นี่คือ iPhone ที่คุ้มค่าที่สุดในรอบหลายปี คำพูดนี้คงไม่เกินจริงเท่าไหร่ เพราะ iPhone 17 มีการปรับสเปค ใส่ฟีเจอร์อะไรใหม่ๆ เพิ่มมาให้จน ณ วันนี้สเปคของ iPhone ทัดเทียมกับ Android สักที (ไม่รู้ว่า Apple พัฒนาไวขึ้นหรือ Android กั๊กขึ้น)
ผมในฐานะแฟน Android ที่ใช้มาตลอด จะขอย้ายค่ายรีวิว iPhone 17 น้องเล็กในวันที่ Apple เลิกกั๊ก มือถือเครื่องนี้จะทำให้แฟน Android หันมามองได้มั้ย แล้วอะไรทำให้รุ่นนี้คุ้มค่าที่สุด ไปชมกันเลย
ดีไซน์ที่คุ้นตา กับ UI ที่น่าประทับใจ
ในปีนี้ iPhone 17 ยังคงยึดแนวทางการออกแบบเดิม คือแทบจะยกจาก iPhone 16 มาเลย น่าเสียดายจริงๆ เพราะรุ่น Pro และ Air มีการนำเสนอดีไซน์ของโมดูลกล้องที่ยกสูงขึ้น คงจะดีไม่น้อยถ้าได้ปรับไปใช้ภาษาดีไซน์เดียวกัน แต่ถึงแบบนั้น iPhone 17 ก็ยังคงดีไซน์ที่สดใหม่อยู่ (แน่ล่ะ เพิ่งใช้ดีไซน์นี้ในรุ่นที่แล้ว)
แม้จะบอกว่าดีไซน์ของ iPhone 17 ยังคงเหมือนกับ iPhone 16 แต่ก็ไม่สามารถใส่เคสร่วมกันได้ เนื่องจากมิติขนาดตัวเครื่อง iPhone 17 มีความกว้างและยาวกว่านิดหน่อย

ภาพรวมดีไซน์สามารถหลับตาเล่าได้เลยครับ เพราะตำแหน่งปุ่มต่างๆ ยังคงเดิม และมีครบแบบรุ่น Pro ทั้ง Action Button และ Camera Control พลิกหลังเครื่องก็จะเจอกับดีไซน์ฝาหลังกระจกด้าน จับแล้วรู้สึกหรูหรา นุ่มมือดี ตัวโมดูลกล้องวางเป็นแนวตั้งมาพร้อมกับกล้อง 2 ตัว Fusion Camera กล้องหลัก 48MP และกล้อง Ultra Wide ความละเอียด 48MP ที่ยกสูงจากตัวเครื่องประมาณนึง




หน้าจออัปเกรดใหม่ 120Hz ProMotion ไม่มีกั๊กแล้ว

หลังโดนล้ออยู่หลายปี ในที่สุด Apple ก็ทำในสิ่งที่ทุกคนรอคอย (รึป่าว?) นั่นคือการปรับเกรดหน้าจอมาเป็น 120Hz แล้วนั่นเอง โดยตัวจอเนี่ย ได้อัปมาเป็นแบบเดียวกับรุ่น Pro เลยนะครับ เป็นจอ Super Retina XDR ขนาด 6.3 นิ้ว พร้อม ProMotion อัตรารีเฟรชเรตแบบปรับได้ 1-120Hz (ซึ่งถ้าใครย้ายจากรุ่นเดิม คงจะรู้สึกว่าจอลื่นขึ้นมาก ไม่ใช่แค่เพราะชิปแรงขึ้น แต่มัน 120Hz นี่แหละ) และความสว่างหน้าจอเพิ่มมาเป็นสูงสุด 3,000 นิต พร้อมรองรับ Always-On Display แล้ว

