบากใหม่ในการถ่ายรูป
iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ได้มีการเพิ่มปุ่มใหม่อย่าง Camera Control ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ถ่ายรูปโดยเฉพาะ รองรับการสั่งงานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อน หรือการรับรู้แรงกดหลายระดับ ตัวปุ่มสามารถกดเพื่อให้ยุบลงไปได้ ไม่ได้เป็นแผ่นเรียบ ๆ ที่ไม่มีการยุบตัวแบบปุ่ม Home ของ iPhone 7 แต่ตัวปุ่มก็มีระบบ Haptic คอมโบมาให้ด้วย ช่วยให้มีการสั่นตอบสนองกลับมาที่นิ้วของเราเพิ่มเติม
สามารถออกแรงกดครึ่งเดียวแล้วเลื่อนเพื่อเปลี่ยนเครื่องมือ เช่น เปลี่ยนจากซูมเป็นปรับการเปิดรับแสงหรือปรับเครื่องมือได้ เช่น ซูมเข้า-ออก ปรับการเปิดรับแสง ส่วนถ้ากดลงไปเต็มแรงจะเป็นการถ่ายรูป และถ้ากดค้างไว้จะเป็นการถ่ายวิดีโอแบบ Quick Take
ปุ่ม Camera Control ของ iPhone 16 คือเป็นปุ่มจริงเลย ไม่ได้มีแค่เซนเซอร์รับแรงกดแล้วใช้ Haptic feedback หลอกแบบ Touch ID เวลากดเบาๆ จะใช้เซนเซอร์แรงกด แต่เวลากดชัตเตอร์จะเป็นการกดปุ่มจริงๆ แต่ตัวปุ่มเป็นแบบที่เรียบเสมอกับตัวเครื่อง ไม่ได้นูนขึ้นมาแบบปุ่ม Power ครับ
จากที่ได้ลองใช้มา พบว่าตัวปุ่มวางค่อนไปทางกลางเครื่อง วางอยู่ไกลจากขอบตัวเครื่อง เมื่อเทียบกับโทรศัพท์รุ่นอื่นที่มีปุ่มลักษณะเดียวกัน ทำให้ท่าทางในการกดถ่ายรูปจะจำกัดนิดนึง ทำให้บางคนอาจจะไม่ถนัดบ้าง เพราะต้องเอื้อมนิ้วไกล ทั้งการถ่ายแนวตั้งและแนวนอน จากที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อใช้ได้ทั้ง 2 แนว กลายเป็นว่าใช้แล้วไม่ถนัดสักแนว ใช้นิ้วจิ้มบนจอสะดวกและแม่นยำกว่า
ส่วนตัวคิดว่าปุ่มนี้ Apple ทำมารองรับอนาคตมากกว่าเป็นแค่ Camera Control เพื่อใช้กับกล้องเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็นปุ่มเพื่อเรียกใช้ Apple Intelligence หรือเพื่อให้นักพัฒนาเขียนแอปมาเพื่อเรียกใช้งานฟังก์ชันนี้ก็ได้ ต้องรอหุ้นขึ้นในอนาคต
จอแสดงผลใช้ดี (เหมือนเดิม) เลย
ส่วนพาเนลหน้าจอโดยรวมแล้วยังคงใช้พาเนล Super Retina XDR OLED ที่มาพร้อมรีเฟรชเรตมาตรฐาน 60Hz และมาในขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว สว่างสูงสุด 2,000 nits และลดต่ำสุดที่ 1 nits คล้ายกับตัว Pro เลย ใช้งานจริงบอกเลยว่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แค่อาจจะสว่างขึ้นนิดหน่อยตอนออกแดดอยู่กลางแจ้ง
ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ลื่นไหลเท่าใครเขา แต่ส่วนตัวก็รู้สึกว่าเป็นพาเนลที่สีสวยคมมาก ๆ คือถ้าไม่ใช้หน้าจอ ProMotion แบบ 120 Hz มาก่อนจะไม่รู้สึกเลยว่าหน้าจอ 60 Hz ไม่ดียังไง และเมื่อเสริมกับลำโพงคู่ที่มีคุณภาพเสียงดีมาก ๆ เสียงกลางหนา อิ่ม ตามสไตล์ลำโพงโทรศัพท์มือถือ แยกมิติซ้ายขวาได้ดี ทำให้ได้อรรถรสแบบเต็มที่เวลาดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกมสุด ๆ
กล้องความละเอียดเท่าเดิม แต่ Ultra Wide ถ่ายดีขึ้นเยอะ
กล้องหลัก 48MP สเปคคล้ายเดิม แต่ภาพที่ได้ไม่เหมือนเดิม
iPhone 16 และ iPhone 16 Plus รอบนี้ยังคงให้สเปคกล้องมาเท่าเดิมเหมือนตอน iPhone 15 และ iPhone 15 Plus เลย เพิ่มเติมคือมี Auto Focus ในเลนส์ Ultra Wide แล้ว และยังรองรับการถ่ายภาพระยะใกล้แบบมาโครได้ด้วย
ไม่ได้อัปเกรดความละเอียดของเลนส์ Ultra Wide ขึ้นไปเป็น 48 ล้านแบบเดียวกับ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max แต่ยังคงรองรับการถ่ายภาพหรือวิดิโอแบบ Spatial สำหรับดูบน Apple Vision Pro เช่นกัน แม้กล้องทั้งสองตัวความละเอียดไม่เท่ากันก็ตาม
Photographic Style เป็นฟีเจอร์ที่ใช้ได้เฉพาะ iPhone 16 ขึ้นไปเท่านั้น โดยจะเป็นเหมือนการใส่ฟิลเตอร์ให้กับภาพถ่ายในสไตล์ของ Apple ที่เราสามารถปรับโทนสีเองได้ละเอียดกว่าเดิม และมีมาให้ใช้กว่า 10 แบบ แต่ฟีเจอร์นี้กั๊กไว้เฉพาะภาพที่ถ่ายโดย iPhone 16 ขึ้นไปเท่านั้นนะ จะเอาภาพที่ถ่ายโดย iPhone รุ่นก่อนมาใส่แล้วแต่งไม่ได้
หากพูดถึงสไตล์ของภาพแล้ว ในรุ่นนี้ยังคงมาพร้อมกับเอกลักษณ์เดียวกับ iPhone หลาย ๆ รุ่น ไม่ได้ต่างกันมาก ถ้าไม่ได้วางคู่กันเพื่อจับผิดจะแยกไม่ออกเลย แต่รอบนี้ส่วนตัวมองว่า Skin Tone ดูดีขึ้นกว่าเดิม เพราะโทนสีของกล้องติดแดงมากขึ้นเล็กน้อย ส่วนถ้าถ่ายทั่วไปสีจะสดขึ้น และได้ภาพที่คมกว่า iPhone 15 เล็กน้อย คือไม่ได้ต่างกันมาก แต่ถ้าวางเทียบกันถึงจะเห็น
สิ่งที่รู้สึกว่าต่างรอบนี้จะเป็นเรื่องของกล้อง Ultra Wide รู้สึกว่าปรับปรุงขึ้นมาก ไม่รู้ว่ามีการเปลี่ยนชิ้นเลนส์ด้วยหรือไม่ แต่ภาพที่ได้มี Dynamic Range ที่ดีขึ้นพอสมควรเลย ทั้ง ๆ ที่ความละเอียดเท่าเดิม
ส่วนภาพถ่ายในที่แสงน้อยนั้น ทำออกมาได้โอเคเลย เก็บรายละเอียดได้ครบ ตัวหนังสือคมชัด (ถ้าไม่ซูมภาพ) แต่ถ้าซูมภาพดูจะพบว่า Noise ยังคงเยอะอยู่เหมือนเดิม แล้วสำหรับใครที่กังวลเรื่องแสงสะท้อน Lens flare ในตอนกลางคืน รอบนี้ตอนดูภาพในจอก่อนกดปุ่มถ่าย จะเห็นว่ามีแสงสะท้อนอยู่พอสมควร แต่หลังจากที่กดถ่ายแล้วรอให้ประมวลผลเสร็จพบว่า flare เหล่านั้นหายไปเยอะพอสมควร
