iPhone 16 series วางขายกันไปได้สักพักแล้ว ก็ต้องถึงตาที่เราต้องนำเครื่องมาทดสอบ แล้วก็รีวิวให้ทุกคนได้ชมกัน รอบนี้ iPhone 16 Pro series มีการอัปเกรดภายในหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการออกแบบภายในตัวเครื่องใหม่ ระบบระบายความร้อน หรือกล้องอัลตราไวด์ก็เพิ่มมาเป็น 48 ล้านพิกเซล แถมรุ่น 16 Pro กล้อง Telephoto ก็รองรับการซูมแบบ Optical ที่ 5x เหมือนกับ Pro Max แล้ว มาดูกันดีกว่าว่าน่าซื้อไหมนะ
หน้าจอขยายใหญ่ขึ้นเต็มตากว่าเดิม
iPhone 16 Pro มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.3 นิ้ว ซึ่งขยายใหญ่เพิ่มขึ้นมาจาก iPhone 15 Pro ที่มีหน้าจออยู่ที่ 6.1 นิ้วเท่านั้น ส่วน iPhone 16 Pro Max ก็มีการขยายหน้าจอเพิ่มขึ้นมาเป็น 6.9 นิ้ว จาก 6.7 นิ้ว จากเดิมที่ใหญ่เต็มตามากอยู่แล้ว ก็ใหญ่เต็มตามากกว่าเดิม
หลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า เอ๊ะ มันใหญ่ขึ้นขนาดไหนกันเชียวนะ ตอบได้เลยว่าถ้าเทียบกับ iPhone 15 Pro series ถือว่ามีความแตกต่างน้อยมาก ถ้าเราไม่เพ่งดี ๆ ก็แทบจะไม่รู้สึกว่ามันใหญ่ขึ้น ในรุ่นใหม่จอจะยาวกว่ารุ่นก่อนหน้านิดนึง อันนี้คือสิ่งที่พอจะสังเกตได้
แต่เราก็ไม่สามารถนำเคสของ iPhone 15 Pro series มาใส่ร่วมกับ iPhone 16 Pro series ได้นะ เพราะว่าตัวเคสจะติดกับปุ่ม Camera Control
แต่ถ้าใช้ iPhone 14 Pro ลงไป จะเริ่มรู้สึกว่าจอมันเต็มตาขึ้นนะเนี่ย เพราะตัวเครื่องไม่ได้แค่ขยายจอขึ้นมา แต่มีการลดขอบจอให้บางลงมากกว่าเดิม ถ้าเทียบกับ iPhone 15 Pro series จะแยกไม่ค่อยออกนะ แต่จะเห็นได้ค่อนข้างชัดเมื่อเทียบกับ iPhone 14 Pro หรือ iPhone 13 Pro ที่ขอบจอยังมีความหนาอยู่
ขอบจอสุดบาง จอใหญ่ขึ้น แต่ก็มีปัญหาเหมือนกันนะ
ขอบจอบางลง ทำให้ได้พื้นที่จอใหญ่มากกว่าเดิม แถมยังมีความสวยงามเพิ่มขึ้นด้วย นี่ก็ถือว่าเป็นข้อดี แต่ก็แลกมากับปัญหาบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้มีแว่ว ๆ มาว่า ขอบจอของ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max นั้นมีความบางมาก ทำให้ระยะของแป้นพิมพ์ของตัวเครื่อง ชิดขอบกับตัวเครื่องมากเกินไป จนทำให้มีอาการแป้นพิมพ์ลั่นบ้างในบางครั้ง
และอีกปัญหาหนึ่งที่ทางเราเจอมากับตัว นั่นก็คือ ติดฟิล์มยากจังเลยแฮะ ปัญหานี้จะเจอกันแบบชัด ๆ ในกรณีที่เราไปติดฟิล์มที่มีขอบสีดำนะ ด้วยความที่ขอบจอมีความบางมาก ทำให้การติดฟิล์มด้วยมือเปล่านั้นทำได้ยากมาก เพราะเราต้องทำการเล็งขอบสีดำของฟิล์มให้ตรงกับขอบจอของ iPhone 16 Pro ที่มีอยู่น้อยนิด ถ้าเล็งพลาดไปแม้แต่นิดเดียว ก็จะเห็นได้แบบชัดเจนเลยว่า ติดฟิล์มเบี้ยวนะ
เราสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการไปติดฟิล์มที่หน้าร้านดีกว่า ให้พี่ ๆ ที่เขามีความเชี่ยวชาญติดให้ หรือถ้าอยากสั่งมาติดเอง สมัยนี้ก็มีฟิล์มหลายยี่ห้อที่แถมเครื่องมือช่วยติดมาให้ ก็สามารถลองไปหามาติดกันได้
จอสเปคเดิม แต่แอบปรับเล็ก ๆ น้อย
ในรอบนี้ iPhone 16 Pro ยังมาพร้อมกับสเปคจอเหมือนเดิมนะ ใช้จอพาเนล LTPO Super Retina XDR OLED ความละเอียด 1206 x 2622 พิกเซล ความหนาแน่น 460 ppi รองรับอัตรารีเฟรชที่สามารถปรับได้ตั้งแต่ 1-120Hz และรองรับ HDR10 และ Dolby Vision เหมือนเดิม
เหมือนยันความสว่างหน้าจอที่ตอนแรกคิดว่าจะเพิ่มมาให้ก็ไม่เพิ่มมา แต่ต้องบอกว่ารุ่นเดิมก็ทำความสว่างหน้าจอออกมาได้ดีสมกับเป็นเรือธงอยู่แล้ว ในการใช้งานจริงก็สามารถสู้แสงแดดของประเทศไทยได้ดีเยี่ยม และแน่นอนว่าเรื่องของสีสันของจอก็ยังคงอยู่ในระดับท็อป ๆ ของตลาดมือถือ
