iPhone Air เป็นหนึ่งใน iPhone ที่ฉีกกรอบการออกแบบของ Apple อย่างชัดเจน จนกลายเป็นรุ่นที่ถูกจับตามองและเป็นที่ฮือฮามากที่สุดในปีนี้ ด้วยแนวคิดการนำจุดเด่นของความบางและเบามาผสานเข้ากับประสิทธิภาพระดับเรือธง ทำให้ iPhone Air ถูกวางตำแหน่งมาเพื่อคนที่ต้องการสมาร์ตโฟนที่พกพาสะดวก ใช้งานคล่อง แต่ก็ยังไม่ทิ้งประสบการณ์ในแบบฉบับ iPhone รุ่นโปร

Apple เลือกใส่นวัตกรรมที่จำเป็นเข้ามาอย่างครบถ้วน พร้อมตัดส่วนเกินที่ไม่จำเป็นออก เพื่อรีดเค้นให้ได้สมาร์ตโฟนที่บางที่สุดเท่าที่เคยมีมา ดีไซน์เรียบหรูจนหลายเสียงยกให้เป็น iPhone ที่สวยที่สุดในปีนี้ แต่ความบางและเบาก็แลกมาด้วยข้อสังเกตหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกล้องที่เหลือเพียงตัวเดียว ความจุแบตเตอรี่ที่น้อยลง ลำโพงเพียงด้านเดียว รวมถึงความแข็งแรงของตัวเครื่องที่อาจจะไม่เท่ารุ่นพี่ ๆ หรือไม่

หลายคนจึงอาจสงสัยว่า iPhone Air รุ่นนี้จะตอบโจทย์การใช้งานจริงได้มากน้อยแค่ไหน และคุ้มค่ากับการเลือกหรือไม่ วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง

ดีไซน์บางเฉียบเหมือนไม่ได้ใส่ เพียง 5.6 มม.

iPhone Air มาพร้อมความบางเพียง 5.6 มม. และน้ำหนักเพียง 165 กรัม ถือว่าเป็นหนึ่งใน iPhone ที่เบาที่สุดตั้งแต่มีมา เวลาได้ลองจับครั้งแรกจะรู้สึกเบาจนแทบเหมือนไม่ได้ถือสมาร์ตโฟนอยู่เลย จุดที่น่าสนใจคือ Apple ออกแบบการกระจายน้ำหนักได้ดีมาก ทำให้เครื่องไม่เทไปทางโมดูลกล้อง ถือใช้งานมือเดียวได้อย่างสบาย

ด้านสีสันเปิดตัวมาทั้งหมด 4 เฉด ได้แก่ สีดำ (Space Black), สีขาว (Cloud White), สีทอง (Light Gold) และ สีฟ้า (Sky Blue) ซึ่งสองสีหลังหากมองผ่าน ๆ อาจแยกไม่ออกทันทีว่าเป็นสีทองหรือฟ้า เพราะโทนสีค่อนข้างอ่อน เน้นความละมุนแบบเดียวกับแนวทางของ MacBook Air รุ่นล่าสุด

วัสดุยังคงเน้นพรีเมียมเหมือนเช่นเคย ด้านหลังเป็นกระจกผิวด้านที่ให้สัมผัสดี ส่วนขอบตัวเครื่องทำจากไทเทเนียมที่โค้งรับกับกระจกหน้า-หลังอย่างลงตัว รอบนี้เลือกใช้การขัดผิวแบบมันเงา (Glossy) ที่ช่วยเสริมความหรูหรา แต่ก็มาพร้อมข้อสังเกตเรื่องความลื่นมือและเกิดรอยนิ้วมือได้ง่ายกว่าผิวด้าน

แม้ตัวเครื่องจะบางเฉียบ แต่ตำแหน่งปุ่มกดยังคงอยู่ครบ ไม่เว้นแม้แต่ Camera Control ที่ถูกออกแบบให้บางลงตามเครื่อง เพียงแต่ในการใช้งานจริงอาจกดยากกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อย

นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดด้านดีไซน์ที่น่าสนใจ เช่น โมดูลกล้องหลังที่นูนยาวออกมาจากตัวเครื่อง ลักษณะคล้ายกับแถบกล้องของ Google Pixel หลายรุ่น แต่แตกต่างกันตรงที่ Pixel ใช้พื้นที่นั้นสำหรับชุดกล้องทั้งหมด ขณะที่ iPhone Air ส่วนใหญ่ภายในถูกจัดสรรให้กับแผงวงจร โดยมีเพียงกล้องหลักความละเอียด 48 ล้านพิกเซล พร้อมแฟลชและไมโครโฟนตัดเสียงติดตั้งมาเพียงชุดเดียวเท่านั้น

ที่ฝาหลังยังคงรองรับ MagSafe วางตำแหน่งตรงกลางได้อย่างพอดี ไม่เบี้ยวเหมือนที่เคยเจอในบางรุ่นของตระกูล Pro ส่วนด้านล่างตัวเครื่องให้พอร์ต USB-C (มาตรฐาน 2.0) และไมโครโฟน แต่ไม่มีลำโพงหลัก เพราะ Apple เลือกย้ายไปไว้ด้านบนรวมกับ earpiece แทน อันเป็นผลจากข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ภายในที่ต้องออกแบบให้บางที่สุด

คาดว่า Apple จัดวางโครงสร้างใหม่โดยย้ายชิ้นส่วนสำคัญอย่างเซนเซอร์กล้อง เมนบอร์ด และแผงวงจรหลักไปอยู่บริเวณโมดูลกล้องทั้งหมด เพื่อให้พื้นที่ที่เหลือสามารถใช้เป็นแบตเตอรี่ได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้ต้องตัดลำโพงตัวที่สองออกไป เพื่อแลกกับความบางเฉียบของ iPhone Air

ปิดท้ายด้วยการตัดถาดซิมการ์ดออกไปโดยสมบูรณ์ รุ่นนี้รองรับเฉพาะ eSIM เท่านั้น สามารถเพิ่มหมายเลขได้มากกว่า 8 เบอร์ แต่เปิดใช้งานพร้อมกันได้สูงสุดเพียง 2 หมายเลข