สำหรับสายซูมนั้น ในรุ่นนี้ไม่ได้มีเลนส์แยกสำหรับการซูมโดยเฉพาะแบบรุ่น Pro และรองรับการซูมแบบ Digital สูงสุดที่ 10x เท่านั้น ถ้าซูมสุดภาพที่ได้บอกเลยว่าแตกยับ ทางที่ดีไม่ควรซูมเกิน 5x แต่ถ้าใช้ตามระยะสำเร็จรูปที่ Apple ใส่มาให้อย่าง 2x บอกเลยว่าทำออกมาได้ดีมาก ทั้งระยะ และมิติภาพ แม้ว่าจะเป็นการ Sensor Cropping ครอปภาพจากความละเอียดเต็ม 48MP เหลือเพียง 12MP ก็ตาม
กล้องหน้า 12MP คล้ายเดิม ไม่ค่อยเปลี่ยน
กล้องหน้าของ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus มาในความละเอียด 12MP เท่าเดิม ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งแน่นอนว่ายังถ่ายคนออกมาได้ไม่ค่อยสวยเหมือนเดิม เพราะสไตล์ภาพยังคงเน้นความสมจริงมากกว่า ทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าเห็นได้ชัด (เกินไป) แต่รอบนี้ Skin Tone ดีขึ้นมีความอมชมพูมากกว่าเดิมเล็กน้อย
สิ่งที่รอบนี้รู้สึกว่าทำได้ดีขึ้นคือการเก็บรายละเอียดของวัตถุอื่น ๆ ในฉาก ที่เก็บมาได้คมขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะกล้องหน้ามี Auto Focus และไม่รู้ว่า Apple เปลี่ยนอัลกอริทึมของซอฟต์แวร์ด้วยหรือไม่ เลยทำให้ถ่ายออกมาดูดีกว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย ทั้งนี้แนะนำว่าถ้าอยากจบหลังกล้องไม่แต่ภาพเพิ่มควรถ่ายด้วยโหมด Portrait และใช้แสงแบบ Studio Light ที่จะช่วยทำให้หน้าของเราเนียนขึ้นอีกระดับ หรือจะปรับ Photographic Style แล้วดึงให้โทนภาพมีความอมชมพูขึ้นก็ได้เช่นกัน
งานวิดีโอระดับเทพ
งานวิดีโอของ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ก็ยังคงคุณภาพระดับเทพไว้ได้เหมือนเดิม ทั้งความคมชัด ความลื่นไหล เฟรมเรตที่สม่ำเสมอ สีเที่ยงตรงเหมือนตาเห็น Dynamic Range กว้าง ความสว่างที่พอเหมาะ และการกันสั่นที่ไว้ใจได้ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ iPhone กันสั่นได้ดีขนาดนี้ เพราะมีตัวช่วยกันสั่นทั้ง Sensor Shift และซอฟต์แวร์ที่พัฒนามาอย่างยาวนาน ไม่ต้องเปิดโหมดพิเศษช่วยก็ถ่ายออกมาได้ดูดีเพียงพอแล้ว
ไมโครโฟนแบบใหม่รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Audio Mix หรือการเลือกโฟกัสเสียงจากตำแหน่งต่าง ๆ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถปรับสมดุลเสียงระหว่างเสียงพูดและเสียง Ambient ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแม้ว่าจะให้จำนวนไมโครโฟนมาไม่เท่ารุ่น Pro แต่ก็ยังใช้ฟีเจอร์นี้ได้ โดยสามารถปรับได้ทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่