แต่มีส่วนที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก็คือในปีนี้ iPhone 16 Pro สามารถปรับความสว่างต่ำสุดของหน้าจอได้ที่ 1 นิต ทำให้เราสามารถหรี่แสงหน้าจอให้น้อยลงได้มากกว่าเดิม เวลาใช้งานในที่มืด เช่น ตอนที่เราใช้งานโทรศัพท์ก่อนนอนก็จะไม่แสบตาเท่ากับเล่นบน iPhone รุ่นเก่า ๆ ซึ่งก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น (ถึงแม้ว่าการใช้งานแบบทั่วไปจะไม่ต่างจากเดิมก็เถอะ)
อีกหนึ่งอย่างที่เปลี่ยนไป ทาง Apple ระบุไว้ว่ารอบนี้มีการอัปเกรดเรื่องของความแข็งแรงหน้าจอ มีการอัปเกรด Ceramic Shield เป็นเวอร์ชันที่ 2 แล้ว ทาง Apple เคลมไว้ว่าแข็งแรงแบบสุด ๆ แข็งแรงกว่ามือถือทั่วไปถึง 2 เท่าเลยนะ แต่ทางเราไม่ได้ Drop test ความแข็งแกร่ง ถ้าใครอยากรู้ว่าแกร่งแค่ไหน ไปดูที่ช่องพี่ JerryRongEverything ได้
การออกแบบตัวเครื่องสวยเหมือนเดิม
การออกแบบของ iPhone 16 Pro รอบนี้ไม่ได้ต่างไปจากเดิมมาก ใช้คำว่าเหมือนเดิมก็สามารถใช้ได้เลยแหละ แน่นอนว่าวัสดุของตัวเครื่องจับแล้วให้ความรู้สึกพรีเมี่ยม ทั้งตัวกระจกด้านหลังแบบด้านที่สัมผัสแล้วให้ความรู้สึกดีสุด ๆ หรือแม้แต่ขอบเครื่องก็มีความเงาวิบวับเล่นกับแสงดีมาก แต่ด้วยวัสดุที่มีความเงาเนี่ยแหละ ทำให้เกิดรอยนิ้วมือได้ง่ายมาก โดยเฉพาะขอบของตัวเครื่อง (ตอนถ่ายภาพรีวิวเช็ดจนตาเกือบหลุด) แต่ปัญหานี้ก็จะหมดไปถ้าเราใส่เคส
ส่วนปุ่มต่าง ๆ ของตัวเครื่อง ด้านซ้ายจะมีปุ่ม Action Button, ปุ่มปรับระดับเสียง ตามมาด้วยช่องใส่ซิมแบบ nano-SIM ส่วนด้านขวาตังเครื่องจะมีปุ่มเปิดปิดตัวเครื่องและ ปุ่มใหม่อย่าง Camera Button ที่ทาง Apple มีการครอบทับด้วยกระจกแซปไฟร์ทำปุ่มนี้ให้แตกต่างจากปุ่มอื่น ๆ เพื่อให้แยกออกว่า คือ Camera Control
การออกแบบโดยรวมแล้ว เหมือนเดิมมาก ๆ ปุ่มทุกปุ่ม เสาอากาศ ถูกวางไว้ตำแหน่งเดิมทุกอย่าง รวมถึงโมดูลกล้องที่ปกติแล้ว จะขยายใหญ่ขึ้นตามชิ้นเลนส์กล้อง แต่รอบนี้ขนาดยังคงเท่าเดิม ถึงแม้ว่าการออกแบบโดยรวมจะมีความคล้ายเดิม
ส่วนเรื่องน้ำหนักตัวเครื่องรอบนี้จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดย iPhone 16 Pro จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 199 กรัม ส่วน iPhone 16 Pro Max จะมีน้ำหนักอยู่ที่ 227 กรัม แน่นอนว่าถ้านำเคสมาใส่ร่วมด้วย น้ำหนักก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก สำหรับคนที่ใช้รุ่น 16 Pro Max ก็ต้องทำใจเรื่องน้ำหนักไว้หน่อย เพราะช่วงที่นำมาใช้งานก็แอบเมื่อยแขนอยู่ไม่เบา
Camera Control ปุ่มที่ดูงงที่สุดใน iPhone ทุก ๆ รุ่น
Camera Control ที่ทาง Apple ไม่ยอมเรียกว่าปุ่ม
ในช่วงแรกที่เปิดตัวออกมา เข้าใจว่าปุ่มนี้น่าจะเป็นปุ่มแบบ Capacitive ที่กดลงไปแล้วปุ่มจะไม่ยุบ แต่ Camera Control มันคือปุ่มจริง ๆ นะทุกคน ปุ่มที่กดลงไปแล้วยุบ ปุ่มที่กดลงไปแล้วสามารถพังได้ (แล้วค่าซ่อมก็แพงด้วย) แต่ปุ่มนี้มีความพิเศษมากกว่าปุ่มอื่น ๆ ตรงที่ มีการฝัง Haptic ไว้ข้างในตัวปุ่มด้วย ทำให้เวลาที่เรากด ตัวปุ่มก็จะมีการสั่นกลับมา (ซึ่งเป็นการสั่นที่ฟีลผู้ดีมาก สั่นเบา ๆ แบบแพง ๆ)
วิธีควบคุม Camera Control
- กด 1 ครั้งแบบหนัก เพื่อเข้ากล้องแบบด่วน
- กด 1 ครั้งแบบหนัก เพื่อถ่ายภาพ
- กด 1 ครั้งแบบหนักค้างไว้ เพื่อถ่ายวิดีโอ
- กด 2 ครั้งแบบเบา เพื่อเปลี่ยนโหมด
- เลื่อนซ้ายขวาเพื่อปรับคำสั่งในแต่ละโหมด
สามารถทำอะไรได้บ้าง
- การซูม
- การปรับแสง
- การปรับค่ารูรับแสง
- การปรับรูปแบบภาพ