เครื่องบางแต่แข็งแรง

หลายคนอาจกังวลเรื่องความแข็งแรงของ iPhone Air เพราะความบางระดับนี้ทำให้นึกถึง iPhone 6 ในยุค “Bendgate” แต่จากผลการทดสอบที่สื่อต่างประเทศเผยแพร่ออกมา พบว่าตัวเครื่องแข็งแรงกว่าที่คิดมาก ต้องออกแรงกดเกือบ 100 กิโลกรัม ถึงจะทำให้เครื่องงอได้

ดังนั้นใครที่กลัวว่าพอใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเผลอนั่งทับ กลัวเครื่องพัง คงบอกได้ว่าหายห่วงในระดับหนึ่ง เพียงแต่ก็ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่าหากตัวเครื่องงอเล็กน้อยจากการใช้งานจริง จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในระยะยาวหรือไม่

จับถือแล้ว “ฟีลกู๊ด” มาก ๆ

จากที่ได้ลองใช้งานจริง ต้องบอกว่าการจับถือนั้นทำออกมาได้ดีมาก ๆ ตัวเครื่องเบาและบางจนสามารถถือเล่นต่อเนื่องนาน ๆ โดยไม่รู้สึกเมื่อยมือ การขยับนิ้วไปมาเพื่อใช้งานบนหน้าจอก็ทำได้สะดวก ปรับเปลี่ยนท่าจับมือได้อย่างคล่องตัว ทำให้นึกถึงตอน iPod Touch Gen แรก ๆ ที่ฝาหลังโค้งเป็นหลังเต่าและยังไม่มีกล้องเลย

สิ่งที่เห็นชัดเจนคือเรื่องน้ำหนัก พอใช้ iPhone Air แล้วกลับไปจับ iPhone 16 Pro Max ที่ใช้อยู่ประจำ จะรู้สึกถึงความต่างทันที เครื่องดูหนักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้การพกพาก็สะดวก ใส่ในกระเป๋ากางเกงยีนส์ทรงขาเดฟก็ยังหยิบเข้าออกง่าย แม้ตัวเครื่องจะมีหน้าจอใหญ่ก็ตาม เพียงแต่ด้วยความที่ตัวเครื่องเบามาก เวลาถือใช้งานกลางแจ้งเจอลมแรง ๆ ก็มีจังหวะที่เกือบปลิวหลุดมือเหมือนกัน

ลำโพงตัวเดียวใช้แล้วมีปัญหาไหม

สำหรับลำโพงที่เหลือเพียงตัวเดียว หลายคนอาจกังวล แต่จากที่ลองใช้งานพบว่าคุณภาพเสียงยังคงมาตรฐานของ iPhone เสียงมีมิติพอสมควร ทั้งเสียงกลาง แหลม และเบส ไม่ใช่ลำโพงที่ฟังแล้วแห้งจนขาดอรรถรส ฟังเพลงหรือดูซีรีส์ก็ถือว่าใช้ได้อยู่ เพียงแต่หากเป็นการเล่นเกมหรือดูหนังที่ต้องการมิติเสียงซ้าย-ขวาชัด ๆ จะสู้ระบบสเตอริโอในรุ่นอื่นไม่ได้ รวมถึงความดังโดยรวมก็น้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ข้อสังเกตสำคัญที่เจอกับตัวคือปัญหาเสียงเรียกเข้า บางครั้งหากวางเครื่องไว้ไกล ๆ อาจไม่ได้ยิน โดยเฉพาะถ้าวางเครื่องคว่ำหน้าลงบนโต๊ะ ยิ่งแทบไม่ได้ยินเสียงเลย ถือเป็นจุดที่ต้องระวังในการใช้งานจริง

หน้าจอ

iPhone Air มาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR OLED ขนาด 6.5 นิ้ว ความละเอียด 2736×1260 พิกเซล ที่รองรับรีเฟรชเรต 120Hz ตามมาตรฐาน การแสดงผลทำได้ยอดเยี่ยมเหมือนที่คุ้นเคยกับ iPhone รุ่นโปร ความสว่างสูงสุดอยู่ที่ 1,000 นิต (ทั่วไป), 1,600 นิต (HDR) และสูงสุดถึง 3,000 นิต เมื่อต้องใช้งานกลางแจ้ง ขณะที่ความสว่างต่ำสุดลดได้ถึง 1 นิต เหมาะสำหรับการใช้งานในที่มืด

ด้านความทนทาน Apple ใช้กระจก Ceramic Shield 2 ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมเคลือบสารลดแสงสะท้อน ทำให้ใช้งานกลางแจ้งได้สบายขึ้นกว่ารุ่นก่อนเล็กน้อยแบบเล็กน้อยจริง ๆ ใช้งานแล้วก็ยังรู้สึกว่ามีแสงสะท้อนบนหน้าจอเยอะอยู่ดีเมื่อเทียบกับ Samsung Galaxy S25 Ultra

เหนือหน้าจอแสดงผลยังคงใช้ Dynamic Island ที่บรรจุกล้องหน้าความละเอียด 18 ล้านพิกเซล รองรับฟีเจอร์ Center Stage พร้อมเซนเซอร์สแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ Face ID ขอบบนของหน้าจอยังมีช่องลำโพงและไมโครโฟนในตัวเช่นเดิม สิ่งที่ต่างกับ iPhone รุ่นอื่นเล็กน้อยคือตำแหน่งกล้องหน้าย้ายมาอยู่ด้านซ้าย จากปกติที่อยู่ด้านขวา

จากการใช้งานจริง หน้าจอของ iPhone Air ยังคงให้ประสบการณ์ที่ “ดีแบบเดิม” ของ iPhone สีสันสด คมชัด มุมมองกว้าง ขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้วถือว่ากำลังพอดี ไม่เล็กเกินไปสำหรับการดูคอนเทนต์ และไม่ใหญ่จนเกินไปสำหรับการถือใช้งานทั่วไป ที่สำคัญคือความสว่างกลางแจ้งทำได้ดีกว่าที่คิด ใช้งานกลางวันแล้วจอมองเห็นชัดเจนมากขึ้น