- Standard : เสียงผู้พูด และเสียงบรรยากาศจะมีระดับพอ ๆ กัน
- In-Frame : ลดเสียงบรรยากาศลงครึ่งหนึ่ง เน้นเสียงของผู้พูดในฉาก
- Studio : โหมดตัดเสียงรบกวนทั้งหมดออก เน้นเฉพาะผู้พูดเท่านั้น
- Cinematic : โหมดนี้จะเน้นที่เสียงผู้พูดแต่ยังคงเก็บเสียงบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเอาไว้ เป็นพื้นหลังคลอเบา ๆ เหมือนเสียงในภาพยนตร์
ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร ร้อนขนาดไหน
iPhone 16 และ iPhone 16 Plus มาพร้อมชิปประมวลผล Apple A18 รุ่นรองท็อปจาก A18 Pro ที่อยู่ใน iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max โดยรอบนี้อัปเกรดเพิ่มแรมเครื่องขึ้นมาเป็น 8GB เท่ากับรุ่น Pro เลย เพื่อให้สามารถใช้งาน Apple Intelligence ได้เต็มประสิทธิภาพ
ทำให้ประสิทธิภาพที่ได้มีความใกล้เคียงกัน แต่ก็ยังมีเรื่องที่ต่างกันหลายจุดอย่างการ์ดจอที่มีแกนประมวลผลน้อยกว่า A18 Pro มี 6 แกน ส่วน A18 มีแค่ 5 แกน และไม่มีชุดระบายความร้อนที่ถูกอัปเกรดมาให้ แต่ภาพรวมก็ยังเป็นชิปที่แรงอยู่ในกลุ่มหัวตารางของปี 2024 อยู่ดี
ทดสอบใช้งานจริงพบว่าการใช้งานทั่วไป เล่นโซเชียล ท่องเน็ต ดูหนัง ฟังเพลง จ่ายเงิน ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติเหมือน iPhone รุ่นที่ผ่าน ๆ มา ใช้งานทั่วไปเครื่องไม่ร้อนเลย ทำออกมาได้ดีงามเหมือน iPhone 15 และ iPhone 15 Plus เลย แต่ตอนเอากลับมาใส่กระเป๋ากางเกงก็อาจจะรู้สึกอุ่น ๆ บ้างเล็กน้อยแค่นั้น
เล่น ROV โคตรลื่น ไม่ต้องพึ่งพัดลมก็ได้
การเล่นเกมทำได้ในระดับที่น่าพอใจ ทดสอบเกมระดับกลางความหัวร้อนระดับสูงอย่าง ROV ก็ทำได้ดี ปรับภาพสูงสุดเฟรมเรตก็ยังเกาะ 60 FPS แม้จะเล่นไปเป็นชั่วโมงแล้วก็ตาม และไม่มีอาการ Buffer ภาพไม่ทัน หรือไม่มี FrameTime ดรอปให้เห็นเลย
เล่น ZZZ สบาย แต่ระวังหงายเงิบตอนเจอบอส
เมื่อทดสอบเล่นเกมที่กราฟิกสูงขึ้นมาอย่าง Zenless Zone Zero ก็พบว่ายังสามารถเล่นได้ลื่นไหลเหมือนเดิม แม้ว่าจะปรับกราฟิกสูงสุดก็ตาม เพิ่มเติมคือความร้อนเครื่องที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรู้สึกได้ ฉากเดินในเมืองอาจจะไม่รู้สึกอะไรมากมายนัก
แต่ฉากต่อสู้พบว่ามีอาการ FrameTime ดรอปให้เห็นบ้างเมื่อเล่นเป็นระยะเวลานาน ๆ แต่ยังเล่นได้ดีอยู่ตอนตีบอสโหด ๆ ก็ยังไม่ถึงกับลำบากเป็นหนังชีวิตมากนัก ยังผ่านคอนเทนต์ท้าทายยาก ๆ แบบจำกัดเวลาได้สบาย
