ถึงเวลาที่เราจะหยิบ iPhone 17 Pro มารีวิวให้ผู้อ่านได้ดูกันแล้ว เพราะนอกเหนือจากดีไซน์ใหม่สุดโดดเด่น มาพร้อมกับสีส้ม Cosmic Orange ก็ยังอัปเกรดฮาร์ดแวร์หรือฟีเจอร์ใหม่เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม อัปเกรดน้อยแต่อัปเกรดได้ตรงจุด จะจริงอย่างที่คิดหรือเปล่า และใช้งานจริงเป็นยังไง ไปดูรีวิว iPhone 17 Pro พร้อมกันเลย~

ดีไซน์ใหม่ มองยังไงก็รู้ว่า iPhone 17 Pro
จะเรียกว่าเปลี่ยนดีไซน์ใหม่ทั้งหมดก็ไม่เชิง หลังจากคุ้นชินกับไอโฟนกล้องสามตากับโมดูลทรงสี่เหลี่ยมมุมซ้ายบนมาตั้งแต่ iPhone 11 Pro จนถึงรุ่นในปีที่แล้วอย่าง iPhone 16 Pro ผ่านมานานถึงหกปี ก็ถึงเวลาแล้วที่ Apple จะรีเฟรชหรือปรับเปลี่ยนดีไซน์ใหม่สักนิดนึงให้กับ iPhone 17 Pro

iPhone 17 Pro ได้ปรับดีไซน์บริเวณโมดูลกล้องหลังเล็กน้อย จากเดิมที่โมดูลจะยกสูงขึ้นมาอยู่มุมซ้ายบนของตัวเครื่อง ก็เปลี่ยนให้โมดูลกล้องยกสูงขึ้นมาจนกินพื้นที่บริเวณด้านบนของฝาหลังตัวเครื่องเป็นแนวยาวไปเลย คาดว่าเพื่อรองรับเซนเซอร์กล้องเทเลโฟโต้ความละเอียด 48MP ที่ขนาดเซนเซอร์ใหญ่ขึ้นมาพอสมควร Apple เลยเลือกจัดวางโครงสร้างของชิ้นเลนส์ใหม่พร้อมกับปรับดีไซน์โมดูลกล้องให้ยาว แทนที่จะให้นูนขึ้นมาเป็นพิเศษเฉพาะมุมใดมุมหนึ่ง
น่าเสียดายที่ปีนี้ iPhone 17 Pro มีสีในไลน์อัพให้เลือกน้อยไปหน่อย แต่ก็ทดแทนมาด้วยสีที่ค่อนข้างจะฉูดฉาดอย่าง สีส้ม (Cosmic Orange) เป็นการแหกขนบของ iPhone Pro Series ที่ปกติแล้วจะมีเพียงแค่ตัวเลือกสีที่ดูสุขุมหรือดูทางการมากกว่านี้ ตีคู่มากับสองสีสุดคลาสสิคอย่าง สีน้ำเงิน (Dppe Blue) และสีเงิน (Silver)



ฝาหลังเป็นดีไซน์แบบ Two-tone อันนี้ผู้อ่านบางคนอาจสงสัยว่าทำไมต้องเป็นดีไซน์นี้ เพราะปกติแล้วจะคุ้นชินกับ iPhone ที่มีดีไซน์แบบ Unibody หรือโครงสร้างแบบชิ้นเดียวเสียมากกว่า หากพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือพื้นที่สี่เหลี่ยมซึ่งเป็นกระจกด้านหลังทำหน้าที่เป็นทางผ่านให้เราสามารถใช้งานระบบชาร์จไร้สาย MagSafe ได้นั่นเองครับ
ดีไซน์รอบตัวเครื่องเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ภาพรวมดีไซน์รอบเครื่องนอกเหนือจากโมดูลกล้องแนวยาวแบบใหม่ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็น Camera Control ของเล่นสำหรับคนชอบถ่ายรูป ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง และปุ่มคำสั่งลัด (Action Button) ตำแหน่งปุ่มต่างๆ เรียกได้ว่าอยู่ครบทั้งหมด ไม่ขาดไม่เกินไปเลยแม้แต่นิดเดียว



ฟีลลิ่งการจับถือจากไทเทเนียม มาเป็นอะลูมิเนียมต่างกันมากมั้ย
ต้องบอกก่อนว่าการรีวิวครั้งนี้ ตัวของผู้เขียนใช้เวลาอยู่ร่วมกับ iPhne 17 Pro Max ตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างเยอะ สำหรับการรีวิวในครั้งนี้จะเป็นการพูดถึงหรือลงรายละเอียดโดยอ้างอิงจาก iPhone 17 Pro Max เป็นหลักนะครับ ซึ่งหัวข้อที่เราจะพูดคุยกันต่อไปก็คือ การจับถือตัวเครื่องที่เป็นวัสดุอะลูมิเนียม