กล้อง

iPhone Air มาพร้อมกล้องหลังความละเอียด 48MP ระยะ 26 มม. ค่ารูรับแสง f/1.6 พร้อมระบบกันสั่น OIS แบบ Sensor-Shift และ Focus Pixels 100% รองรับการถ่ายภาพความละเอียดสูงทั้ง 24MP และ 48MP จุดที่ Apple หยิบมาโปรโมตคือ “การมีระยะกล้องให้เลือก 4 ระยะ” ได้แก่ 26 มม. (1x), 28 มม. (1.1x), 35 มม. (1.4x) และ 52 มม. (2x) แม้ความจริงแล้ว iPhone Air จะมีกล้องเพียงตัวเดียว แต่ใช้การครอปภาพและประมวลผลเข้ามาช่วยแทน

ตรงนี้จึงกลายเป็น ดาบสองคม ในมุมหนึ่งมันช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการถ่ายภาพ ดูเหมือนมีเลนส์หลายระยะ แต่ในอีกมุมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า iPhone Air ไม่มีเลนส์เสริม แบบรุ่นโปร ถ่ายอัลตร้าไวด์ไม่ได้, เทเลโฟโต้จริงก็ไม่มี และแน่นอนว่าถ่ายมาโครก็ทำไม่ได้ สุดท้ายประสบการณ์การใช้งานกล้องเลยใกล้เคียงกับรุ่นเริ่มต้นอย่าง iPhone XR หรือ iPhone 16e มากกว่าจะเทียบเคียงกับ iPhone รุ่นโปร ทั้งที่ราคาห่างกันเพียงไม่กี่พันบาท

ด้านคุณภาพของภาพถ่ายยังคงมาตรฐานในสไตล์ iPhone สีสันสด โทนภาพคม โฟกัสแม่นและเชื่อถือได้ รอบนี้ Apple มีการปรับโทนสีเล็กน้อยให้ Skin Tone ดูดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ซีดจืดเหมือนบางเจนที่ผ่านมา แต่ก็ยังคงเก็บริ้วรอยครบถ้วนเช่นเดิม และบางภาพเจอปัญหาตัวแบบหน้ามืดไปเล็กน้อย ทำให้ถ่ายคนออกมาแล้วยังต้องพึ่งการแต่งภาพต่ออยู่บ้าง

สำหรับการถ่ายทั่วไป ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐาน ภาพคมชัด โฟกัสเร็ว ไดนามิกเรนจ์กว้าง แต่ในแง่โทนสี iPhone Air ก็ยังคงคาแรกเตอร์ดั้งเดิมของกล้อง iPhone คือภาพจากเลนส์ 48MP มักติดโทนเขียวเทา (ที่สืบทอดมาตั้งแต่ iPhone 14 Pro) และยังมีความอมเหลืองเล็กน้อยตามสไตล์ที่คุ้นเคย

ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางวัน

ตัวอย่างภาพถ่ายเวลากลางคืน

ตัวอย่างภาพถ่ายคน

กล้องตัวเดียวพอไหม

สำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น ถ่ายรูปเล่น ๆ หรือเก็บภาพในชีวิตประจำวัน กล้องตัวเดียวของ iPhone Air ต้องบอกว่า เพียงพอแล้ว เพราะคุณภาพภาพถ่ายยังคงมาตรฐานแบบ iPhone ที่ไว้ใจได้ แต่คำถามคือ “แล้วเราจะคิดถึงกล้องตัวอื่น ๆ ตอนไหน?”

เลนส์ Ultra Wide จะถูกนึกถึงทันทีเมื่ออยากถ่ายวิวกว้าง ๆ เช่น ภาพ Landscape ให้ดูอลังการ หรือเวลาถ่ายตึกสูงที่อยากเก็บครบทั้งเฟรม ส่วนเลนส์ Telephoto มักจะคิดถึงตอนถ่ายวัตถุหรือคนแบบเจาะใกล้ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่าย Portrait ให้มีฉากหลังละลาย หรือถ่ายโมเดลที่มีแค่ชิ้นเดียวในเฟรม ไปจนถึงการซูมสไลด์ในห้องประชุม ซึ่งบอกเลยว่า iPhone Air ทำได้แค่พอใช้ แต่ยังห่างไกลจากมือถือที่เน้นซูมจริงจังอย่าง Galaxy S25 Ultra หรือ Vivo X200 Pro ที่ขึ้นระดับเทพไปแล้ว

อีกเรื่องที่หลายคนอาจไม่ได้คิดถึง แต่เชื่อว่าได้ใช้แน่ ๆ คือ การถ่ายมาโคร เพราะการถ่ายวัตถุใกล้ ๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น ถ่ายเอกสาร ถ่ายอาหาร หรือเก็บรายละเอียดเล็ก ๆ ซึ่ง iPhone รุ่นที่มีกล้อง Ultra Wide สามารถใช้เลนส์นั้นทำหน้าที่มาโครได้เลย แต่ iPhone Air ที่มีกล้องเดียวกลับทำไม่ได้ เนื่องจากระยะโฟกัสของเลนส์ 48MP ไม่รองรับการถ่ายใกล้ขนาดนั้น กลายเป็นข้อจำกัดที่สัมผัสได้จริงในการใช้งาน

ตัวอย่างภาพถ่าย 4 ระยะ

กล้องหน้า

iPhone Air มาพร้อมกล้องหน้า เซ็นเซอร์ใหม่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ความละเอียด 18MP รองรับฟีเจอร์ Center Stage ช่วยให้การถ่ายเซลฟี่และวิดีโอคอลสนุกและคล่องตัวขึ้น ภาพที่ได้มีความคม สีผิวดูธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน และให้มุมมองที่กว้างขึ้นจนไม่ต้องยืดแขนมากนักเวลาถ่ายเซลฟี่