อีกอย่างที่รอบนี้เพิ่มเติมมาคือหน้าจอมีการเคลือบสารกันแสงสะท้อนช่วยลดเงาบนหน้าจอได้ดี เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นเทียบชั้นกับ Galaxy S25 Ultra ได้ แต่ก็ถือว่า Apple ให้มาแบบไม่กั๊กจริงๆ ได้ครบทุกรุ่นเลย
จุดนึงที่น่ารำคาญนิดๆ คือตัวของ Dynamic Island ที่เวลาดูคอนเทนต์เต็มจอค่อยข้างจะกินพื้นที่เยอะ และนอกจากนี้บางเกมไม่ได้ดีไซน์มารับกับ Dynamic Island ผลคือมาบังปุ่ม หรือพื้นที่ของเกมทำให้เราอาจพลาดในจังหวะสำคัญ


ด้วยขนาดตัวเครื่องที่มีหน้าจอ 6.3 นิ้ว ทำให้มิติตัวเครื่องไม่ได้ใหญ่แบบพวกรุ่น Pro Max และทำน้ำหนักออกมาได้ดีมากๆ เบาแค่ 177 กรัม ซึ่งการกระจายน้ำหนักทำออกมาดีเลย ผมสามารถจับถือในมือเดียวได้สบาย เฟรมเครื่องเป็นอะลูมิเนียมที่มีการปัดมนบริเวณขอบ ทำให้เวลาจับถือไม่ได้คมหรือระคายมือแต่อย่างใด ประกบด้านหลังด้วยกระจกหน้าจอ Ceramic Shield 2 ที่แข็งแกร่งขึ้น ความทนทานยังคงกันน้ำหันฝุ่นระดับ IP68 ดังเดิม

iOS 26 สวยจกตา จนลืมความน่าเบื่อ


ยอมรับตามตรง iOS 26 ทำเอาหลายคนตกหลุมรักจริงๆ กับดีไซน์โปร่งใสสไตล์ Liquid Glass ที่เห็นแล้วยังไม่ก็ต้องมอง ซึ่ง Apple เองก็ทำได้ดีมากๆ การใส่ลูกเล่นเมื่อเอียงเครื่องแสงเงาก็จะปรับไปตามทิศทางที่เราขยับ มันทำให้หยุดมองไม่ได้เลย



iOS 26 ก็มอบอิสระในการปรับแต่งให้เราเยอะมากขึ้น ส่วนหลักที่ผมชอบเลยก็คือหน้าจอล็อกนี่แหละที่มีนาฬิกาแบบใหม่ซึ่งสามารถยืด-หด ได้ตามจต้องการ และยิ่งมารวมกับวอลเปเปอร์ที่เป็นภาพบุคคล หรือภาพที่เป็นเลเยอร์ มีระยะหน้าหลังแล้ว สวยงามมากๆ จริงๆ



ใครที่ไม่ชอบความใส่ของ UI ก็ยังสามารถไปปิดได้นะครับ ขั้นตอนดังนี้เลย
- ไปที่ “การตั้งค่า”
- ไปที่เมนู “การช่วยการเข้าถึง”
- เลือกที่เมนู “จอภาพและขนาดข้อความ”
- ให้กดเลือก “ลดความโปร่งใส”
คีย์บอร์ดแบบใหม่…ที่ผมแอบชอบ

ช่วงที่ลองใช้วัน สองวันแรกผมเจอความรำคาญอย่างนึงคือด้วยความเป็นคนมือใหญ๋ นิ้วใหญ่ และมาจับมือถือไซซ์กะทัดรัดแบบนี้ เลยพิมพ์ลั่นบ่อยมาก นึกได้ว่ามีคีย์บอร์ดแบบ 24 คีย์ให้ใช้นี่น่า เลยลองใช้ดูครับ เอาจริงๆ เราต้องปรับตัวนิดนึง แต่พอใช้ไปไม่นานก็เริ่มชิน และกดง่ายมากเลย เพราะปุ่มใหญ่ การออกแบบจัดวางตัวอักษรยังคงอยู่ตำแหน่งคล้ายเดิม เพิ่มเติมคือเราไม่ได้ค่อยมากด Shift บ่อยๆแล้ว ใครใช้ iOS 26 ผมก็อยากให้ลองช้กันนะ
แต่ส่วนที่ทำเอาทุกคนร้อง “ว้า“ เลย คงหนีไม่พ้นฟีเจอร์ Apple Intelligence 😅
Apple Intelligence ที่แทบไม่ได้พูดถึง และยังคงไม่รองรับในไทย
ในงานเปิดตัว iPhone 17 Apple พูดถึงฟีเจอร์ของ Apple Intelligence น้อยมาก ที่มีใหม่ๆ เลยนั่นคือฟีเจอร์ Visual Intelligence ที่เมื่อจับภาพหน้าจอ จะสามารถค้นหาข้อมูลสิ่งที่อยู่บนหน้าจอได้ ChatGPT พูดง่ายๆ ก็คือ Circle to Search บน Android นี่แหละ แต่ดูเหมือนจะมีขั้นตอนที่ดูไม่สะดวกเท่า Circle to Search อยู่ดี