และในอนาคตจะรองรับการกดครึ่งนึง เพื่อโฟกัส (Apple ยังไม่บอกว่าตอนไหน) และจะรองรับการทำงานบนแอปพลิเคชันกล้องอื่น ๆ ในอนาคตเช่นกัน ตอนนี้เหมือนจะมีแค่ Instagram ที่สามารถปรับคำสั่งให้เป็นทางลัดเข้ากล้องแบบด่วนได้ ก็ต้องมารอดูว่าในอนาคตจะมีแอปพลิเคชั่นกล้องจากผู้พัฒนาไหนบ้างที่รองรับ ส่วนแอปกล้องของ Apple เองตอนนี้จะมี ตัวสแกนโค้ด, แว่นขยาย และสามารถเลือก ปิด ไปเลย ก็ทำได้เหมือนกัน
ช่วยให้ถ่ายภาพได้ง่ายขึ้นจริงไหม
ต้องแยกเป็นทีละประเด็น ในกรณีที่เราใช้ Camera Control เพื่อเข้าถึงตัวกล้อง และทำการกดถ่ายภาพทันที ต้องบอกว่าสามารถทำได้รวดเร็วจริง และสามารถใช้งานได้จริงในหลายสถานการณ์ เช่น เดิน ๆ อยู่แล้วเจอสิ่งที่น่าสนใจ เราก็สามารถยก iPhone ขึ้นมาแล้วกด 2 ครั้ง กล้องก็จะถ่ายภาพทันที ซึ่งเราก็เอาไปปรับใช้ในสถานการณ์อื่น ๆ ได้อีกเยอะ
แต่ในกรณีที่เราใช้ปุ่ม เพื่อใช้คำสั่งกล้อง เปลี่ยนโหมดไปมา, ปรับค่ารูรับแสง อันนี้ทำได้ยากมาก สำหรับใครที่จับครั้งแรก ๆ แน่นอนว่าต้องทำการเรียนรู้ระยะกดหนัก กดเบา พอเริ่มกะน้ำหนักได้แล้ว ก็ต้องมาเรียนรู้ตำแหน่งของปุ่มอีก ซึ่งกว่าจะได้ถ่ายภาพก็อาจจะใช้เวลามากกว่าการถ่ายภาพบนหน้าจอแบบปกติ และในกรณีที่เราใส่เคสหนา ๆ ก็จะทวีคูณความยากในการใช้งานมากขึ้นไปอีก
และถ้าหากว่า ตัดสินใจเลือกซื้อ iPhone 16 Pro Max ที่มีขนาดตัวเครื่องใหญ่แบบสุด ๆ ก็จะทำให้การใช้งาน Camera Control ใช้งานยากจนไม่อยากใช้ไปเลยแหละ
และไม่ต้องพูดถึงการใช้งาน Camera Control ในกล้องแนวตั้ง บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้ ยังไม่ชินกับการใช้ปุ่มนี้สักเท่าไหร่ เพราะถ้าถือมือถือด้านซ้าย นิ้วมือที่อยู่ใกล้ปุ่ม Camera Control นั่นก็ คือ นิ้วนาง ซึ่งถ้าจะให้กดถ่ายภาพผ่านนิ้วนี้ ก็อาจจะดูลำบากนิดนึง หรือถ้าถือมือถือด้านขวา ก็ต้องยืดนิ้วโป้งมากดปุ่มที่ว่านี้ ซึ่งก็ดูไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควร คือ กดถ่ายในหน้าจอง่ายกว่าเยอะ
ปุ่มลั่นไหมนะ ?
สำหรับคนที่เล่นเกมแบบเมามันส์อยู่ แล้วมือเผลอไปโดน Camera Control ก็ไม่ต้องห่วงไป เพราะพี่ Apple เค้าคิดมาเผื่อแล้ว ทำให้ตอนเล่นเกม ไม่ว่าเราเผลอกด หรือพยายามกด กล้องก็จะไม่ถูกเปิดขึ้นมาขณะที่เราเล่นเกมแน่นอน หรือถ้ายังกลัวปุ่มลั่นอีกละก็ ทาง Apple ก็มีตัวเลือกให้เราสามารถตั้งค่าให้เป็น กด 2 ครั้งเพื่อเปิดใช้งาน หรือ ปิด ปุ่มนี้ไปเลยก็ได้เหมือนกัน
สีไฮไลต์ Desert Titanium หรือ สีทะเลทรายธรรมชาติ
สีไฮต์ไลท์ของ iPhone 16 Pro series รอบนี้ทาง Apple จัดสี Desert Titanium มาให้เป็นสีหลักของซีรีส์ ซึ่งถ้าให้พูดกันจริง ๆ สีที่ว่านี้ก็คือ สีทองนั่นแหละ แถมยังเป็นสีทองเฉดเดียวกันกับที่ใช้ใน iPhone XS ด้วย สีของ iPhone 16 Pro รอบนี้จึงไม่ใช่เฉดสีใหม่อะไร แต่เป็นเฉดสีเดิมที่ใช้ในรุ่นเก่า ๆ แต่เอากลับมาพัฒนาใหม่ให้สวยงามมากกว่าเดิม (รึป่าวนะ)
สิ่งที่น่าสังเกตคือ เมื่อใช้งานสี iPhone 16 Pro สี Desert Titanium ในที่กลางแจ้ง จะสังเกตเห็นได้ว่า สีด้านหลังของตัวเครื่องจะมีความจางลงมากกว่าปกติ ทำให้สีทองของขอบเครื่องมีความเด่นมากกว่า เรื่องสีนี่เป็นปัจเจกมาก ๆ แต่เอาเป็นว่าโดยรวมแล้วก็ยังดูแพง และพรีเมี่ยมเหมือนเดิมนั่นแหละ
กล้องชานมไข่มุกรุ่นที่ 5
ในด้านดีไซน์ของตัวกล้องยังคงใช้เป็นกล้องชานมไข่มุกเหมือนเดิม หรือ กล้องเตาแก๊ส ก็แล้วแต่จะเรียกกันไป หลายคนคงจำการออกแบบนี้ได้แบบที่ไม่ต้องอธิบายเยอะ ก็สามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจน เพราะทาง Apple เลือกใช้ดีไซน์กล้องลักษณะนี้มาตั้งแต่ iPhone 11 Pro แล้ว ถ้าให้นับจริง ๆ ก็ 5 รุ่นแล้วนะ Apple …..