คาแรกเตอร์ของภาพยังคงไปในทิศทางเดียวกับกล้องหลัง คือ คมชัดจนริ้วรอยก็ยังเก็บครบ แต่ข้อดีคือ Skin Tone ดีขึ้น ดูสมจริงขึ้นกว่ารุ่นก่อน ถ่ายออกมาแล้วถ้าแต่งต่อสักหน่อยก็ดูดีได้ไม่ยาก

สำหรับปัญหาโลกแตกที่หลายคนบ่นกันว่า “กล้อง iPhone ถ่ายคนไม่สวย” ก็แก้ได้ง่าย ๆ ด้วยฟีเจอร์ Photographic Styles ที่ใส่มาให้ตั้งแต่ iPhone 16 ซึ่งสามารถเลือกปรับโทนภาพให้ดูดีขึ้นได้ทันที และในปีนี้ Apple ยังเพิ่มเอฟเฟกต์ใหม่ ๆ เข้ามาอีก หลายคนลองแล้วบอกว่าเริ่ด ใช้ง่ายและช่วยให้ภาพออกมาดูน่าสนใจกว่าเดิม

ฟีเจอร์นี้สามารถใช้งานได้ทั้งก่อนถ่ายและหลังถ่าย แต่หากต้องการปรับแต่งภายหลัง จำเป็นต้องบันทึกไฟล์เป็น HEIC เท่านั้น เพราะ JPEG จะไม่รองรับการแก้ไขในภายหลัง

ตัวอย่างภาพถ่ายกล้องหน้า

งานวิดีโอระดับเทพ

งานวิดีโอของ iPhone Air ยังคงมาตรฐานระดับสูงไว้ได้เหมือนเดิม ทั้งความคมชัด เฟรมเรตที่ลื่นไหล สีสันที่เที่ยงตรงสมจริง รวมถึง Dynamic Range ที่กว้างและการจัดการแสงที่สมดุล จุดเด่นอีกอย่างคือระบบกันสั่นที่ไว้ใจได้ ด้วยการทำงานร่วมกันระหว่าง Sensor Shift OIS และซอฟต์แวร์ประมวลผลของ Apple ที่พัฒนามาอย่างยาวนาน ต่อให้ไม่ได้เปิดโหมดเสริมใด ๆ วิดีโอก็ออกมาดูดีในระดับพร้อมใช้งาน

สิ่งที่ถือว่า “พิเศษ” สำหรับรุ่นนี้ก็คือเวลา ซูมวิดีโอไม่มีอาการกระตุกจากการสลับเลนส์ เพราะ iPhone Air มีกล้องเพียงตัวเดียว การเปลี่ยนระยะซูมจึงทำด้วยการครอปภาพ ทำให้ได้การซูมต่อเนื่องที่ราบรื่นและเป็นธรรมชาติ

ส่วนกล้องหน้าก็ทำได้ดีเกินคาด จากการใช้ เซนเซอร์ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่สามารถครอปภาพให้เหมาะทั้งแนวตั้งและแนวนอน ทำให้ถ่ายวิดีโอได้สะดวกขึ้นมาก จะถ่ายแนวตั้งลง TikTok หรือแนวนอนทำ Vlog ก็ทำได้โดยไม่เสียคุณภาพ การถือถ่ายรู้สึกถนัดมือ ไม่รบกวนสายตาคนรอบข้าง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายคลิปสั้น ๆ หรือทำคอนเทนต์ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน

ประสิทธิภาพเป็นอย่างไร ร้อนขนาดไหน

iPhone Air มาพร้อมชิป Apple A19 Pro รุ่นรองท็อป (ถูกตัด GPU ออกไป 1 แกน) ซึ่งเป็นรองเพียง iPhone 17 Pro และ 17 Pro Max รอบนี้เพิ่มแรมมาเป็น 12GB เท่ากับรุ่น Pro เพื่อให้รองรับ Apple Intelligence ได้เต็มที่ แม้จะไม่มีระบบระบายความร้อนใหม่ แต่โดยรวมก็ยังถือว่าเป็นชิปที่แรงระดับหัวตารางของปี 2025 อยู่ดี

ในการใช้งานทั่วไป ไม่ว่าจะเล่นโซเชียล ท่องเว็บ ดูหนัง ฟังเพลง หรือจ่ายเงินออนไลน์ ตัวเครื่องทำงานได้ลื่นไหลไร้ปัญหา ความร้อนมีเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อใช้งานกลางแจ้ง อาจรู้สึกอุ่น ๆ ร้อนบริเวณหน้าขาตอนเอามือถือใส่กระเป๋ากางเกงบ้าง

ผลการทดสอบ Benchmark

  • Antutu Benchmark
    • คะแนนรวม : 2,003,399 คะแนน
    • คะแนน CPU : 682,123 คะแนน
    • คะแนน GPU : 639,680 คะแนน
    • คะแนน MEM : 314,834 คะแนน
    • คะแนน UX : 366,762 คะแนน
  • Geekbench
    • Single Core : 3483 คะแนน
    • Multi Core : 9312 คะแนน
  • 3DMark Steel Nomad Light : 1705 คะแนน
  • 3DMark Steel Nomad Unlimited : 1534 คะแนน
  • 3DMark Sloar Bay Extreme : 1385 คะแนน

จากผลการทดสอบจะเห็นว่าได้คะแนนน้อยกว่าชิป A19 Pro ที่อยู่ใน iPhone 17 Pro Max ที่ได้คะแนนอยู่ราว ๆ 2,700,000 คะแนน อยู่พอสมควร หรือคะแนนพอ ๆ กับ ชิป A18 Pro ที่อยู่ใน iPhone 16 Pro Max เลย ส่วนหนึ่งคิดว่ามาจากความร้อนตัวเครื่องที่ไม่มีระบบระบายความร้อนช่วยทำให้ความเร็วตกต่อเนื่อง

แต่เมื่อถึงเวลาเล่นเกม สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เครื่องร้อนเร็วมากเล่นเพียงไม่กี่นาทีก็เริ่มอุ่นขึ้นทันที แต่พอหยุดเล่นความร้อนก็ลดลงเร็ว และไม่พบอาการลดแสงหน้าจอแบบฮวบจนมองไม่เห็น เพราะปรับ Auto เลยไม่รู้สึกก็ได้มั้ง