สิ่งแรกที่สัมผัสได้จากทั้ง iPhone 17 Pro กับ iPhone 17 Pro Max ก็คือน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมาแบบรู้สึกได้ ถึงแม้จะไม่ได้หนักเหมือนตอนสมัย iPhone 14 Pro เพราะหากดูกันที่ตัวเลขเป๊ะๆ ก็เพิ่มขึ้นมาไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ต้องยอมรับว่าวัสดุอย่าง Titanium ที่ใช้บนไอโฟนสองรุ่นก่อนหน้านี้ช่วยให้น้ำหนักตัวเครื่องเบาลงไปได้พอสมควร
ฟีลลิ่งการจับถือของ iPhone 17 Pro ไม่แน่ใจว่าตัวผู้เขียนรู้สึกไปเองด้วยหรือเปล่า แต่เฟรมขอบเครื่องที่เป็นอะลูมิเนียมของ iPhone 17 Pro เมื่อถือใช้งานแล้วค่อนข้างที่จะเกาะมือ มันรู้สึกว่าลื่นหรือมีโอกาสหลุดจากมือน้อยกว่าตัวเครื่องที่ใช้วัสดุอย่างไทเทเนียมแบบเห็นได้ชัด
สีตัวเครื่องลอกง่าย เป็นรอยง่ายจริงเหรอ
สุดท้ายคือเรื่องที่ผู้อ่านหรือที่คนที่กำลังตัดสินใจจะซื้อ iPhone 17 กังวลกันก็คือ ฝาหลังถลอกหรือเป็นง่ายหรือเปล่า จากภาพที่แชร์กันตามอินเทอร์เน็ต iPhone 17 Pro ตามหน้าช็อปที่มีแต่คราบหรือรอยเต็มฝาหลังไปหมด ในส่วนนี้พวกเรา DroidSans ไม่ได้นำไปทดสอบมาด้วยตัวเองนะ แต่การใช้งานตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ใช้งานทั้งแบบใส่เคสและไม่ใสเคสสลับไปมา ก็ยังไม่เจอปัญหารอยขีดข่วนหรือสีถลอกเลย