ถึงแม้จะยังใช้ดีไซน์กล้องแบบเดิม แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การออกแบบนี้เป็นการออกแบบหนึ่งที่ค่อนข้างลงตัว การวางตำแหน่งกล้องทั้ง 3 ตัว, แฟลช, หรือแม้แต่ LiDAR Sensor ก็ถูกวางตำแหน่งที่คิดออกมา แล้วว่าต้องวางตรงไหน ถึงจะมีความสมมาตรกับตัวเครื่องมากที่สุด ทำให้การออกแบบของ iPhone 16 Pro series รอบนี้ก็ถือว่ายังเป็นมือถือที่สวยงามอีกหนึ่งรุ่น
กล้องดีขึ้นจริงหรือนี่
iPhone 16 Pro series ยังมาพร้อมกับกล้องหลักความละเอียด 48MP เหมือนเดิม จากที่นำไปใช้งานมา คุณภาพของกล้องหลักโดยรวมแล้ว เรื่องของความคมชัดไม่ได้ต่างจากเดิมมาก แต่ในเรื่องของสีสันจะมีการปรับให้มีความสดใสมากกว่ารุ่นก่อน รวมถึงสกินโทนก็มีการปรับให้เหลืองน้อยลง สามารถถ่ายภาพออกมาแล้วสีตรงกับที่เราเห็นมากขึ้น แต่ถ้าเอา iPhone 15 Pro รุ่นก่อนมาวางข้างกัน บอกตรง ๆ คุณภาพ และสีสันแทบจะไม่ต่างกันเลย แยกออกค่อนข้างยาก ถ้าไม่ถ่างนิ้วดู
ตัวอย่างภาพ
กล้อง Ultrawide ความละเอียดเพิ่มขึ้นเป็น 48MP
ในรอบนี้ iPhone 16 Pro series มีการอัปเกรดความละเอียดกล้อง Ultrawide เพิ่มขึ้นมาเป็น 48MP ทำให้เราสามารถถ่ายภาพมุมกว้างที่มีความละเอียดมากกว่าเดิม ภาพจะมีความคมชัดมากขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีมากกว่าเดิม รวมถึงสามารถถ่ายภาพมาโครได้ดียิ่งขึ้น
ตัวอย่างภาพ
ทางเราได้มีการนำไปถ่ายภาพเทียบกับ iPhone 15 Pro ในระยะ 0.5 มม. ผลของการทดสอบคือ iPhone 16 สามารถเก็บรายละเอียดของภาพโดยรวมได้ดีกว่า และมีความสว่างมากกว่าเดิมด้วย สังเกตได้จากโมเดลมือด้านซ้ายที่ถ่ายจาก iPhone 16 Pro Max มีความสว่างมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และสีสันของภาพจาก iPhone 16 Pro Max ก็มีความเป็นธรรมชาติมากกว่า สังเกตได้จากสีของโต๊ะ
iPhone 16 Pro ถ่ายเทเล 5x ได้แล้วนะ
กล้อง Telephoto รอบนี้ยังคงมาพร้อมกับความละเอียด 12MP เท่าเดิม แต่อาจจะมีความพิเศษหน่อย ตรงที่ในรุ่น iPhone 16 Pro รอบนี้สามารถซูมแบบ Optical ได้ระยะ 5x เท่ากับ iPhone 16 Pro Max แล้ว ทำให้ความสามารถการซูมดีขึ้นมากกว่า iPhone 15 Pro อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงคุณภาพของภาพเวลาซูมก็จะมีความละเอียดมากขึ้นเช่นกัน เท่ากับว่าความสามารถการถ่ายภาพ iPhone 16 Pro รอบนี้เท่ากันกับ iPhone 16 Pro Max ไม่กั๊กเหมือนปีที่แล้ว
ทั้งนี้ สำหรับสายซูมต้องบอกไว้ว่า iPhone 16 Pro series อาจจะยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ กล้อง Telephoto รอบนี้ยังรองรับการซูมแบบ Digital ได้สูงสุดที่ 25x เท่านั้น และถ้าซูมจนถึงตัวเลขนี้ แน่นอนว่าคุณภาพของภาพก็จะเละจนไม่สามารถใช้งานต่อได้ ถ้าอยากนำภาพไปใช้งานแบบจริงจัง แนะนำว่าควรซูมในระยะที่ Apple ใส่มาให้อย่างระยะ 2x และ 5x ถึงจะได้ภาพที่มีคุณภาพ แต่ถ้านำไปซูมในตอนกลางคืนคุณภาพก็จะลดลงตามระยะ โดยเฉพาะภาพถ่ายในระยะ 5x ความละเอียดจะถูกลดลงมา และจะมี Noise ให้เห็นค่อนข้างเยอะ
แสงแฟลร์ ยังอยู่ไม่ไปไหน
อีกหนึ่งปัญหาหลักของกล้อง iPhone ที่อยู่ในทุกยุคทุกสมัย ก็คือ แสงแฟลร์ หรือ แสงโกสต์ ซึ่งปัญหานี้จะเกิดขึ้นเวลาที่เราหันกล้อง iPhone ไปที่จุดกำเนิดแสงโดยตรง จะทำให้เกิดแสงสะท้อนเข้ามาในภาพด้วย และสำหรับคนไหนที่คาดหวังว่า iPhone 16 Pro จะมีการแก้ปัญหานี้ ก็อาจจะต้องผิดหวังนะ เพราะรอบนี้ iPhone 16 Pro series เวลาถ่ายภาพก็ยังคงติดแสงแฟลร์เหมือนเดิม