ทดสอบเล่นเกม

การทดสอบกับเกมจากค่าย HoyoVerse ทั้ง Genshin Impact และ Zenless Zone Zero (ZZZ) เพราะเป็นผู้เล่นหลักของเกมนี้เลยสามารถทดสอบแบบเจาะลึกได้

พบว่า Genshin ยังคงเล่นได้ลื่นไหลแม้ปรับกราฟิกสูงสุด แต่ก็มีอาการภาพ Buffer ไม่ทันบ้างเวลาหันกล้องเร็ว ๆ ซึ่งเป็นอาการที่คุ้นเคยของเกมนี้ ความร้อนอยู่ในระดับประมาณ 8/10 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือในฉากเนื้อเรื่องยาว ๆ ที่ไม่ได้มีการต่อสู้มากนัก iPhone Air ใช้พลังงานได้ค่อนข้างประหยัด เล่นต่อเนื่อง 1 ชั่วโมง แบตเตอรี่ลดไม่ถึง 20% คาดว่าชิปมีการปรับลด Clock Speed ลง ทำให้ประสิทธิภาพพอเหมาะและกินพลังงานน้อยลง

ขณะที่ ZZZ ก็สามารถปรับกราฟิกสูงสุดแล้วเล่นได้จริง แต่ความร้อนของเครื่องพุ่งขึ้นเร็วกว่า Genshin อย่างมาก โดยเฉพาะในฉากต่อสู้ที่ยาวและเอฟเฟกต์จัดเต็ม มีอาการกระตุกให้เห็นบ้างในช่วงที่เอฟเฟกต์ใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นครั้งแรก และบางจังหวะก็มีเฟรมไทม์ดรอป แต่ไม่ถึงขั้นทำให้เล่นไม่ได้หรือผ่านบอสยาก เพียงแต่การกินแบตหนักมาก ครึ่งชั่วโมงแบตลดไปเกือบ 30% เรียกได้ว่า “เล่นเพลิน ๆ แบตไหลเหมือนหุ้นร่วงลงลิฟต์” และความร้อนก็พุ่งแตะระดับ 10/10 ถือว่าร้อนที่สุดตั้งแต่ลองเครื่องมาเลย

ถ้าดูจากกราฟการ Stress test จะพบว่าได้คะแนนความเสถียรอยู่ที่ 80% ซึ่งก็สูงมาก เพราะเครื่องแรงแค่รอบแรกเท่านั้น ส่วนที่เหลือความร้อนขึ้นความเร็วตกตลอด ตกลงมาประมาณ 25%

สำหรับคนที่จับเครื่องแน่น ๆ แบบเต็มฝ่ามือ (Palm Grip) บอกเลยว่าร้อนลวกมือเล่นไม่ได้เลยสำหรับรุ่นีน้ แต่ถ้าเล่นด้วยการจับปลายนิ้วแบบ Claw Grip ก็พอถูไถเล่นได้อยู่

โดยสรุป แม้ iPhone Air จะยังมีปัญหาเรื่องความร้อนและอาการเฟรมดรอปบ้าง แต่ด้วยการอัปเกรด GPU และแรมที่มากขึ้น ทำให้สามารถรักษากราฟเฟรมเรตให้สมูทกว่ารุ่นก่อน ปัญหาเก่า ๆ ยังมีอยู่ แต่ไม่บ่อยและไม่รบกวนจนเกินไป จัดว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ยังแรงและตอบโจทย์สายเกมในระดับหัวแถวของตลาดปีนี้

โมเดม Buletooth Wi-Fi ใหม่หมด

iPhone Air ถือเป็นรุ่นที่สองที่ Apple หันมาใช้โมเด็มไร้สายที่พัฒนาขึ้นเอง ต่อจาก iPhone 16e โดยมาพร้อม โมเด็มระบบเซลลูลาร์ Apple C1X ที่รองรับ 5G (sub-6 GHz) พร้อม MIMO แบบ 4×4 และ Gigabit LTE ที่ใช้ MIMO แบบ 4×4 เช่นกัน จุดที่น่าสนใจคือ iPhone Air เป็น รุ่นเดียว ที่ใช้โมเด็มตัวนี้ ส่วน iPhone 17, 17 Pro และ 17 Pro Max ยังเลือกใช้โมเด็มของ Qualcomm เช่นเดิม

จากการใช้งานจริงยังไม่พบปัญหาด้านสัญญาณ การจับสัญญาณทำได้รวดเร็ว เสถียร และมีความเร็วในเกณฑ์ดี เพียงแต่ยังไม่แน่ชัดว่าอาการเครื่องร้อนเร็วหรือแบตเตอรี่ลดไว มาจากโมเด็มเองหรือจากชิปประมวลผลหลัก เพราะด้วยตัวเครื่องที่ใช้แบตเล็กลงก็มีส่วนเช่นกัน

ขณะที่ผลทดสอบจากสื่อต่างประเทศชี้ว่าความเร็วของ Apple C1X ยังสู้โมเด็ม Qualcomm รุ่น X75/X80 ไม่ได้ เพราะจำกัดเพียง sub-6 GHz ไม่รองรับ mmWave อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของ Apple อยู่ที่การจัดการพลังงานและการควบคุม ecosystem ทำให้การใช้พลังงานน้อยลงราว 30% เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ในส่วนของการเชื่อมต่อไร้สาย iPhone Air ใช้ ชิประบบเครือข่าย Apple N1 เหมือนกับ iPhone รุ่นใหม่ ๆ ที่เปิดตัวพร้อมกัน รองรับ Wi-Fi 7 (802.11be) แบบ MIMO 2×2 และ Bluetooth 6 จากการใช้งานจริง Wi-Fi และ Bluetooth มีความเสถียร จับสัญญาณได้เร็ว และความเร็วอยู่ในระดับดี