Genshin สวรรค์แค่ 10 นาทีแรก ที่เหลือหนังชีวิต
สำหรับเกมปราบเซียนอย่าง Genshin Impact ก็บอกเลยว่าสามารถปรับกราฟิกสูงสุดได้สบาย และเล่นได้จริง แต่ก็จะมีอาการ Buffer ภาพไม่ทัน เวลาหันกล้องเร็วให้รู้สึกอยู่บ้าง ตามสไตล์ Genshin บนมือถือ เมื่อเล่นไปสักพักประมาณ 15 นาที จะพบว่ามีอาการกระตุกให้เห็น เนื่องจากความร้อนของตัวเครื่องที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ Performance ร่วงกระจาย
ถ้าเดินสำรวจแผนที่ ลงดันเจี้ยนฟาร์มหาของ ก็อาจจะไม่กระทบกับการเล่นเท่าไหร่ จะกระตุกก็กระตุกไป ยังไงก็เล่นผ่าน แต่ถ้าไปตีบอสประจำสัปดาห์ กับลงโหมดท้าทาย Spiral Abyss บอกเลยว่าหนังชีวิต เกมจะมีความยากขึ้นประมาณ 50% และมีอาการทัชหน้าจอไม่ติดบ้างมากวนใจ ทำให้เสียจังหวะได้
Wi-Fi 7 มาตรฐานใหม่ล่าสุด
iPhone 16 และ iPhone 16 Plus รอบนี้ได้อัปเกรดมาตรฐานการเชื่อมต่อ Wi-Fi ขึ้นเป็นเวอร์ชันล่าสุดอย่าง Wi-Fi 7 ด้วย ช่วยให้การเชื่อมต่อเร็วขึ้น และใช้งานได้คล่องตัวมากขึ้นเพราะมีการผสานการทำงานคลื่นความถี่หลายย่านเข้าด้วยกัน จากที่ใช้จริงไม่ได้รู้สึกต่างขนาดนั้น ถ้าใช้บนระบบ Wi-Fi เดิม คือต้องบอกว่าปัจจุบันมาตรฐาน Wi-Fi ที่หลาย ๆ บ้านใช้อยู่ก็น่าจะเป็น Wi-Fi 6
มีน้อยบ้านมาก ๆ ที่อัปเกรดเป็น Wi-Fi 6E หรือ Wi-Fi 7 เพราะอุปกรณ์มีราคาสูง แต่บ้านทีมงานอัปเกรดเป็น Wi-Fi 6E แล้ว เลยได้ลองทดสอบกับคลื่น 6 GHz พบว่าเน็ตแรงขึ้นจริง แต่จะเห็นผลก็ต่อเมื่อใช้แพ็กเกจเกิน 500 Mbps ต่อเดือนขึ้นไป สิ่งที่เป็นเรื่องกวนใจเวลาใช้คลื่น 6 GHz คือเรื่องที่สัญญาณนั้นหลุดบ่อย และไม่ค่อยเสถียร ไม่รู้ว่าเป็นที่ AP หรือเป็นที่เฟิร์มแวร์ของ iPhone กันแน่
Apple Intelligence ตอนรีวิวยังใช้ไม่ได้ (ข้ามไปก่อนแล้วกัน)
รอ Apple ปล่อยอัปเดตตัวเต็มแบบ Public
แบตเตอรี่อึด ใช้ได้นานตลอดวัน
จากที่ได้ทดสอบใช้งานมาแบบใช้งานจริงใส่ซิม 5G เปิดแสงแบบ Auto Brightness เล่นโซเชียล เล่นเกมแบบจริงจัง ถ่ายรูปบ้าง คือแทบไม่แตะมือถือเครื่องหลักเลย ยกเว้นตอนจ่ายเงิน ระยะเวลา Screen On ประมาณ 5 ชม. 33 นาที
พบว่า iPhone 16 มีแบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ ถ้าตีว่าใช้งานประมาณ 12 ชม. สามารถอยู่ได้ครบวันแน่นอน แต่ถ้าแบบไปเที่ยวต่อหลังเลิกงาน มีปาร์ตี้อะไรแบบนั้นลากยาวครบ 24 ชม. ก็แนะนำให้ชาร์จระหว่างวันด้วยหนึ่งครั้งจะช่วยให้ไปต่อได้ไม่ต้องกังวลมาก ส่วนใครที่เล่นโซเชียลเยอะ โทรเยอะ แบตก็อาจจะเหลือน้อยกว่านี้