ถ้าอ้างอิงจากการทดสอบของ YouTuber หลายท่าน ก็ไปในทิศทางเดียวกันว่า หากไม่นับบริเวณขอบโมดูลกล้องที่มีโอกาสเป็นรอยได้ง่ายหากเสียดสีกับวัตถุแหลมคมหรือมีความแข็ง ฝาหลังส่วนอื่นๆ กับกระจกสี่เหลี่ยมด้านหลังบริเวณ MagSafe ยังคงมีความแข็งแรงและทนทานตามปกติ
สเปค iPhone 17 Pro และ 17 Pro Max
รายละเอียด | iPhone 17 Pro | iPhone 17 Pro Max | |
จอภาพ | พาเนล | Super Retina XDR (OLED) | |
ขนาด | 6.3 นิ้ว | 6.9 นิ้ว | |
ความละเอียด | 2622 x 1206 พิกเซล | 2868 x 1320 พิกเซล | |
ความสว่างสูงสุด | 3000 นิต | ||
อัตรารีเฟรช | เทคโนโลยี ProMotion อัตรารีเฟรชเรต 120Hz | ||
อื่นๆ | HDR และ Always-On display กระจกหน้าจอ Ceramic Shield 2 เคลือบสารกันแสงสะท้อน | ||
ประสิทธิภาพ | ชิปเซต | A19 Pro | |
หน่วยความจำ | 12GB | 12GB | |
ความจุ | 256GB / 512GB / 1TB | 256GB / 512GB / 1TB / 2TB | |
ระบบปฏิบัติการ | iOS 26 | ||
กล้อง | กล้องหลัก | กล้องหลัก Fusion Camera 48MP (f/1.78) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงพิเศษ (24MP และ 48MP) รองรับการถ่ายเทเลโฟโต้ 2 เท่า (คุณภาพระดับออปติคัล 12MP) ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 120 fps | |
กล้องอัลตราไวด์ | กล้องอัลตราไวด์ Fusion Ultrawide Camera 48MP (f/2.2) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงพิเศษ (48MP) มุมมองกว้าง 120 องศา รองรับการถ่ายภาพมาโคร | ||
กล้องเทเลโฟโต้ | กล้องเทเลโฟโต้ Fusion Telephoto Camera 48MP (f/2.8) ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล 3D และออโต้โฟกัส รองรับการซูมออปติคัลระยะ 4 เท่า รองรับการซูมในเซนเซอร์ระยะ 8 เท่า (คุณภาพระดับออปติคัล 12MP) ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 40 เท่า | ||
กล้องหน้า | กล้องหน้า Center Stage 18MP (f/1.9) ระบบออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 60 fps | ||
ระบบเสียง | ลำโพง | ลำโพงสเตอริโอ | |
การเชื่อมต่อ | เครือข่าย | 5G (sub‑6 GHz) | |
ชิปเครือข่ายไร้สาย N1 | Wi-Fi 7 Bluetooth 6 NFC Ultra Wideband รุ่นที่ 2 เทคโนโลยีระบบเครือข่าย Thread | ||
พอร์ต | USB-C 3 (สูงสุด 10Gb/s) รองรับ DisplayPort | ||
แบตเตอรี่ | ความจุ | ดูวิดีโอสูงสุด 31 ชั่วโมง | ดูวิดีโอสูงสุด 37 ชั่วโมง |
การชาร์จ | ชาร์จได้สูงสุด 50% ใน 20 นาที (ด้วยอะแดปเตอร์ขนาด 40 วัตต์หรือสูงกว่า) รองรับชาร์จไร้สาย MagSafe สูงสุด 25W รองรับชาร์จไร้สายแบบ Qi2 สูงสุด 25W | ||
ตัวเครื่อง | ทนน้ำทนฝุ่น | IP68 | |
ขนาด | 150 x 71.9 x 8.75 มม. | 163.4 x 78 x 8.75 มม. | |
น้ำหนัก | 204 กรัม | 231 กรัม |
หน้าจอ Super Retina XDR ป้องกันแสงสะท้อนได้ดีกว่าเดิม (จริงเหรอ?)
ทั้งสองรุ่น iPhone 17 Pro กับ iPhone 17 Pro Max เลือกใช้พาเนลหน้าจอเป็น Super Retina XDR OLED รองรับเทคโนโลยี ProMotion รีเฟรชเรต 1-120Hz อัปเกรดความสว่างสูงสุดเป็น 3,000 นิต สามารถลดความสว่างต่ำสุดไปได้ถึงระดับ 1 นิต ขนาดหน้าจอ 6.3 นิ้ว และ 6.9 นิ้ว ตามลำดับ รองรับการแสดงผลคอนเทนต์ HDR10 และ Dolby Vision

ขอบหน้าจอยังคงบางเฉียบทั้งสองรุ่น ใช้งานดูหนัง ไถฟีด เล่นเกม ดูคอนเทนต์บนหน้าจอต่างๆ ได้แบบเต็มตา สีสันสดใสเป็นธรรมชาติ แสดงผลสีดำและคอนเทนต์ประเภท HDR ได้โอเคเลย ครอบทับด้วยกระจกหน้าจอ Ceramic Shield 2 เพื่อความทนทานของหน้าใช้งานได้แบบไร้กังวล


ความสว่างสูงสุด 3,000 นิต ใช้งานกลางแจ้งเป็นยังไงบ้าง
เพิ่มเติมให้เล็กน้อยสำหรับความสว่างหน้าจอ iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max ปรับความสว่างได้ด้วยตัวเองสูงสุด 1,000 นิต และความสว่าง 1,600 นิต สำหรับคอนเทนต์ HDR ส่วนการดันความสว่างให้ได้ระดับ 3,000 นิต ต้องเป็นการปรับด้วยโหมดปรับความสว่างอัตโนมัติเมื่อออกไปยังกลางแจ้งเท่านั้น
ภาพรวมของหากเทียบกับรุ่นก่อนหน้า iPhone 16 Pro สามารถพูดได้เลยว่า iPhone 17 Pro มีความสว่างหน้าจอที่ดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อใช้งานกลางแจ้งในที่มีแสงแดดจ้า ส่วนกระจกหน้าจอ Ceramic Shield 2 ที่ป้องกันการสะท้อนเงาบนหน้าจอ ตัวของผู้เขียนรู้สึกว่ายังไม่เห็นความแตกต่างจาก iPhone 16 Pro มากสักเท่าไหร่
กล้องหน้า Center Stage ความละเอียด 18MP เซลฟี่ได้สนุกกว่าเดิม