อย่างไรก็ดี มีรายงานจากผู้ใช้บางส่วนว่า Wi-Fi มีระยะสัญญาณสั้นกว่ารุ่นก่อนหน้า เมื่อสัญญาณเริ่มอ่อน เครื่องจะรีบตัดการเชื่อมต่อแทนที่จะพยายามเชื่อมต่อให้นานที่สุด ซึ่งจริง ๆ ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้องตามมาตรฐาน Wi-Fi แต่ผู้ใช้บางรายอาจรู้สึกสะดุด

นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่เจอบ้าง เช่น Wi-Fi หลุดชั่วคราวทุกครั้งที่ปลดล็อกเครื่องหรืออยู่บนหน้าจอล็อก, อาการดีเลย์และเสียงขาดหาย รวมถึง Bluetooth หลุด โดยเฉพาะเวลาต่อกับ AirPods หรืออุปกรณ์เสริมอื่น หลายคนสังเกตว่าปัญหานี้มักเกิดเมื่อใช้งานคู่กับ Apple Watch

โดยรวมแล้วประสบการณ์ใช้งานยังถือว่าดี ไม่ต่างจาก iPhone รุ่นก่อน ๆ และไม่เจอปัญหาหนักที่น่ากังวล สาเหตุที่พบอาการเหล่านี้มีแนวโน้มว่าเกิดจากบั๊กของซอฟต์แวร์มากกว่าฮาร์ดแวร์ เนื่องจากอาการเริ่มเกิดขึ้นหลังอัปเดต iOS 26.0 และใน iOS 26.1 Beta หลายคนรายงานว่าดีขึ้น ต่างจากชิป Broadcom ที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้ที่มีความเข้ากันได้สูงกว่า

แบตเตอรี่อึดกว่าที่คิด ใช้ได้นานตลอดวัน

iPhone Air มาพร้อมกับแบตเตอรี่ความจุ 3,149 mAh ซึ่งเป็น iphone รุ่นที่มีแบตเตอรี่น้อยที่สุดในบรรดารุ่นออกใหม่ของปี 2025 แล้ว ทำให้หลายคนมีความกังวลว่าแบตเตอรี่จะไม่ทน ใช้งานได้ไม่เพียงพอใน 1 วัน ทำให้หลายคนมองว่าจุดนี้เป็นจุดอ่อน และใช้จุดนี้มาโจมตี แต่ใช้งานจริงจะเป็นอย่างไร เราทดสอบมาแล้ว บอกสั้น ๆ เลยว่าดีกว่าที่คาดไว้เยอะ

จากการทดสอบใช้งานจริงโดยใส่ eSIM 5G เปิดความสว่างแบบ Auto Brightness เปิด Always on และใช้งานครบทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นเล่นโซเชียล เล่นเกม ถ่ายรูป หรือดูคลิป พบว่า Screen On Time เฉลี่ยอยู่ที่ราว 6-7 ชั่วโมงต่อวัน ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับ iPhone รุ่นมาตรฐานในปีก่อน ๆ ที่เน้นความคล่องตัวมากกว่าความอึดแบบรุ่น Plus หรือ Pro Max

  • วันแรก ออกไปห้างทั้งวัน เล่นเกมระหว่างรอรถ ดูคลิปตอนกินข้าว และถ่ายรูปค่อนข้างเยอะ ใช้งานต่อเนื่องได้ราว 7 ชม. 44 นาที (Screen Off 11 ชม. 21 นาที)
  • วันที่สอง อยู่บ้านเป็นหลัก เน้นเล่นเกมบนเครือข่าย 5G ดูคลิป ดูซีรีส์ และฟังเพลงผ่านลำโพง แบตลดเร็วขึ้น ใช้งานต่อเนื่องได้ราว 6 ชม. 15 นาที (Screen Off 29 นาที)
  • วันที่สาม เป็นวันทำงานทั่วไป ใช้เล่นโซเชียล ดูแมพ ถ่ายรูปถ่ายงาน ดูคลิปช่วงพัก และเล่นเกมเล็กน้อยในตอนเย็น ได้ 4 ชม. 28 นาที (Screen Off 1 ชม. 32 นาที)
  • ภาพรวมเมื่อใช้งานผ่านไปประมาณ 12 ชั่วโมง แบตเหลือราว 10%

ทดสอบต่อเนื่อง 3 วัน ตัวเลขที่ได้แตกต่างกันพอสมควร คงต้องให้เวลาตัวเครื่องเรียนรู้การใช้งานอีกสักพักถึงจะได้ตัวเลขที่นิ่ง แต่ในแง่ความรู้สึกโดยรวมก็ยังใกล้เคียงกับ iPhone รุ่นเริ่มต้น คือใช้งานทั่วไปอยู่ครบวันได้สบาย เพียงแต่ถ้ามีแพลนเที่ยวต่อหรือปาร์ตี้ยาว ๆ หลังเลิกงาน ก็ควรชาร์จระหว่างวันสักครั้งเพื่อความอุ่นใจ สำหรับผู้ที่ใช้งานเน้นโซเชียล โทรคุย หรือถ่ายรูปมากกว่าเล่นเกมหนัก ๆ แบตก็จะอยู่ได้นานกว่านี้อีก

ภาพรวมถือว่า อึดกว่าที่คาดไว้ แม้ตัวเครื่องจะบางและมีแบตเตอรี่เล็กกว่า แต่ประสบการณ์จริงใกล้เคียงกับ iPhone รุ่นมาตรฐานในตระกูล 12–16 หากไม่เคยใช้รุ่น Plus หรือ Pro Max มาก่อน แทบจะไม่รู้สึกว่ามีปัญหาเรื่องความทนทานของแบตเตอรี่เลย แต่ก็ไม่แย่แบบตอน iPhone 12 mini ที่ตอนออกมาใหม่ ๆ ใช้ได้แค่ประมาณ 4 ชม เท่านั้น