แต่ ณ วันนี้ยังไม่รองรับในไทย ทำให้ผมเสียดายที่ไม่ได้ลองเต็ม ๆ ให้ทุกคนดู เอาเป็นว่ามาเต็มๆ เมื่อไหร่ Droidsans จะรีวิวให้ดูแน่นอนครับ
อย่างน้อยชาวไทยแบบเราๆ ก็ยังมีฟีเจอร์ Clean Up หรือฟีเจอร์ลบวัตถุ ที่สามารถลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพได้ง่ายๆ ซึ่ง Apple ทำ UI ออกมาได้ดูดีมาก เมื่อเริ่มแรกก็จะสแกนภาพ เลือกวัตถุในภาพให้เราด้วย ถือว่าสะดวกดี แต่ผลลัพธ์ที่ได้ ก็…



แรงหายห่วง ปัญหาความร้อนดีขึ้น แต่ยังมีบ้าง
ขุมพลังของ iPhone 17 คือชิปเซ็ต A19 ที่ทำงานคู่กับ RAM 8GB หลายคนคงไว้ใจประสิทธิภาพของชิปเซตตระกูล A อยู่แล้วว่าประสิทธิภาพแรงแน่นอน ดังนั้นเราสามารถเคาะได้เลยว่าใช้งานทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลง เล่นโซเชียลยังไงก็สบายๆ แต่ถ้าคุณไม่เชื่อผมก็มีผลทดสอบมายืนยัน แน่นอนว่าคะแนนระดับนี้ก็นับได้ว่าอยู่ในระดับต้นๆ งของสมาร์ทโฟนในปีนี้เลย
การทดสอบ | iPhone 17 |
Geekbench 6 (CPU) | Single-Core : 3,612 Multi-Core : 9,180 |
AnTuTu v10 (Overall) | 2,109,773 คะแนน |
3DMark (GPU Stability) | Best Loop: 5,132 Stability: 66.7% |
แต่เรื่องที่หลายคนกังวลกันคือเรื่องความร้อนครับ iPhone 17 ไม่ได้มีตัวของ Vapor Chamber ที่มาช่วยจัดการความร้อนแบบรุ่น Pro ดังนั้นการใช้งานหนักๆ ก็ยังเจอความร้อนอยู่ครับ โดยเฉพาะบริเวณขอบเครื่องและโมดูลกล้องที่ร้อนอุ่นจนแอบๆ แสบมือเลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามรถใช้งานต่อได้นะครับ แค่อาจจะมีอาการจอดิมลงบ้าง

เล่นเกม ดี-แย่ อยู่ที่ตั้งค่า
ใช่ครับ สำหรับสายเล่นเกมต้องคาดหวังภาพสวย เล่นลื่น เนียนตา 120Hz กันแน่ๆ ผมอยากให้ทุกคนใจเย็นๆ และลองมาดูกันหน่อยว่ารุ่นนี้เล่นเกมเป็นอย่างไรบ้าง ผมมีเงื่อนไขง่ายๆ ครับ ทุกเกมผมปรับภาพกราฟิกสูงสุด เฟรมเรทสูงสุด เพื่อที่จะรีดประสิทธิภาพของชิป A19 ให้มากที่สุด ซึ่งผลลัพธ์มีดังนี้
ROV : เปิดกราฟิกสูงสุด เฟรมเรทสูงสุด 120Hz
ช่วง 15 นาทีแรกสามรถเล่นเกมได้ลื่นๆ แต่มีอุณหภูมิค่อยๆ วิ่งขึ้นบริเวณขอบเครื่อง และตรงโมดูลกล้อง เฟรมเรทวิ่งสลับราวๆ 116-118Hz จัดหลังไฟต์มีกระตุกบ้างเล็กน้อย แต่ยังคงเล่นได้อยู๋ เมื่อเล่นไปเลย 15 นาทีแล้ว ความร้อนสะสมจริงเราเริ่มชาๆ แสบๆ มือ หน้าจอก็ดิมลง แต่ก็ยังคงเล่นต่อได้จนจบเกม