จุดเด่นแรกของ iPhone 17 Pro (ซึ่งจริงๆ ก็เป็นจุดเด่นของ iPhone 17 Series ในปีนี้ทุกรุ่น) ต้องยอมรับเลยครับ ว่าในวันเปิดตัวตัวผู้เขียนไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับ กล้องหน้า Center Stage ของ iPhone 17 สักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้ใช้งานจริงกลับกลายเป็นว่ารู้สึกติดใจไปเสียอย่างนั้น เพราะนี่อาจเป็นมาตรฐานใหม่ของกล้องหน้าที่เราจะได้เห็นสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ปรับตัวตามในภายหลังก็ได้
ความละเอียด 18 ล้านพิกเซลไม่ได้เพิ่มเข้ามาเพื่อให้ภาพคมชัดขึ้นเท่านั้น แต่ทาง Apple เขาคิดมามากกว่านั้นด้วยการเปลี่ยนเซนเซอร์ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้กลายเป็น เซนเซอร์กล้องหน้าทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ช่วยให้เก็บภาพกล้องหน้าได้หลายมุม หากถือตัวเครื่องในแนวตั้งแต่อยากเซลฟี่ภาพในแนวนอนก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องพลิกเครื่องให้เสียเวลาอีกต่อไป
สมมุติว่าหากเราถือตัวเครื่องในแนวตั้งเราจะสามารถเซลฟี่ได้ถึง 4 แบบ ได้แก่ มุมแคบปกติ มุมกว้างพิเศษ มุมกว้างพิเศษ (สลับเป็นแนวนอนด้วยการถือในแนวตั้ง) และมุมแคบปกติ (สลับเป็นแนวนอนด้วยการถือในแนวตั้ง) ข้างล่างคือตัวอย่างภาพที่เซลฟี่จาก iPhone 17 Pro ด้วยการถือตัวเครื่องเป็นแนวตั้งเพียงอย่างเดียว




กล้องซูม 48MP ออปติคัลซูมเหลือแค่ 4 เท่า แต่ความละเอียดเพิ่มขึ้น ช่วยให้ดีขึ้นจริงหรือเปล่า
อีกหนึ่งจุดที่ถือเป็นพระเอกของ iPhone 17 Pro ในปีนี้เลยก็คือ Fusion Telephoto camera หรือกล้องซูมเทเลโฟโต้ปริทรรศน์ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล ออปติคัลซูมระยะ 4 เท่า (จากเดิมความละเอียด 12MP ออปติคัลซูมระยะ 5 เท่า)





ในแง่ของการใช้งานจริงอะไรดีบุ๋มก็ว่าดี ยอมรับเลยว่าถึงจะยังไม่สามารถเทียบกับสมาร์ทโฟนจากฝั่ง Android ได้ แต่ถ้าพูดกันในแง่ของ iPhone หรือการเป็นสมาร์ทโฟนที่ไม่ได้พึ่งอัลกอริธึมประมวลผลภาพด้วย AI แบบจัดจ้านมากเท่าไหร่ รายละเอียดรูปถ่ายในระยะ 4 เท่า จนถึงระยะ 8 เท่า ทำออกมาได้น่าชื่นชม
ระยะการสลับเลนส์ก็ทำออกมาได้อย่างลื่นไหล ดูไร้รอยต่อมากกว่าเดิม แถมคอนทราสต์หรือการจัดการแสง ไปจนถึงการเก็บรายละเอียดในภาพถ่ายของตัวเซนเซอร์ก็ดูใกล้เคียงกับเซนเซอร์กล้องหลักจนสามารถใช้ทดแทนกันได้เลย











ถ่ายภาพ Portrait ได้ระยะที่โดนใจกว่าเดิม
ผู้อ่านบางท่านอาจสงสัยว่า ระยะออปติคัลซูมน้อยลงกว่าเดิมถือว่าเป็นข้อเสียหรือเปล่า ในมุมของผู้เขียนรู้สึกว่าการเปลี่ยนระยะออปติคัลซูมจาก 5 เท่า มาเป็นระยะ 4 เท่า ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ครับ เพราะความละเอียดเซนเซอร์ที่เพิ่มขึ้นมาจากเดิม 12MP เป็น 48MP ทำให้การซูมในระยะหวังผลตั้งแต่ช่วง 5 – 8 เท่า จะยังได้ภาพที่คงรายละเอียดหรือความคมชัดไว้ได้เป็นอย่างดี (ต่างจากเคสที่ปรับจากระยะ 10 เท่า มาเป็นระยะ 5 เท่า)