ชาร์จช้ามาก

iPhone Air รองรับการชาร์จแบบสายสูงสุดเพียง 20W และชาร์จไร้สายสูงสุด 20W เท่านั้น ซึ่งต้องบอกว่าช้ากว่าที่คิด แม้ความจุแบตเตอรี่จะไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่จากการทดสอบจริง การชาร์จจาก 10% ไปจนเต็ม 100% ด้วยสายต้องใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง 30 นาที ขณะที่การชาร์จไร้สายยิ่งนานกว่า อยู่ที่ประมาณ 2 ชั่วโมงเต็ม

เมื่อเทียบกับ iPhone รุ่น Pro ที่รองรับการชาร์จสาย 40W และไร้สาย 25W จะเห็นความต่างอย่างชัดเจน แม้รุ่น Pro จะมีแบตเตอรี่ความจุเยอะกว่า แต่กลับสามารถชาร์จเต็มได้เร็วกว่า iPhone Air อย่างมาก ทำให้การชาร์จเป็นอีกหนึ่งจุดอ่อนที่ผู้ใช้ iPhone Air ต้องยอมรับ หากต้องการใช้งานต่อเนื่องจริง ๆ อาจต้องพึ่งพาการชาร์จระหว่างวันอยู่บ่อยครั้ง

นอกจากนี้ หากสังเกตจากการชาร์จจริง จะพบว่าแม้สเปกบอกว่าได้ 20W แต่พอแบตเตอรี่เกิน 50-60% ตัวเครื่องจะปรับลดกำลังไฟเหลือประมาณ 10W และเมื่อเกิน 80% จะลดเหลือเพียง 5W เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ นั่นทำให้การชาร์จเต็มหนึ่งรอบยิ่งรู้สึกช้ากว่าที่ตัวเลขบนกระดาษระบุไว้

สรุปภาพรวม iPhone Air

iPhone Air คือ iPhone รุ่นที่ฉีกกรอบการออกแบบเดิม ๆ ของ Apple ได้ชัดที่สุดในปีนี้ ด้วยความบางเพียง 5.6 มม. และน้ำหนักเพียง 165 กรัม ทำให้กลายเป็น iPhone ที่บางที่สุดเท่าที่ Apple เคยผลิตมา ดีไซน์เรียบหรู วัสดุพรีเมียม ขอบไทเทเนียมเงาวับ และเฉดสีใหม่ที่กลมกลืนกับแนวทาง MacBook Air ที่สำคัญคือ ฟีลลิ่งการจับถือที่แตกต่างจริง ๆ จับแล้วเบาจนเหมือนไม่ได้ถือ iPhone อยู่ในมือ

หน้าจอ Super Retina XDR OLED 6.5 นิ้ว 120Hz ยังคงคุณภาพสูงเหมือนรุ่นโปร สีสันคมชัด ความสว่างสูงสุด 3,000 นิต ใช้งานกลางแจ้งสบายขึ้น ขณะที่ความแข็งแรงก็บอกเลยว่าหายห่วง เพราะบอดี้แข็งแรงมาก ไม่เจอปัญหางอง่าย ๆ แบบบางรุ่นในอดีตแน่นอน

ลำโพงเดี่ยวที่ให้มาถือว่ามีคุณภาพดีตามสไตล์ iPhone รายละเอียดเสียงครบ แต่ถ้าเทียบกับรุ่นที่เป็นลำโพงคู่ก็ยังสู้ไม่ได้ในเรื่องมิติเสียงซ้าย-ขวาและความดังโดยรวม

ด้านประสิทธิภาพ มาพร้อม ชิป A19 Pro รุ่นรองท็อป และแรม 12GB การใช้งานทั่วไปลื่นไหลไร้ที่ติ แต่สิ่งที่สัมผัสได้ชัดคือความร้อนขึ้นไว โดยเฉพาะตอนเล่นเกม AAA อย่าง Zenless Zone Zero หรือ Genshin Impact ช่วงแรกเล่นได้ลื่นแม้ปรับกราฟิกสูงสุด แต่เมื่อเล่นต่อเนื่องนาน ๆ เริ่มเจออาการกระตุกจากความร้อน และแบตเตอรี่ไหลไวขึ้น แม้ว่าข้อดีคือเมื่อหยุดเล่น เครื่องจะเย็นลงค่อนข้างเร็ว

แบตเตอรี่ถือว่าอึดกว่าที่หลายคนคาด ใช้งานทั่วไปอยู่ครบวันได้สบาย เฉลี่ย 6-7 ชั่วโมงต่อวัน แม้ตัวเครื่องจะบางมากก็ตาม จุดที่น่าเสียดายคือการชาร์จที่ยังคงช้า รองรับแค่ 20W ทั้งแบบสายและไร้สาย ใช้เวลาชาร์จเต็มราว 1 ชั่วโมงครึ่ง – 2 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าช้ากว่ารุ่น Pro ที่รองรับกำลังไฟสูงกว่า แม้แบตใหญ่กว่าก็ยังชาร์จเต็มเร็วกว่า

กล้องหลังมีเพียง 48MP ตัวเดียว แม้ Apple จะโปรโมตว่า “มีกล้อง 4 ระยะ” แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเลนส์เดียวที่ใช้การครอปช่วย คุณภาพภาพถ่ายยังคงเอกลักษณ์แบบ iPhone สีสันสด โฟกัสแม่น Skin Tone ดีขึ้นแต่ยังเก็บริ้วรอยครบ สำหรับผู้ใช้ทั่วไปถือว่าเพียงพอ แต่ถ้าเทียบกับรุ่น Pro ก็ยังห่างพอสมควร ส่วน กล้องหน้า 18MP พัฒนาขึ้น มุมกว้างขึ้น ถ่ายสนุก และตอบโจทย์การถ่ายคอนเทนต์ Vlog ได้ดีขึ้นมาก

ด้านการเชื่อมต่อ iPhone Air ใช้ โมเด็ม Apple C1X และ ชิป Apple N1 รองรับ 5G sub-6GHz, Wi-Fi 7 และ Bluetooth 6 การใช้งานจริงเสถียรดี จับสัญญาณไว ไม่เจอปัญหาใหญ่ แม้อาจมีบั๊กเล็กน้อยในบางเคส แต่โดยรวมไม่ใช่ปัญหาที่กระทบต่อการใช้งานประจำวัน