กล้องหน้าดีขึ้นจนอยากกราบ
ผู้ใช้งาน iPhone ส่วนใหญ่แล้ว จะไม่ค่อยได้ใช้แอปกล้องหน้าที่ติดมากับตัวเครื่องซักเท่าไหร่ เพราะถ่ายกล้องหน้าจาก iPhone แล้วเหนื่อยใจมาก ค่าเครื่องแต่งหน้าก็แพง แต่ถ่ายออกมาแล้วเหลือชุดละยี่สิบ แถมหน้ายังดูอมทุกข์ มืดมนสุดเกินจะบรรยาย
ทางเราขอปรบมือให้ iPhone 16 Pro series ที่รอบนี้มีการปรับปรุงกล้องหน้าให้ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของสีผิว ที่ไม่อมเหลืองเหมือนเดิมแล้ว และสีสันโดยรวมก็สดใสยิ่งขึ้น ไม่อมทุกข์ ไม่อมมืดเหมือนรุ่นก่อน ๆ แต่ก็ยังคงมีการดึงรายละเอียดต่าง ๆ บนใบหน้าออกมาให้เห็นอยู่บ้างนะ และถึงแม้ว่าความละเอียดกล้องจะอยู่ที่ 12MP เท่าเดิม แต่เชื่อเถอะ ว่ากล้องหน้ามันดีกว่ารุ่นก่อนเยอะมาก
Photographic Style ใช้ดี ๆ เป็นโหมดบิวตี้ได้เลยนะ
Photographic Style รอบนี้มีการเพิ่มรูปแบบให้ใช้งานได้หลากหลายมากกว่าเดิม และสามารถปรับแต่งได้ละเอียดมากขึ้น ซึ่งทำให้เราสามารถนำไปดึงสีให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้การถ่ายภาพหนึ่งภาพใน iPhone 16 Pro เมื่อนำมาปรับแต่งใน Photographic Style เราก็จะได้ภาพที่มีอารมณ์ที่แตกต่างกัน และที่สำคัญคือ ปรับแล้วไม่เละ สามารถนำไปใช้ได้จริง
และถ้านำมาปรับดี ๆ เราสามารถดึงสีผิวให้ดูเป็นสาวสุขภาพดีได้ด้วยนะ เช่น นำมาปรับแต่งในรูปแบบกุหลาบเย็น ผิวจะมีความอมชมพูขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หรือถ้าอยากให้ผิวมีความผ่องใส เหมือนมีแสงออกมาจากตัว เราแนะนำให้ปรับเป็นรูปแบบเงียบสงบ หรือถ้าอยากได้ภาพอารมณ์อื่น ๆ ก็สามารถปรับได้เช่นกัน
ซึ่งของดีขนาดนี้ แน่นอนว่า Apple กั๊กไว้ให้ใช้แค่ใน iPhone 16 series เท่านั้น รุ่นเก่ากว่านี้ใช้ไม่ได้ ทางเราได้มีการทดสอบนำภาพที่ถ่ายบน iPhone 15 Pro ส่งมาปรับ Photographic Style บน iPhone 16 Pro ผลคือ ทำไม่ได้ เหมือนทาง Apple จะล็อกเอาไว้ คือ มันต้องขนาดนี้เลยหรอ…
วิดีโอ 4K 120fps ไม่ได้ใช้หรอกนะ แต่มีไว้ก็อุ่นใจดี
iPhone 16 Pro series มีการเพิ่มความสามารถการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 120fps ทำให้เราสามารถถ่ายวิดีโอสโลว์โมชัน ด้วยความละเอียดที่ดีมากกว่าเดิม จากในรุ่นเดิมสามารถทำความละเอียดได้แค่ HD 240fps เท่านั้น ทำให้การถ่ายวิดีโอแบบสโลโมชันรอบนี้สามารถทำออกมาได้ดีมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
จากเฟรมที่สามารถบันทึกได้ในระดับ 120fps ทำให้เราสามารถยืดช่วงเวลาสโลว์โมชันได้ละเอียดมากขึ้น รวมถึงความละเอียดของวิดีโอก็จะไม่ถูกลดทอน ทำให้เราเห็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเฟรมได้ดีมากขึ้นกว่าเดิมด้วย ความสามารถในการบันทึกวิดีโอ 4K 120fps ถือว่าเจ๋งพอสมควร แต่ในการใช้งานจริงแล้ว เราค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ใช้ทั่วไปอาจมีโอกาสใช้ฟีเจอร์นี้น้อยมาก แต่มีเอาไว้ใช้ก็อุ่นใจดีเหมือนกัน
Audio Mix
รอบนี้ iPhone 16 Pro series มีการอัปเกรดในเรื่องของไมโครโฟน ซึ่งให้มาถึง 4 ตัว รอบตัวเครื่อง ทาง Apple เคลมไว้ว่า สามารถลดเสียงรบกวนในหลาย ๆ สถานการณ์ รวมถึงลดเสียงลมเวลาใช้งานไมโครโฟน และนอกจากอัปเกรดเรื่องของไมโครโฟนมาให้แล้ว ยังมีฟีเจอร์ Audio Mix (การผสมเสียง) ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถปรับเสียงพูดได้ถึง 4 แบบ ได้แก่
- Standard : เสียงผู้พูด และเสียงบรรยากาศจะมีระดับพอ ๆ กัน