นอกจากนั้นระยะออปติคัลที่ลดลงมาเป็น 4 เท่า ก็สามารถใช้ประโยชน์จากกล้องเทเลโฟโต้ได้ง่ายกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น การถ่ายภาพ Portrat หรือภาพถ่ายบุคคล โดยปกติแล้วบน iPhone 16 Pro จะมีระยะที่กำหนดมาให้เลือกได้แก่ 1x, 2x และกระโดดไปเป็นระยะ 5x เลย ทำให้เวลาถ่ายต้องถอยหลังไปไกลห่างจากตัวแบบพอสมควร
ตัวผู้เขียนจึงรู้สึกว่า ระยะออปติคัลซูมเข้ามาเป็น 4 เท่า เป็นระยะที่ใช้งานได้ง่ายกว่า แถมยังพอดีกับถ่ายภาพ Portrait มากกว่าด้วย iPhone 17 Pro มาถูกทางพอสมควรที่ปรับระยะออปติคัลมาเป็นแบบนี้ สายถ่ายภาพน่าจะถูกอกถูกใจกันไม่น้อย






กล้องหลักคมชัดเหมือนเดิม แต่สกินโทนหรือโทนภาพอาจจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
กล้องหลักความละเอียด 48MP ในเรื่องของความคมชัดทำได้ดีเหมือนเดิม ไม่ได้แตกต่างไปจาก iPhone 16 Pro ถ้าจะหาจุดต่างของทั้งสองรุ่นก็คงเป็น คอนทราสต์และการจัดการไดนามิคเรนจ์ ที่ดีขึ้นจากรุ่นก่อนหน้า โดยเฉพาะการถ่ายภาพในสภาวะที่แสงน้อยหรือการจัดการนอยส์ที่ทำได้ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟน Android บางรุ่นในเซกเมนต์เดียวกัน




แต่สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นปัญหาอยู่ก็คือ การเก็บรายละเอียดพื้นผิวในจุดเล็กๆ ของฉากหลังที่ยังดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติสักเท่าไหร่ ส่วนโทนภาพหรือสกินโทนเป็นยังไงหากเทียบกับ iPhone 16 Pro ตรงนี้เป็นเรื่องปัจเจกขึ้นอยู่กับความเคยชินหรือความชอบของผู้ใช้งานแต่ละคนเลยครับ ส่วนตัวมองว่าตัดสินได้ยากพอสมควรที่จะสรุปว่า iPhone 16 Pro กับ iPhone 17 Pro รุ่นไหนถ่ายภาพสวยกว่ากัน













Dual Capture ของเล่นใหม่ที่ฝั่ง Android ได้เล่นกันมาสักพักแล้ว
iPhone 17 Pro ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 60fps กับกล้องทั้งสามตัว หรือความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 120fps สำหรับเซนเซอร์กล้องหลักในระยะ 1x และ 2x แต่สิ่งที่เราตั้งตารอจะได้ใช้งานจริงๆ ก็คือ โหมดการถ่ายวิดีโอคู่หรือ Dual Capture ของเล่นใหม่บน iPhone 17 Seires ที่ให้เราบันทึกวิดีโอกล้องหน้าและกล้องหลังพร้อมกันได้


การใช้โหมด Dual Capture เราจะบันทึกวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุด 4K ที่ 30fps ความลื่นไหลหรือความสมูทไม่ต้องพูดถึงเลย iPhone ขึ้นชื่อเรื่องความสมูทของงานวิดีโอยังไง Dual Capture ที่บันทึกทั้งกล้องหน้ากับกล้องหลังพร้อมกันก็ทำได้ดีตามมาตรฐาน แถมระหว่างการบันทึกยังสามารถย้ายตำแหน่งของหน้าต่างย่อยไปมาได้อีกด้วย
จุดที่เสียดายคงจะเป็น Dual Capture ไม่สามารถบันทึกไฟล์วิดีโอของกล้องหน้ากับกล้องหลังแยกต่างหาก เหมือนกับทางฝั่ง Android ได้ ดังนั้นการนำวิดีโอไปใช้ทำงานต่อในขั้นตอน Post-Production ก็อาจจะมีข้อจำกัดอยู่พอสมควรในเรื่องของการปรับแต่ง (แต่จริงๆ ก็แอบสงสัยนะว่าทำได้ดีแบบนี้ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่ใส่มาให้ใช้งานได้)
iOS 26 ระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุดที่ทำให้ iPhone น่าใช้มากกว่าเดิม
iPhone Air และ iPhone 17 Series ทุกรุ่นมาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 26 เวอร์ชันล่าสุดตั้งแต่เปิดเครื่องครั้งแรก DroidSans เคยเขียนสรุปฟีเจอร์ใหม่บน iOS 26 ไปก่อนหน้านี้แล้ว สามารถตามไปอ่านกันได้ที่บทความเพื่อดูรายละเอียดน่าสนใจเพิ่มเติมได้เลยครับ
iOS 26 คือระบบปฏิบัติการที่มาได้ถูกจังหวะพอดิบพอดีในช่วงที่ iPhone 17 Series เปิดตัว ดีไซน์กระจกใส Liquid Glass ที่แอนิเมชันลื่นไหล เอฟเฟกต์เงาสะท้อนของกระจกที่ทำออกมาอย่างละเมียดละไม และการปรับแต่งหน้าจอล็อกหรือหน้าโฮมสกรีนที่ทำได้มากขึ้น จากประสบการณ์ที่ได้ใช้งาน iPhone 17 Pro ทำให้ผู้เขียนรู้สึกได้ทันทีว่าซอฟต์แวร์ iOS มีชีวิตชีวาหรือสีสันมากกว่าเดิม ไม่ดูน่าเบื่อหรือแข็งทื่อแบบแต่ก่อนแล้ว