Call of Duty®: Mobile : เปิดกราฟิกสูงสุด เฟรมเรทสูงสุด 120Hz
Call of Duty®: Mobile ค่อนข้างน่าประทับใจครับ เล่นได้สบายๆ ลื่นๆ ไม่ค่อยเจออาการกระตุกหรือเฟรมดรอปแต่อย่างไร สามารถเล่นไปสบายๆ เลย เพื่อแต่เจอปัญหาการออกแบบ UI น่าจะเป็นที่ตัวเกมที่เหมือนไม่ได้ออกแบบมาเพื่อ iPhone มุมโค้งของจอกินพื้นที่ปุ่มกดบ้าง หรือตัวของ Dinamic island ที่บังปุ่มคอนโทรล กลายเป็นว่าน่ารำคาญ



Genshin Impact : เปิดกราฟิกสูงสุด เฟรมเรทสูงสุด 60fps
Genshin ก็สามารถเล่นได้ลื่นๆ ในช่วงประมาณ 10-15 นาทีแรกครับ แต่พ้นจากนั้นคุณจะเนจอกับอุณหภูมิเครื่องที่ร้อนขึ้นแบบรู้สึกได้ จังหวะตีมอนก็เริ่มมีอาการเฟรมเรทตกให้เห็น รวมไปถึงจังหวะการเปลี่ยนกล้องไว้ๆ ก็จะแกว่งๆหน่อย และสุดท้ายหน้าจอดิปลงเพื่อรักษาอุณหภูมิเครื่องไม่ให้ร้อนจนเกินไป ยังคงเล่นต่อได้อีก (แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยแนะนำให้เล่นต่อครับ)



Zenless Zone Zero : เปิดกราฟิกสูงสุด เฟรมเรทสูงสุด 60fps
ความรู้สึกแรกที่เจอคือตัวเครื่องค่อนข้างร้อนไวกว่าเกมอื่นๆ เจออาการกระตุกบ้าง เฟรมแกว่งไปบ้าง ในฉากต่อสู้ที่มีเอฟเฟกต์เยอะๆ
จากการทดลองเล่นเกมมาแล้ว แนะนำว่าถ้าอยากเล่นลื่นๆ ยาวๆ ก็แนะนำให้ปรับการตั้งค่าให้พอดีกับตัวเครื่องจะช่วยให้การเล่นเกมมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากการปรับสุด เปิด 120Hz ในหลายๆ เกม ทำให้ตัวชิปทำงานหนัก และมีความร้อนสูงอย่างรวดเร็ว จนมีอาการเฟรมตก จอดิมบ้าง อาจรบกวนจิตใจคนเล่นจนหัวร้อนได้ (ฮาฮ่า)
กล้องหลังคู่ Fusion Camera 48MP กล้องหน้าใหม่ ถ่ายสนุกกว่าเดิม

iPhone 17 มาพร้อมกล้องหลัง 2 ตัว นั่นคือ กล้องหลัก Fusion Camera 48MP เรื่องของคุณภาพไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก ยังคงเก็บรายละเอียดของภาพได้ดี Skin Tone ทำออกมาได้ดี โทนภาพยังออกติดเหลืองนิดๆ โทนอุ่นๆ หน่อยๆ และด้วยเทคโนโลยี Fusion Camera ทำให้การซูม 2x ยังคงคมชัดอยู่ โดยส่วนตัวผมชอบใช้ระยะ 2x มากๆ เพราะทำให้การจัดองค์ประกอบภาพง่ายขึ้น ไม่กว้างจนเกินไป
ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัก Fusion Camera 48MP (f/1.6) – ระยะ 1 เท่า