ด้าน iPhone 16 Plus ก็ใช้งานคล้าย ๆ กับรุ่นที่แล้ว มีระยะเวลา Screen On ประมาณ 4 ชม. 41 นาที พบว่าแบตเตอรี่เหลือ 35 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าเพิ่มเวลา Screen On ให้พอ ๆ กับ iPhone 16 คิดว่าแบตน่าจะเหลือแถว ๆ 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งจัดว่าอึดใช้ได้เลย คืออึดกว่าอย่างชัดเจน ตามขนาดของแบตเตอรี่ที่เพิ่มมา
ถ้าให้สรุปสั้น ๆ แบต iPhone 16 อยู่ได้ครบวันแบบปริ่ม ๆ ส่วน iPhone 16 Plus แบตอยู่ครบวันแบบสบาย ๆ ไม่ต้องลุ้นเยอะ แบตอึดจริง ๆ ทั้งนี้ในการทดสอบมีการเล่นเกมกราฟิกสูงอยู่บ่อยครั้ง ในการใช้งานจริงอาจจะไม่ได้ใช้พลังการประมวลผล ใช้แบตเตอรี่ขนาดนั้น ยังไงก็อยู่ได้นานกว่านี้ และใช้งานได้เต็มวันอย่างแน่นอน
USB-C จริง แต่ความเร็วแค่ USB 2.0 เท่านั้น
สำหรับ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ก็คงได้พอร์ตชาร์จรุ่นเดิม USB 2.0 ความเร็ว 480 Mbps อยู่เช่นเคย ต่างกับรุ่น Pro ที่ได้ USB 3.2 ความเร็ว 10 Gbps ทำให้เวลาถ่ายโอนข้อมูลทำได้ช้ากว่ามาก ส่วนตัวมองว่าเป็นอะไรที่ไม่โอเคสำหรับปี 2024 ที่ขั้นต่ำควรจะเป็น USB 3.0 ความเร็ว 5 Gbps
ส่วนการชาร์จรองรับระบบชาร์จเร็วผ่าน USB PD แบบเดียวกับรุ่น Pro จากที่ทดสอบมาพบว่ากำลังไฟที่จ่ายให้ iPhone ได้สูงสุดยังคงเท่าเดิมที่ 30W ไม่ใช่ 45W ตามที่เป็นข่าวลือก่อนหน้านี้ ใช้เวลาชาร์จแบตจาก 0-100% อยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที ทั้ง iPhone 16 และ iPhone 16 Plus
เนื่องจากเมื่อชาร์จไฟเกิน 50% ตัวเครื่องจะปรับลดกำลังการจ่ายไฟลงเหลือประมาณ 10-12W เท่านั้น ไม่ได้วิ่งเต็มกำลัง 30W แบบตอนที่แบตเหลือน้อย ส่วนการชาร์จไร้สายรอบนี้มีการอัปเกรดให้รองรับกำลังไฟที่สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดยถ้าชาร์จผ่าน Magsafe จะชาร์จได้ที่ความเร็ว 25W เลยทีเดียว เดิม 15W แต่ต้องใช้กับที่ชาร์จ Magsafe รุ่นใหม่ด้วยนะ ถ้าใช้รุ่นเก่าก็วิ่ง 15W เท่าเดิม
สรุปการใช้งาน iPhone 16 และ iPhone 16 Plus
iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ถือเป็น iPhone ที่น่าซื้อที่สุดในปีนี้ ด้วยสเปคที่อัปเกรดมาพอสมควร ทั้งดีไซน์ใหม่ สีใหม่ที่รอบนี้ทำออกมาได้แสบสันจริง ๆ ชิปใหม่ A18 แรงน้อยกว่า A18 Pro ใน iPhone 16 Pro, iPhone 16 Pro Max อยู่เล็กน้อยเท่านั้น