อันนี้แอบแนะนำเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้สักหน่อยครับ หากใครที่รู้สึกว่าใช้งานไปแล้ว Liquid Glass มันดูมีพื้นผิวที่ค่อนข้างจะโปร่งใสไปสักหน่อยจนทำให้ใช้งานหรือดูข้อความบนเมนูต่างๆ ลำบาก เราสามารถไปที่หน้าตั้งค่าเพื่อลดความโปร่งใส่ตรงนี้ได้ด้วยวิธีนี้ครับ
- ไปที่ “การตั้งค่า”
- ไปที่เมนู “การช่วยการเข้าถึง”
- เลือกที่เมนู “จอภาพและขนาดข้อความ”
- ให้กดเลือก “ลดความโปร่งใส”


Apple Intelligence ที่ชาวไทยยังคงรอคอยแบบมีความหวัง
น่าเสียดายที่ Apple Intelligence นับตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปี 2024 จนถึงช่วงปลายปี 2025 ที่เปิดตัว iPhone 17 Series ก็ยังไม่มีวี่แววที่ฟีเจอร์สุดล้ำของทาง Apple จะรองรับการใช้งานในภาษาไทยสักที ดังนั้นในหัวข้อนี้เราจะขอละเว้นเอาไว้ก่อนครับ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้กลับมาคุยกันในสักวันหนึ่งที่ Apple Intelligence รองรับภาษาไทย (แต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่แน่ใจ)


ชิปเซ็ต A19 Pro ที่รู้กันอยู่แล้วว่าแรงขนาดไหน
iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max มาพร้อมชิป Apple A19 Pro รุ่นใหม่ที่แรงสุดของปีนี้ที่ผลิตบนเทคโนโลยีขนาด 3 นาโนเมตร นอกจากนั้นรอบนี้ยังอัปเกรด RAM ให้เยอะขึ้นกว่าเดิมเป็นขนาด 12GB เพื่อรองรับการทำงานของ Apple Intelligence
เท่านั้นยังไม่พอครับ Apple เขารู้ว่าชิปเซ็ตที่แรงขึ้นย่อมมาพร้อมกับความร้อนที่สูงขึ้น iPhone 17 Pro เลยใส่ระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ที่ช่วยกระจายความร้อนไปรอบๆ ตัวเครื่อง และเปลี่ยนมาใช้โครงสร้างเฟรมอะลูมิเนียมที่มีคุณสมบัติดึงความร้อนออกไปได้ดีกว่าไทเทเนียม ทำให้จัดการกับอุณหภูมิได้ดีขึ้นกว่าเดิม


การใช้งานทั่วไปไม่ว่าจะเป็นการเล่นโซเชียล ดูหนัง ฟังเพลง หรือชำระเงินออนไลน์ เครื่องทำงานได้ลื่นไหลไร้ปัญหาใดๆ แต่อาจรู้สึกได้ว่าตัวเครื่องมีอาการอุ่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อใช้งานกลางแจ้งที่มีแสงแดงหรืออุณหภูมิร้อนจัด แต่ก็ไม่ถึงขั้นรบกวนการใช้งานสักเท่าไหร่
รายละเอียด | Geekbench 6 | AnTuTu | 3DMark Extreme Stress Test |
iPhone 17 Pro | Single-core : 3,815 คะแนน Multi-core : 9,766 คะแนน | 2,351,643 คะแนน | Best Loop : 5,427 คะแนน Stability : 61.5% |
iPhone 17 Pro Max | Single-core : 3,633 คะแนน Multi-core : 9,570 คะแนน | 2,393,399 คะแนน | Best Loop : 5,482 คะแนน Stability : 68.2% |