ตัวอย่างภาพจากกล้องหลัก Fusion Camera 48MP (f/1.6) – ระยะ 2 เท่า





















ปีนี้อัลตร้าไวด์ ที่อัปเกรดมาเป็นกล้อง Fusion Ultrawide 48MP แบบรุ่น Pro แล้ว แน่นอนว่าการเก็บภาพมุมกว้างได้ดีขึ้นรวมถึงการถ่ายภาพมาโครก็ให้ความคมชัดสูง แม้คุณภาพตัวกล้องอาจจะยังไม่ได้ดีเทียบเท่ากล้องหลัก แต่ก็จัดการสีสันได้ใกล้เคียงกันเลย ทำให้การสลับเลนส์ไม่มีปัญหาเรื่องความต่างของสี แถมยังถ่ายมาโครระยะใกล้ๆ ได้ด้วย เพราะงั้นสายถ่ายภาพดอกไม้ แมลงใกล้ๆ ถูกใจแน่นอน
ตัวอย่างภาพจากกล้องอัลตราไวด์ Fusion Ultrawide Camera 48MP (f/2.2)






ตัวอย่างภาพระยะซูม 0.5x , 1x , 2x , 10x




กล้องของ iPhone 17 ยังคงเจอปัญหา “แสงแฟลร์” เหมือนเดิม ทำให้การถ่ายภาพพวกป้ายไฟ แสงนีออนต่างๆ เกิดแสงแฟลร์ สะท้อนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่แน่ใจว่าเกิดจากการวางชิ้นเลนส์ของ iPhone รึเปล่า แต่ถ้าจะมองว่านี่เป็นเอกลักษณ์ของกล้อง iPhone ก็อาจจะสมเหตุสมผล เพราะทาง Apple ก็ไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขเรื่องนี้เลย (ซะงั้น)



ไม้ตายสายเซลฟี่กับกล้องหน้า Center Stage ใหม่ 18MP


ถ้าถามว่าอะไรทำให้ผมหวั่นไหวอยากย้ายมาใช้ iPhone ที่สุดในปีนี้ ขอยกให้กล้องหน้าตัวใหม่นี่เลย ด้วยวิธีคิดใหม่ ทำเซนเซอร์เป็นแบบจตุรัสทำให้สามารถถ่ายได้ทั้งแนวตั้ง และ แนวนอน โดยที่ไม่ต้องตะแคงเครื่อง และได้กล้องหน้าที่มุมมองกว้างคุณภาพของภาพก็ทำออกมาได้ดี โดยเฉพาะในที่ท่มีแสงเพียงพอ ผลลัพธ์อกมาน่าพอใจมาก แต่เมื่อแสงน้อยคุณก็จะเจอนอยด์ขึ้นบ้าง
ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า Center Stage 18MP (f/1.9) : แนวตั้ง






ตัวอย่างภาพจากกล้องหน้า Center Stage 18MP (f/1.9) : แนวนอน






และถ้าคุณเป็นสาย Vlog ชอบถ่ายวิดีโอเดินเที่ยว การที่ถือมือถือแนวตั้งทำให้มีความสะดวกเพิ่มขึ้นเยอะ จับถือถนัดมือ และไม่เขินมากเวลาออกไปถ่ายข้างนอก (เพราะจอมันจะย่อลงมา) และตัวกล้องหน้าก็มีระบบออโต้โฟกัสทำให้ภาพเซลฟี่คมชัดขึ้น การถ่ายภาพก็มีมิติ มีชัดลึก ชัดตื้นขึ้น
วิดีโอเทพยังไง ก็ยังเทพเหมือนเดิม
งานวิดีโอยังคงเป็นจุดแข็งที่สุด รองรับการถ่าย 4K 60fps ทั้งกล้องหน้าและหลัง ภาพที่ได้ก็ออกมาดูดี Dynamic Range กว้าง การกันสั่นก็ดีมาก ๆ สำหรับการถ่ายวิดีโอทั่วไป เดินไป ถ่ายไป แพนกล้องไปก็ไม่มีอาการย้วย หรือยืดให้เห็น แต่ถ้าคุณเป็นสายเอ็กตรีม อยากจัดเต็มก็แนะนำให้เปิด Action Mode
ฟีเจอร์ใหม่ Dual Capture ถ่ายกล้องหน้า – หลังพร้อมกัน