เป็นการอัปเกรดที่ดูดีขึ้นกว่าตอน iPhone 15 มาก ๆ ทำให้รอบนี้ดึงยอดขายจากรุ่น Pro มาได้พอสมควร ลบคำปรามาสที่ว่ารุ่นธรรมดาก็เป็นได้แค่ตัวคั่นให้สาวกหนีไปซื้อรุ่น Pro แทน เป็น iPhone ที่สมบูรณ์แบบในระดับมาตรฐาน หากใครไม่ต้องการเสียเงินขยับไปรุ่น Pro โดยไม่จำเป็น เพื่อได้ฟีเจอร์ที่ไม่ได้ใช้งานเท่าไหร่มา iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ก็เป็นอะไรที่น่าใช้มาก ๆ
สิ่งที่เป็นข้อสังเกตรุ่นนี้ก็มีเหมือนกัน เพราะราคาเริ่มต้นที่ค่อนข้างสูง 29,990 บาท แต่ได้จอรีเฟชรเรตแค่ 60Hz แบบเดียวกับที่ใช้ใน iPhone รุ่นแรกปี 2007 ไม่เพิ่มให้สักที นี่ปี 2024 แล้วนะ ไม่มีกล้อง Telephoto แบบรุ่นพี่ และพอร์ต USB-C 2.0 ความเร็ว 480 Mbps ถ่ายโอนข้อมูลเยอะ ๆ ทีรอจนลืม ทำให้เป็นอะไรที่ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่กับเงิน 3 หมื่นบาทที่เสียไป แต่ถ้าเทียบกับ iPhone 16 Series ด้วยกันเอง รุ่นธรรมดาก็จัดว่าคุ้มค่ากว่ารุ่น Pro อยู่พอสมควร
รุ่นไหนดี iPhone 16 และ iPhone 16 Plus รุ่นธรรมดา ดีพอแล้วหรือยัง ต้องขยับไปรุ่น Pro ไหม
หนึ่งในคำถามที่หลายคนมักจะถามกันในทุกปี ว่าซื้อรุ่นไหนดี ถ้างบไม่ใช่ปัญหาขยับเพิ่มได้ แต่ว่าผมขอบอกแบบนี้แล้วกัน ลองตั้งคำถามตัวเองไว้ในใจ ถ้าที่ผ่านมาใช้รุ่นที่มีเลนส์ซูมอยู่ แล้วในหนึ่งปีใช้กี่ครั้ง ถ้าใช้น้อยกว่าเดือนละครั้ง รุ่นธรรมดาก็พอ หรือถ้าไม่เคยใช้เลย มาจากรุ่นธรรมดา แต่เผื่อไว้ เผื่อได้ใช้ ให้ลองนึกย้อนดูว่ามีจังหวะไหนบ้างที่แบบระยะกล้องธรรมดาถ่ายแล้วยังไม่ได้ ถ้าขยับเข้าไปใกล้อีกนิดน่าจะดี อยากซูมจังเลย ทำไมไม่มีน้า รุ่น Pro ก็น่าสนใจ
โหมดกล้องสุดล้ำได้ใช้หรือไม่ ถ้าคิดว่าได้ใช้ คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องรุ่น Pro ส่วนถ่ายภาพแค่โหมดธรรมดา ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ รุ่นธรรมดาก็เหลือเฟือแล้ว
หน้าจอขนาดที่ต่างกัน 0.2 นิ้ว ของรุ่นธรรมดากับรุ่น Pro จับจริงไม่รู้สึกต่างขนาดนั้น ที่ต่างมีแค่ขอบหน้าจอที่บางลง แบบบางจริง ๆแค่นั้น และหน้าจอ ProMotion 120 Hz ถ้าเคยใช้จอ 120 Hz มาก่อนจะแยกออกไม่ยาก ตอนเลื่อนหน้าแอปก็เห็นแล้ว แต่ถ้าไม่เคยใช้ บอกเลยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้สึกว่าจอ 60 Hz เดิมจะมีปัญหาอะไร ซึ่งโดยส่วนตัวรู้สึกว่าไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องนี้ เพราะใช้ไปเดี๋ยวก็ชิน แต่ถ้าไปลองเล่นที่หน้าร้านแล้วชอบจอ 120 Hz มากกว่า ก็จัดรุ่น Pro ได้เลย ส่วนถ้ารู้สึกว่าไม่ต่าง รุ่นธรรมดาก็เพียงพอแล้ว