นำไปทดสอบเล่นเกมในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา Vapor Chamber ช่วยการจัดการความร้อนได้ดีขึ้นแบบรู้สึกได้เลย กว่าจะเริ่มรู้สึกอุ่นมือก็ต้องใช้เวลาประมาณ 10 นาที แต่ถ้าจะเอาแบบรู้สึกเลยว่าเครื่องร้อนก็ต้องเล่นต่อเนื่องเกิน 30 นาทีขึ้นไป แต่ก็ไม่ส่งผลกับ Performance ของเกมให้มีอาการหน่วงหรือเฟรมเรตดรอปนะครับ
สิ่งสำคัญที่ชอบที่สุดบน iPhone 17 Pro เลยก็คือ ไม่เจออาการลดแสงหน้าจอแบบหลายระดับในทีเดียว เหมือนกับรุ่นก่อน ยกตัวอย่างเช่น iPhone 16 Pro ในปีที่แล้วซึ่งเล่น Genshin Impact ไปได้เพียงแค่ 10-15 นาที ก็เจออาการเครื่องร้อนมากจนส่งผลกับประสิทธิภาพหรือการทัชหน้าจอไปแล้ว หนักถึงขั้นที่แสงหน้าจอลดจาก 100% เหลือเพียงแค่ประมาณ 40% เลยก็มีมาแล้ว
ทดสอบเล่น Genshsin Impact
Genshin Impact เล่นได้ลื่นไหลถึงแม้จะตั้งกราฟิกเป็นระดับสูงสุดพร้อมกับเฟรมเรท 60fps ข้อสังเกตที่เจอคือภาพมักจะโหลดไม่ทันเวลาหันหรือเปลี่ยนมุมกล้องไปมาเร็วๆ ไปจนถึงอาการกระตุกเล็กน้อยตอนโหลดฉากใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเกมนี้เวลาเล่นบนสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว (จะ iPhone หรือ Android แบรนด์ไหนก็ไม่รอด)
สิ่งที่ต้องชื่นชมเลยก็คือ ไม่มีอาการเฟรมร่วงไปต่ำกว่า 40fps – 50fps และที่สำคัญก็คือ ไม่เจออาการเฟรมเรตดรอปเพราะความร้อน ต่างจาก iPhone 16 Pro ที่เราเคยกล่าวถึงไปก่อนหน้านี้

ทดสอบเล่น Zenless Zone Zero
ขยับมาดูกันที่เกม Zenless Zone Zero ถึงแม้ว่าจะเล่นได้ที่กราฟิกระดับสูงสุดก็จริง แต่ความร้อนตัวเครื่องค่อนข้างพุ่งเร็วกว่าตอนเล่น Genshin Impact อยู่พอสมควร โดยเฉพาะในฉากต่อสู้ที่มีเอฟเฟกต์เยอะๆ เราจะรู้สึกได้ว่ามีจังหวะที่เฟรมไทม์แกว่งหรือกระตุกบ้างเล็กน้อย

ยังไงก็ตาม iPhone 17 Pro ถือว่าเป็น iPhone ที่สามารถเล่น Zenless Zone Zero ได้ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ หากเปรียบเทียบกับการเล่นบน PC เครื่องใหญ่ ประสิทธิภาพถือว่าได้คะแนนราว 8/10 สรุปหลังจบการเล่นตัวเครื่องร้อนอยู่ในระดับที่ร้อนมาก แต่เฟรมเรตก็ยังเสถียรตามเดิม ไม่ร่วงเพิ่มไปมากกว่านี้แล้ว
การกระจายความร้อนที่น่าประทับใจของ iPhone 17 Pro
ถึงแม้ iPhone 17 Pro Max จะปล่อยความร้อนออกมาที่ตัวเครื่องเหมือนเดิม แต่รูปแบบการกระจายความร้อนเปลี่ยนไปจาก iPhone 16 Pro Max อย่างเห็นได้ชัดครับ เดิมทีความร้อนมักกระจุกตัวอยู่บริเวณปุ่มเพิ่ม–ลดเสียงและแผงฝาหลัง แต่ครั้งนี้กลับกระจายไปทั่วเฟรมเครื่องกว่าเดิม โดยเฉพาะบริเวณฐานกล้องซึ่งเป็นตำแหน่งของชิปประมวลผล ในขณะเดียวกันส่วนของกระจกฝาหลังบริเวณ MagSafe กลับมีความร้อนที่น้อยกว่ามากๆ เพราะความร้อนถูกระบายออกไปจุดอื่นแทน