เอาล่ะ พูดกันตรงๆ ว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษสำหรับฟีเจอร์นี้ เพราะชาว Android ก็เคยใช้กันอยู่แล้วนะครับ สำหรับ iPhone 17 สามารถถ่ายที่ความละเอียดสูงสุด 4K 30Fps ซึ่งคุณภาพก็ออกมาดูดีเลย สามารถสลับเลนส์ได้จะเป็นกล้องหลักหรืออัลตร้าไวด์ก็ซูมได้เลย ตัวกรอบกล้องหน้าสามารถย้ายตำแหน่งระหว่างถ่ายคลิปไปได้นะครับ ที่น่าเสียดายคือไม่สามารถบันทึกแยกไฟล์แต่ละกล้องได้แบบ Samsung Galaxy ไม่งั้นฟีเจอร์นี้จะสมบูรณ์มากกว่านี้ เชื่อว่า Apple น่าจะสามารถออกอัปเดตเพิ่มเติมได้ในอนาคต
อย่างไรก็ดี นี่ก็เป็นฟีเจอร์ที่เราจะได้เห็นเหล่าอินฟลูคนดังเอามาใช้ทำคอนเทนต์มากขึ้นแน่นอน ตอนนี้ก็เห็นหลายๆ คนเริ่มใช้กันแล้ว โดยเฉพาะสายดูคอนเสิร์ต
เพิ่มเติมสำหรับสาย Android อาจจะเจอความน่าหงุดหงิดของการปรับการตั้งค่ากล้องอยู่บ้าง ที่เครื่องมือต่างๆ ไม่มีให้เปิดเลย เช่น เส้นกริซ การปรับคุณภาพรูป หรือแม้กระทั่งเวลาเข้าโหมดวิดีโอ ต้องมาค่อยกดสลับความละเอียดสูงเอง ซึ่งปัญหานี้คุณสามารถเข้าไปที่การตั้งค่าได้เลย จะสามารถกดตั้งค่าได้ตามชอบ เปิดได้ทุกอย่าง ถ้าคุณเพิ่งย้ายมา ก็ลองเข้าไปตั้งค่าดู ครั้งเดียว ใช้งานได้สบายๆ เลยครับ



แบตใช้งานได้ตลอดวันแบบลุ้นๆ ได้ชาร์จไวแบบที่ต้องการ

iPhone 17 มาพร้อมแบตความจุ 3,692 mAh ที่ดูเหมือนจะน้อยนะครับ แต่การใช้งานจริงถือกว่าทำได้ดีครับ ได้ Screen On ประมาณ 5 ชม. 50 นาที ผมใช้เป็นเครื่องหลักเลย ใส่ซิมเปิด 5G เล่นโซเชียล เดินถ่ายรูป เล่นเกมทั่วไปเลยครับ แน่นอนว่าถ้าคุณใช้งานระหว่างวันยังไงก็เพียงพอ แต่ถ้าวันไหนไปเที่ยว ต้องถ่ายรูปเยอะๆ เล่นเกมหนักๆ ก็แนะนำให้พกเพาเวอร์แบงก์ซักตัว ไว้ชาร์จรอบนึง ก็เพียงพอที่จะเหลือรอดจนจบวันนะครับ


การชาร์จรอบนี้ก็ได้อัปเกรดมาเป็น 40W แต่การชาร์จจริงๆ วิ่งสูงสุดราวๆ 33W-35W จากที่ลองใช้ด้วยความรู้สึกก็ถือว่าเร็วใช้ได้ ทดสอบจับเวลามาก็ใช้เวลาชาร์จจาก 0%-100% ในเวลาราวๆ 1 ชั่วโมงนิดๆ ครับ
รายละเอียด | 15 นาที | 30 นาที | เวลาชาร์จเต็ม 100% |
iPhone 17 (3,692 mAh) | ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 37% | ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 66% | ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 16 นาที |