ชิปเซ็ต A18 และ A18 Pro ที่สเปคต่างกันเล็กน้อย ใช้งานจริงไม่ได้ต่างกันเลย เพราะถ้าใช้งานทั่วไป ก็ไม่ได้ใช้พลังอันล้นเหลือของชิปทั้งสองตัวนี้อยู่แล้ว ส่วนถ้านำไปเล่นเกมจริงจัง เครื่องจะแรงต่างกันอยู่แค่ไม่กี่นาที เพราะเวลาที่เหลือจะเจอกับความร้อนที่ทำให้ชิปต้องปรับความเร็วลงมาในระดับใกล้เคียงกัน
วัสดุการจับถือ อันนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจ เพราะยังไงรุ่นแพงก็ย่อมใช้วัสดุที่ดีกว่า แพงกว่า หรูหรากว่าอยู่แล้ว แต่น้ำหนักก็มากกว่าแบบรู้สึกได้เลยนะ แนะนำว่าควรลองไปจับเครื่องจริงดูก่อนว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน
ราคา และการวางจำหน่าย
iPhone 16 และ 16 Plus วางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และมีด้วยกันทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ชมพู, เขียว, ฟ้า, ดำ และขาว วางจำหน่ายในราคา ดังนี้
iPhone 16
- 128GB : 29,900 บาท
- 256GB : 33,900 บาท
- 512GB : 41,900 บาท
iPhone 16 Plus
- 128GB : 34,900 บาท
- 256GB : 38,900 บาท
- 512GB : 46,900 บาท
สเปคเครื่อง
รุ่น | iPhone 16 | iPhone 16 Plus | |
ราคาเปิดตัว | เริ่มต้น 29,900 บาท | ราคาเริ่มต้น 34,900 บาท | |
จอภาพ | พาเนล | OLED สว่างต่ำสุด 1 นิต สูงสุด 2,000 นิต | |
ขนาด | 6.1 | 6.7 | |
ความละเอียด | 2556 x 1179 พิกเซล | 2796 x 1290 พิกเซล | |
ประสิทธิภาพ | ชิปเซ็ต | A18 Bionic | |
หน่วยความจำ (RAM) | 8GB | ||
ความจุ | 128GB / 256GB / 512GB | ||
ระบบปฏิบัติการ | iOS18 | ||
กล้อง | กล้องหลัก | กล้องหลัก Fusion Camera 48MP (f/1.6) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงเป็นพิเศษ (24MP และ 48MP) และรองรับถ่ายแบบ Tele 2 เท่า, กันสั่น Sensor-shift OIS | |
กล้องอัลตร้าไวด์ | 12MP (f/2.2) | ||
กล้องหน้า | 12MP | ||
เครือข่าย | เครือข่าย | 5G (sub‑6 GHz) | |
Wi-Fi | 7 | ||
Bluetooth | 5.3 | ||
NFC | รองรับ | ||
รุ่น Ultra Wideband | รุ่น 2 | ||
แบตเตอรี่ | ความจุ | การเล่นวิดีโอ สูงสุด 22 ชั่วโมง | การเล่นวิดีโอ สูงสุด 27 ชั่วโมง |
การชาร์จ | ชาร์จแบบไร้สายในแบบ MagSafe สูงสุด 25W, ชาร์จแบบไร้สายในแบบ Qi2 สูงสุด 15W และ ชาร์จแบบไร้สายในแบบ Qi สูงสุด 7.5W | ||
ตัวเครื่อง | วัสดุ | อะลูมิเนียม | |
มาตรฐานทนน้ำ | IP68 | ||
ขนาด / น้ำหนัก | 147.6 x 71.6 x 7.8 กรัม/ 173 กรัม | 160.9 x 77.8 x 7.8 มม./ 203 กรัม |
Comment