สำหรับผู้อ่านที่มักจับตัวเครื่องแบบเต็มฝ่ามือเวลาเล่นเกม (Palm Grip) อาจยังรู้สึกถึงความร้อนอยู่บ้าง แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้การจับด้วยปลายนิ้ว (Claw Grip) ก็จะรู้สึกสบายมือขึ้นพอสมควรเลย ดังนั้นสรุปและคอนเฟิร์มได้ทันทีเลยครับว่า Vapor Chamber บน iPhone 17 Pro ช่วยลดการสะสมความร้อนได้จริง
แบตเตอรี่ความจุเยอะกว่าเดิม ชาร์จเร็วกว่าเดิมเป็นยังไง
ในตอนเปิดตัว Apple ระบุว่า iPhone 17 Pro สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้สูงสุด 50% ภายในเวลา 20 นาที ด้วยอะแดปเตอร์ความเร็ว 40W หรือสูงกว่า และสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 50% เมื่อชาร์จด้วยอะแดปเตอร์ความเร็ว 30W พวกเราเลยนำทั้ง iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max มาทดสอบการชาร์จด้วย อะแดปเตอร์ Samsung ความเร็ว 45W โดยได้ผลสรุปออกมาตามตารางข้างล่างนี้เลยครับ

รายละเอียด | 15 นาที | 30 นาที | เวลาชาร์จเต็ม 100% |
iPhone 17 Pro (3,988 mAh) | ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 38% | ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 71% | ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 18 นาที |
iPhone 17 Pro Max (4,823 mAh) | ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 37% | ชาร์จแบตเตอรี่ได้ 66% | ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมง 11 นาที |
ทั้งนี้ตัวเลขที่เป็นความจุแบตเตอรี่ของ iPhone 17 Pro รุ่นใส่ซิมทั้งสองโมเดล เราระบุจากข้อมูลที่ MacRumors สรุปเอาไว้ด้วยการอ้างอิงมาจากคลิปวิดีโอของ REWA Technology ซึ่งทำการแกะเครื่องหรือโครงสร้างภายในออกมาดูครับ
Screen on Time ของ iPhone 17 Pro Max จะอยู่ที่ 5 ชั่วโมง 9 นาที สำหรับการใช้งานเล่นเกม Genshin Impact, Zenless Zone Zero และดู YouTube ทั้งหมดนี้ใช้แบตเตอรี่ไป 85% ดังนั้นหากเป็นการใช้งานปกติ เช่น รับสายโทรเข้า-ออก ตอบแชท ดูวิโอ ไถฟีดโซเชียล ฟังเพลง เล่นเกมบ้างระหว่างวันยังไงแบตเตอรี่ก็อยู่ได้ครบ 1 วันเต็มแน่นอนครับ!



สรุปการใช้งาน iPhone 17 Pro
หลังจากได้ใช้งาน iPhone 17 Pro ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องบอกว่าภาพรวมในปีนี้ อัปเกรดมาได้แบบถูกทาง ถึงแม้ดีไซน์โมดูลกล้องใหม่ที่ยาวเต็มด้านบนฝาหลังอาจดูแปลกตาไปสักหน่อยแต่เชื่อว่าเวลาจะเยียวยาทุกสิ่ง และทำให้เราคุ้นชินไปเองในสักวันครับ แถมฮาร์ดแวร์กล้องเลนส์เทเลโฟโต้ก็ได้รับการยกเครื่อง อัปเกรดความละเอียดเป็น 48MP และกล้องหน้า Center Stage ความละเอียด 18MP

ถึงแม้ว่ากล้อง Fusion Telephoto Camer จะถูกลดระยะออปติคัลซูมเหลือเพียง 4 เท่า แต่เมื่อเทียบกับความละเอียดที่เพิ่มขึ้นมากับความสมูทในการสลับเลนส์ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า และสามารถใช้งานจริงได้บ่อยกว่าเดิมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกับการถ่าย Portrait ที่มีระยะใช้งานกำลังดี
ถึงแม้จะเป็นการอัปเกรดที่ทำออกมาได้ดีกว่าที่คิด แต่ก็ต้องยอมรับว่าภาพรวม iPhone 17 Pro ยังมีการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าที่คิดพอสมควร ผู้อ่านคนไหนที่กำลังใช้งาน iPhone 16 Pro อยู่แล้ว และไม่ได้รีบร้อนหรือมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนมาใช้ iPhone 17 Pro อดทนรอดูเพื่อลุ้นสเปค iPhone 18 Series ในปีหน้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจครับ
Comment