แต่การใช้งานจริงคงไม่มีใครใช้จนแบตหมดเกลี้ยงกันบ่อยๆ อยู่แล้ว เพราะงั้นน่าจะแฮปปี้กับการชาร์จของ iPhone 17 แน่นอน และนอจากนี้ iPhone 17 ยังรองรับชาร์จไร้สาย 25W รองรับทั้ง MagSafe และมาตรฐานใหม่ Qi2 อีกด้วย
สรุปภาพรวม iPhone 17 ครบเครื่อง พอดี แม้จะยังดีไม่สุด

iPhone 17 ถือเป็นการอัปเกรดที่น่าประทับใจและทำให้รุ่นเริ่มต้นมีความน่าสนใจมากที่สุดในรอบหลายปี การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือหน้าจอ ProMotion 120Hz ที่ลื่นไหลเทียบเท่ารุ่น Pro, ประสิทธิภาพจากชิป A19 ที่แรงหายห่วงสำหรับทุกการใช้งาน, และชุดกล้อง Fusion Camera 48MP ที่ยกเครื่องใหม่ บวกกับกล้องหน้า Center Stage 18MP ที่มากับเซนเซอร์กล้องแบบจตุรัส ถ่ายได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน ที่ถ่ายสนุกทั้งภาพและวิดีโอ
แม้ดีไซน์โดยรวมจะยังคุ้นตา แต่ก็มาพร้อมวัสดุพรีเมียมและการจับถือที่ดีเยี่ยม ส่วน iOS 26 ก็มอบประสบการณ์ที่สวยงามและปรับแต่งได้มากขึ้น แต่ก็น่าเสียดายที่ฟีเจอร์เด่นอย่าง Apple Intelligence ยังไม่สามารถใช้งานในไทยได้เต็มที่ ด้านแบตเตอรี่ก็อึดพอสำหรับการใช้งานครบวัน พร้อมรองรับการชาร์จไวที่เร็วขึ้นอย่างชัดเจน
ปีนี้เป็นปีที่น่าประทับใจสำหรับ iPhone เพราะ Apple เหมือนจะจัดไลน์อัป iPhone ใหม่ที่เจาะคนแต่ละกลุ่มไปเลย อย่างรุ่น Pro ก็เน้นไปที่สายงาน Prodution คนทำงานจริงจัง ต้องการมือถือประสิทธิภาพสูงสุด iPhone Air จับกลุ่มพรีเมียม เน้นความหรูหราและแฟชั่น สำหรับคนที่ต้องการมือถือที่เป็นเอกลักษณ์
และสำหรับ iPhone 17 ผมมองว่านี่คือมือถือที่ Apple ทำมาเพื่อตอบโจทย์ทุกคน อาจจะไม่ได้ดีขั้นสุด แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เราใช้งานได้แบบไม่มีปัญหา ประสิทธิภาพก็ถือว่าสูงลำดับต้นๆ และตอบโจทย์ทุกความต้องการ ถ้าคุณชอบกล้องคุณภาพดี ประสิทธิภาพการเล่นเกมที่ดี หน้าจอที่ดี iPhone 17 ก็มีให้ครบหมด
แล้ว iPhone 17 เหมาะกับใคร?