- In-Frame : ลดเสียงบรรยากาศลงครึ่งหนึ่ง เน้นเสียงของผู้พูดในฉาก
- Studio : โหมดตัดเสียงรบกวนทั้งหมดออก เน้นเฉพาะผู้พูดเท่านั้น
- Cinematic : โหมดนี้จะเน้นที่เสียงผู้พูดแต่ยังคงเก็บเสียงบรรยากาศรอบ ๆ ตัวเอาไว้ เป็นพื้นหลังคลอเบา ๆ เหมือนเสียงในภาพยนตร์
ในการใช้งานจริง ผลคือ ทำออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะเสียงพูดแบบสตูดิโอ ที่สาย vlog น่าจะถูกใจกันเป็นพิเศษ ตัวฟีเจอร์สามารถตัดเสียงรบกวนออกไปได้ตามที่บอกไว้ และคุณภาพก็ไม่ได้ไก่กาด้วย อันนี้ต้องยกนิ้วให้
ลำโพงยังอยู่ในระดับท็อป โดยเฉพาะรุ่น Pro Max
ไหน ๆ ก็พูดเรื่องเสียงกันไปแล้ว ก็พูดเรื่องลำโพงต่อเลยแล้วกัน iPhone 16 Pro series รอบนี้ยังทำเรื่องของลำโพงออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เสียงมีความดังระดับที่ดีมาก และรายละเอียดของเสียงก็ทำออกมาได้ดีเช่นกัน แต่ในรุ่น Pro Max จะทำเรื่องของเสียงออกมาได้ดังกว่า และมีมิติมากกว่า แต่บอกเลยว่าลำโพงของทั้ง 2 รุ่นนี้ ก็ยังคงอยู่ในระดับท็อป ๆ ของมือถือในปัจจุบันนี้
ชิปเซต
iPhone 16 Pro series มาพร้อมกับชิป Apple A18 Pro ประกอบด้วย CPU แบบ 6 คอร์ มีความเร็วเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับ iPhone 15 Pro และ GPU แบบ 6 คอร์ ความเร็วเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ iPhone 15 Pro Max ซึ่งในการใช้งานจริงแล้ว บอกเลยว่าแทบจะไม่รู้สึกว่าเร็วมากขึ้น หรือลื่นมากขึ้นแบบมีนัยยะสำคัญ เพราะรุ่นเดิมนั้นก็สามารถทำออกมาได้ดีมาก ๆ อยู่แล้ว การใช้งานทั่วไปการเล่นโซเชียลต่าง ๆ ก็สามารถทำออกมาได้ดี ไม่มีที่ติ ใช้ได้ไปอีกหลายปีเลย
ส่วนด้านคะแนนผลการทดสอบ Geekbench ในด้านของ iPhone 16 Pro Max ทำคะแนน Single-Core และ Multi-Core ได้ที่ 3345 และ 8118 ตามลำดับ ส่วน iPhone 16 Pro ทำคะแนน Single-Core และ Multi-Core ได้ที่ 3370 และ 8250 ตามลำดับ ซึ่งคะแนนระดับนี้ก็ถือว่าเป็นคะแนนการทดสอบระดับต้น ๆ ของมือถือระดับเรือธง การันตีความแรงไปได้อีกระดับนึง
การเล่นเกม
การทดสอบเล่นเกม ROV
สำหรับการทดสอบเล่นเกม ROV นั้น แน่นอนว่าสามารถปรับกราฟิกได้แบบจัดเต็ม ปรับสุดทุกอย่าง พอเข้าไปในเกมแล้ว เฟรมเรทของเกมจะวิ่งอยู่ราว ๆ 109 – 120fps ซึ่งถือว่าทำได้อยู่ในระดับดีมาก ๆ เลยทีเดียว สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลแบบไม่มีที่ติ ทั้งในช่วงที่ตัวละครอัดสกิลใส่กันเยอะ ๆ เอฟเฟ็กต์ตัวละครแต่ละตัวจะพุ่งกระจุยกระจาย ก็ยังสามารถเล่นได้แบบสบาย ๆ ส่วนความร้อนตัวเครื่อง ถือว่าจัดการได้ดีว่าเดิมมาก ๆ ถึงแม้ว่าจะยังมีความร้อนอยู่ แต่ก็ยังสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่มีเฟรมเรทร่วงให้เห็นแม้แต่น้อย
การทดสอบเล่นเกม PUBG MOBLIE
สำหรับการทดสอบเล่นเกม PUBG MOBLIE สามารถปรับได้สูงสุดระดับ Ultra HDR และเฟรมเรทที่ Ultra และในกรณีที่ปรับกราฟิกเป็นลื่นไหล สามารถปรับเฟรมเรทได้สูงสุดระดับ Ultra Extreme แน่นอนว่าเกมระดับนี้สามารถเล่นได้แบบสบาย ๆ แทบจะไม่มีที่ติ ส่วนเรื่องความร้อนของเกม เครื่องก็สามารถจัดการได้อยู่ในระดับที่ดีเยี่ยม แทบจะไม่ร้อนเลย
การทดสอบเล่นเกม Genshin Impact
สำหรับการทดสอบเกมกินสเปคอย่าง Genshin Impact ทางเราก็ทดสอบด้วยการปรับกราฟิกแบบจัดเต็มทุกอย่าง ซึ่งในช่วงระยะ 10 -15 นาทีแรก ตัวเครื่องสามารถเล่นได้อย่างไม่มีที่ติ แต่พอหลังจากนั้นตัวเครื่องจะเริ่มร้อนจนมีอาการทัชหน้าจอไม่ติดบ้าง และเริ่มมีเฟรมเรทร่วง ถ้าอยากจะเล่นเราน่าจะต้องปรับกราฟิกให้ต่ำลงมากกว่านี้นิดนึง ส่วนเรื่องระบบระบายความร้อน ในบรรดาเกมทั้ง 3 เกมที่ทดสอบมา เกมนี้ถือว่าร้อนที่สุด แต่ตัวเครื่องก็สามารถระบายความร้อนออกไปได้ค่อนข้างเร็วเช่นกัน
ระบบระบายความร้อนใหม่
หนึ่งสิ่งที่ทาง Apple จัดมาให้ ก็คือการเพิ่มระบบระบายความร้อนแบบกราฟีน และปรับเปลี่ยนการออกแบบภายในตัวเครื่องใหม่ ทำให้การใช้งานโดยรวมแล้ว ความร้อนของตัวเครื่องลดลงจากรุ่นที่แล้วแบบสัมผัสได้ แต่ก็ยังมีความร้อนอยู่บ้าง แต่ตัวเครื่องสามารถระบายความร้อนออกไปได้ค่อนข้างเร็ว จากการทดลองใช้ตัวเครื่องในกลางแจ้ง ด้วยความสว่างจอ 100% ตัวเครื่องถือว่ายังมีความร้อนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ร้อนถึงกับแอปเด้ง ใช้งานมือถือต่อไม่ได้
ในการทดสอบ Drain Battery เรามีการใช้ iPhone 16 Pro Max ถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 120fps ด้วยความสว่างจอสูงสุด เป็นเวลาต่อกันถึง 2 ชั่วโมง ผลที่ได้คือ เครื่องมีความร้อนระดับนึง แต่ตัวแอปกล้องถ่ายภาพยังสามารถใช้งานได้แบบปกติ แอปไม่เด้ง
Apple Intelligence
ยังใช้ไม่นะฮะทุกคน ไว้ทาง Apple อัปเดตแพตช์เป็นทางการ เราจะมาเพิ่มให้นะ
แบตเตอรี่
ในการทดสอบแบตเตอรี่ของ iPhone 16 Pro ทาง Droidsans นำไปทดสอบแบตเตอรี่แบบสุดโหด ใช้งานตั้งแต่ 08:00 – 17:30 น. ตั้งค่าหน้าจอเป็นปรับอัตโนมัติ ใช้งานเครือข่าย 4G, ถ่ายวิดีโอความละเอียด FHD 30fps เป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง, ถ่ายภาพ 20 นาที, เปิดฮอตสปอร์ต 30 นาที เปิดวิดีโอใน TikTok, Youtube และมีการใช้แผนที่นำทาง ผลคือ Screen On Time ไป 7 ชั่วโมงนิด ๆ
ส่วนด้านของ iPhone 16 Pro Max ในการทดสอบ เริ่มใช้งานตั้งแต่ 08:00 – 20:40 น. เรามีการตั้งค่าความสว่างหน้าจอตัวเครื่องไว้ที่ 100% และทำการถ่ายวิดีโอ 4K 120fps ประมาณ 2 ชั่วโมง, ดูวิดีโอความละเอียด 4K HDR เป็นเวลาเกือบ 30 นาที บวกกับเล่นเกมบ้างประปราย ผลคือ Screen On Time ไป 5 ชม. 24 นาที แบตเตอรี่เหลืออยู่ที่ 8%
บางคนอาจจะอ่านแล้ว เอ๊ะ ทำไมดูน้อยจัง ต้องบอกไว้ว่าการทดสอบของเราก็โหดเกินกว่าการใช้งานของมนุษย์ทั่วไป ถ้าเป็นในการใช้งานแบบทั่วไป ถ่ายรูปบ้างประปราย ไถ เล่นแอปโซเชียลบ้างระหว่างวัน เราค่อนข้างมั่นใจว่าแบตเตอรี่สามารถอยู่ได้นานมากกว่านี้แน่นอน
สรุปการใช้งาน
สำหรับ iPhone 16 Pro series รอบนี้ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่เจอใน iPhone รุ่นก่อนหน้า ทั้งในเรื่องของความร้อนที่เป็นปัญหาหลัก ๆ ของ iPhone และทั้งกล้องหน้า และกล้องหลังก็มีการปรับเปลี่ยนสีผิวให้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ไม่อมเหลืองเหมือนเดิม แถม Photographic Style ในรอบนี้สามารถใช้ได้จริง ไม่ได้มีติดเครื่องไว้เหมือนกับรุ่นก่อน ๆ
ส่วน Camera Control ตอนนี้ยังมีการใช้งานที่จำกัดอยู่ แต่ในอนาคตน่าจะมีการอัปเดตให้สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ ถึงแม้ดีไซน์จะยังเหมือนเดิม แต่ภายในถือว่ามีการพัฒนาขึ้นในหลาย ๆ ด้าน ส่วนถ้าถามว่าเหมาะกับใคร เราว่าอาจจะเหมาะกับคนที่ใช้ iPhone 13 Pro ลงไปมากกว่า ส่วนใครที่ใช้รุ่นใหม่กว่านั้น ถ้ารับความเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดได้ และมีเงินเหลือ ถ้าจะซื้อก็ไม่ติดอะไร เพราะยังไงรุ่นใหม่ก็ดีกว่ารุ่นเดิมเสมอ
ราคา iPhone 16 Pro