iPhone 17 เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูงในราคาที่ไม่สูงจนเกินไป เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นการใช้งานทั่วไปที่ลื่นไหล, เล่นโซเชียล, ถ่ายรูปสวยๆ ในชีวิตประจำวัน, และเล่นเกมได้ทุกเกมแบบไม่มีสะดุด รับได้กับกล้องซูมระยะไกล (Telephoto) ที่ไม่ได้มีมาให้ และพร้อมที่จะรอฟีเจอร์ AI ในอนาคต( เมื่อไหร่ไม่รู้)
แต่ถ้าคุณกำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่ประสิทธิภาพดีสุดทุกด้าน เราขอแนะนำให้มองไปที่รุ่น Pro เพราะนอกจากจะได้กล้องเทเลโฟโต้แล้ว ยังมาพร้อมกับชิป A19 Pro และระบบระบสยความร้อน พร้อมฟีเจอร์ที่เหนือกว่าในทุกๆ ด้าน แน่นอนว่าราคาก็แพงขึ้นเป็นหมื่น
ข้อดี
- หน้าจอ ProMotion 120Hz ที่ลื่นไหลและสว่างสดใสเทียบเท่ารุ่น Pro
- ชิป A19 ประสิทธิภาพสูง เล่นเกมและใช้งานทั่วไปได้ดีเยี่ยม
- กล้องหลักและอัลตร้าไวด์ 48MP คุณภาพดี ไว้ใจได้
- กล้องหน้า Center Stage 18MP ใหม่ ถ่ายเซลฟี่และวิดีโอสนุกขึ้น
- แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน พร้อมชาร์จไว 40W
- ดีไซน์สวยงามพรีเมียม และ iOS 26 ที่ปรับแต่งได้มากขึ้น
- ความจุเริ่มต้นที่ 256GB ในราคาเปิดตัวเท่าเดิม
ข้อสังเกต
- Apple Intelligence ยังไม่รองรับการใช้งานในประเทศไทย
- ไม่มีเลนส์ Telephoto สำหรับการซูมระยะไกลโดยเฉพาะ
- ตัวเครื่องยังคงร้อนเมื่อใช้งานหนักหรือเล่นเกมต่อเนื่องนานๆ
- ปัญหาแสงแฟลร์ (Lens Flare) ยังคงพบเห็นได้ในการถ่ายภาพกลางคืน
- ดีไซน์โดยรวมไม่ต่างจาก iPhone 16 มากนัก
- Dynamic Island ที่อาจจะบังภาพเวลาดูคลิป หรือเล่นเกม
สรุปสเปคและราคา iPhone 17
- จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.3 นิ้ว
- ความละเอียด 2622 x 1206 พิกเซล
- เทคโนโลยี ProMotion อัตรารีเฟรชเรต 120Hz
- ความสว่างสูงสุด 3,000 นิต (กลางแจ้ง)
- HDR และ Always-On display
- กระจกหน้าจอ Ceramic Shield 2
- เคลือบสารกันแสงสะท้อน
- ชิปเซ็ต : A19 (ซีพียู 6 คอร์ และจีพียู 5 คอร์)
- หน่วยความจำ : 8GB
- พื้นที่จัดเก็บข้อมูล : 256GB / 512GB
- กล้องหลัง :
- กล้องหลัก Fusion Camera 48MP (f/1.6) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงพิเศษ (24MP และ 48MP)
- รองรับการถ่ายเทเลโฟโต้ 2 เท่า (คุณภาพระดับออปติคัล 12MP)
- ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล
- ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 10 เท่า
- รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 60 fps
- กล้องอัลตราไวด์ Fusion Ultrawide Camera 48MP (f/2.2) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงพิเศษ (24MP และ 48MP)
- มุมกว้าง 120 องศา
- รองรับการถ่ายภาพมาโคร
- กล้องหลัก Fusion Camera 48MP (f/1.6) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงพิเศษ (24MP และ 48MP)
- กล้องหน้า : Center Stage 18MP (f/1.9) ระบบออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels
- รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 60 fps
- เครือข่าย : 5G (sub-6 GHz)
- การเชื่อมต่อ :
- Wi-Fi 7
- Bluetooth 6
- NFC
- Ultra Wideband รุ่นที่ 2
- เทคโนโลยีระบบเครือข่าย Thread
- ปุ่ม และพอร์ตเชื่อมต่อภายนอก :
- USB Type-C 2 (สูงสุด 480Mb/s)
- รองรับ DisplayPort
- ปุ่ม Action Button
- ตัวควบคุมกล้อง (Camera Control)
- ลำโพง 2 ตัว
- USB Type-C 2 (สูงสุด 480Mb/s)
- แบตเตอรี่ : เล่นวิดีโอสูงสุด 30 ชั่วโมง
- ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 20 นาที (ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 40 วัตต์หรือสูงกว่า)
- รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe สูงสุด 25W
- รองรับชาร์จไร้สายแบบ Qi2 สูงสุด 25W
- ความทนทาน : มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68
- ความปลอดภัย :
- SOS ฉุกเฉินผ่านดาวเทียม
- การตรวจจับการชนกัน
- ระบบปฏิบัติการ : iOS 26
- ขนาด : 149.6 x 71.6 x 7.95 กรัม
- น้ำหนัก : 177 กรัม
- ราคา iPhone 17
- ราคา
- ความจุ 256GB ราคา 29,900 บาท
- ความจุ 512GB ราคา 37,900 บาท
หรือดู 16 Pro มือ2