- ความจุ 128GB : ราคา 39,900 บาท
- ความจุ 256GB : ราคา 43,900 บาท
- ความจุ 512GB : ราคา 51,900 บาท
- ความจุ 1TB : ราคา 59,900 บาท
ราคา iPhone 16 Pro Max
- ความจุ 256GB : ราคา 48,900 บาท
- ความจุ 512GB : ราคา 56,900 บาท
- ความจุ 1TB : ราคา 64,900 บาท
ป้องกันจอแตก แต่ไม่ลดคุณภาพ
เชื่อว่าหลายๆ คนเมื่อได้มือถือใหม่ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือติดอุปกรณ์ป้องกันนั่นเอง รอบนี้เราใช้เป็น ฟิล์มกระจกใสแบบเต็มจอ จาก ABLEMEN รุ่น Full Frame Corning Nano Glass Anti Reflective
การติดตั้งก็ง่ายมากๆ เขามีอุปกรณ์ให้ครบมาในกล่อง ทั้งผ้าเช็ดจอ แผ่นกาวดึงฝุ่น เรามีหน้าที่แค่วัดให้ตรงแล้วแปะลงไป
จุดเด่นของฟิล์มกระจกรุ่นนี้ คือมีนวัตกรรม Anti Reflective ช่วยลดแสงสะท้อน ทำให้หน้าจอคมชัดขึ้น จะดูหนังซีรีส์ หรือเล่นเกม ก็มองเห็นจอได้ชัดเจนและสบายตาสุดๆ ใช้งานในห้องที่มีแสงไฟแรงๆ ก็สู้แสงสะท้อนได้สบายๆ
เราลองเอาไปใช้งานกลางแจ้ง สบายตามากๆ เพราะลดแสงจากแดด
อ่านตัวหนังสือได้ง่าย สบายตา ไม่แสบตาจากแสงแดดสะท้อน แล้วยังลดเงาจากตัวเรา ทำให้คอนเทนต์ในหน้าจอชัดเจนกว่าแบบกระจกทั่วไป
นอกจากลดแสงสะท้อน ตัวกระจกยังแข็งแรง ใช้วัสดุกระจก Corning ซึ่งเป็นเกรดเดียวกับที่ใช้ทำจอ iPhone จึงทำให้ได้สัมเหมือนจอจริงๆ ทนทานต่อรอยขีดข่วน รองรับแรงกระแทกสูงสุด 3 เมตร เคลือบสารป้องกันลดรอยนิ้วมือ ทำให้หน้าจอสะอาด และดูใหม่อยู่เสมอ รับประกันนานถึง 5 ปี เปลี่ยนใหม่ได้ฟรี 1 ครั้ง เมื่อแตกร้าว
กันจอแล้วก็ต้องกันกล้อง
อีกหนึ่งส่วนประกอบที่ต้องระวังของ iPhone คือเลนส์กล้อง เพราะด้วยโมดูลที่ยื่นออกมาจากตัวเครื่องพอสมควร ใครไม่ชอบให้เครื่องมีรอย ก็ต้องมีตัวช่วย อย่าง Lens Sapphire กระจกแซฟไฟร์กันรอยเลนส์กล้อง ที่วัสดุมีความแข็งแรง ทนต่อรอยขีดช่วนได้อย่างดี
อุปกรณ์ให้มาครบ ติดเองง่ายๆ ไม่ง้อช่าง
ตัวกระจกกันเลนส์ใสพิเศษ ระดับ HD ถ่ายรูปคมชัด ได้สีตรงตามจริงไม่เพี้ยน แล้วยังใช้แฟลชได้ปกติ
มีให้เลือกตามสีเครื่อง ดีไซน์สวย ขอบเงางามกว่าเลนส์ทั่วไป แถมยังรับประกัน 120 วัน เปลี่ยนใหม่ได้ฟรี 1 ครั้ง เมื่อแตกร้าว
ราคาและช่องทางจำหน่าย
- ฟิล์มกระจกใส Full Frame Corning Nano Glass Anti Reflective ราคา 1,690 บาท
- รับประกันนานถึง 5 ปี เปลี่ยนใหม่ได้ฟรี 1 ครั้ง เมื่อแตกร้าว
- Lens Sapphire กันรอยเลนส์กล้อง ราคา 1,390 บาท
- รับประกัน 120 วัน เปลี่ยนใหม่ได้ฟรี 1 ครั้ง เมื่อแตกร้าว
นอกจากนี้ ยังมีฟิล์มรุ่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ทุกรูปเเบบ ทุกสายการใช้งาน
- 3D Corning Gorilla Glass กระจกกันรอยสุดแกร่ง ทนรอยขีดข่วนระดับ 9H
- ราคา 1,590 บาท
- Full Frame Matte กระจกผิวด้าน ลดรอยนิ้วมือและแสงสะท้อน ถูกใจเกมเมอร์แน่นอน
- ราคา 1,090 บาท
- Full Frame Privacy กระจกเพิ่มความเป็นส่วนตัว ลดการมองเห็นจากด้านข้าง
- ราคา 1,090 บาท
- Full Frame Blue Light Cut ปกป้องเต็มจอ ตัดแสงสีฟ้า ลดอาการปวดตา
- ราคา 990 บาท
โดยทุกรุ่นรับประกัน 1 ปี เปลี่ยนใหม่ได้ฟรี 1 ครั้ง เมื่อแตกร้าว
สามารถสั่งซื้อได้ที่ร้านค้าตัวเเทนจำหน่าย, 425Degree, Studio , iStudio, Jaymart, True, AIS และ Ablemen Online Official
โปรโมชัน
พิเศษสำหรับผู้ติดตามช่อง DroidSans ใส่โค้ด ABLEDS16 เพื่อรับส่วนลด 100 บาท เมื่อซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ผ่านช่องทางเว็บไซต์เอเบิลเม็น หรือ Ablemen Shopee Store
Comment