ภาพรวมแล้ว iPhone Air เหมาะกับคนที่ใช้งานทั่วไป ไม่ได้ต้องการฟีเจอร์หวือหวา หรือซื้อเผื่อฟังก์ชันเกินจำเป็นแบบรุ่น Pro แต่ก็อยากได้มือถือที่ พรีเมียมกว่า iPhone รุ่นปกติ ในขณะเดียวกันก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับใครที่เริ่มเบื่อรุ่น Pro Max ที่ตัวใหญ่และหนักขึ้นทุกปีจนใช้งานลำบาก ถ้าต้องการ iPhone ที่ บาง เบา หรูหรา และจับถือสบาย iPhone Air รุ่นนี้ถือว่าน่าโดนที่สุดในปีนี้เลยทีเดียว

แล้ว iPhone Air เหมาะกับใคร

แม้ iPhone Air จะไม่ใช่รุ่นที่ขายดีที่สุดในซีรีส์ แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้ยังขายได้เรื่อย ๆ จุดแข็งของรุ่นนี้ไม่ได้อยู่ที่ “ความคุ้มค่า” หรือ “ฟีเจอร์จัดเต็ม” แบบที่เจอในรุ่น Pro หรือรุ่นปกติ แต่เป็นการขายสิ่งที่ไม่มี iPhone รุ่นไหนให้ได้นั่นคือ ความบาง ความเบา และฟีลลิ่งเวลาจับถือ ที่เป็นประสบการณ์ที่แตกต่างชัดเจน

iPhone Air จึงเหมาะกับคนที่รู้ชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไรจากสมาร์ทโฟน ไม่ได้อยากได้กล้องหลายเลนส์ หรือฟีเจอร์เกินจำเป็นไว้เผื่ออนาคต แต่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ใช้งานจริงในทุก ๆ วัน การที่เครื่องบางลง เบาลง พกพาง่ายขึ้น สามารถเปลี่ยนความรู้สึกเวลาใช้งานได้มากกว่าที่คิด และยังเป็น iPhone ที่หลายคนยกให้เป็นรุ่นที่ดูหรูหราที่สุดของปีนี้ หรูกว่ารุ่น Pro เสียอีก

อย่างไรก็ตาม หากตัดสินใจเลือก Air แล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือการเลือกเคส เพราะถ้าใส่เคสหนา ๆ ราคาถูก ความบางและความหรูทั้งหมดก็จะหายไปทันที คุ้มค่าของรุ่นนี้อยู่ที่การได้สัมผัส “ความบาง” ทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาใช้งาน

สรุปได้ว่า iPhone Air ไม่ใช่ iPhone ที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน แต่เป็น iPhone ที่ “ใช่ที่สุด” สำหรับบางคน โดยเฉพาะคนที่อยากได้มือถือหรูหรา บางเบา แตกต่างจากสิ่งที่เคยมีมา ไม่ได้สนใจฟีเจอร์จัดเต็มเหมือน Pro และไม่ยึดติดกับความคุ้มค่าเหมือนรุ่นปกติ ถ้าเงินถึงและอยากได้มือถือที่เน้นประสบการณ์จับถือที่แตกต่าง iPhone Air ก็คือคำตอบของปีนี้

ข้อดี

  • น้ำหนักเบามาก 165 กรัม จับถือสบาย
  • ตัวเครื่องบางมาก 5.6 มม. หยิบจับสะดวก
  • Balance ตัวเครื่องดีมาก
  • สีตัวเครื่องสวยมาก
  • กล้องหน้า Center Stage มุมกว้างมาก ถ่ายภาพสวย สีสันดี
  • วัสดุพรีเมี่ยมที่สุดในบรรดา iPhone ปี 2025
  • แบตอึดกว่าที่คิด
  • ตัวเครื่องแข็งแรงมาก
  • หน้าจอใหญ่กำลังพอดีมาก
  • กล้องหลังคุณภาพเดียวกับ iPhone 17
  • ไม่กั๊กสเปกได้ซีพียู A19 Pro และแรม 12GB แบบรุ่น Pro

ข้อสังเกต

  • ราคาสูง
  • สเปกต่อราคาทำได้แย่ที่สุดในบรรดา iPhone ปี 2025
  • ตัวเครื่องขอบเป็นเงา ผิวลื่นจับไม่กระชับ และเป็นรอยง่าย
  • หน้าจอไม่ค่อยตัดแสงสะท้อนเท่าไหร่
  • เครื่องร้อนเร็ว ไม่ถูกใจสายเกมมิ่ง
  • กล้องหลังมีแค่ 1 ตัว
  • ลำโพงมีแค่ 1 ตัว เสียงไม่ได้มิติซ้าย-ขวา
  • ชาร์จช้าแค่ 20W
  • USB 2.0 โอนไฟล์ช้า ต่อจอแยกไม่ได้
  • รองรับแค่ eSIM

สเปก iPhone Air

  • จอภาพ : Super Retina XDR ขนาด 6.5 นิ้ว
    • ความละเอียด 2736 x 1260 พิกเซล
    • เทคโนโลยี ProMotion อัตรารีเฟรชเรต 120Hz
    • ความสว่างสูงสุด 3,000 นิต (กลางแจ้ง)
    • HDR และ Always-On display
    • กระจกหน้าจอ Ceramic Shield 2
    • เคลือบสารกันแสงสะท้อน
  • ชิปเซ็ต : A19 Pro (ซีพียู 6 คอร์ และจีพียู 5 คอร์)
  • หน่วยความจำ : 12GB
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล : 256GB / 512GB / 1TB
  • ระบบปฏิบัติการ : iOS 26
  • กล้องหลัง :Fusion Camera 48MP (f/1.6) รองรับภาพถ่ายความละเอียดสูงพิเศษ (24MP และ 48MP)
    • รองรับการถ่ายเทเลโฟโต้ 2 เท่า (คุณภาพระดับออปติคัล 12MP)
    • ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคัล OIS Sensor-shift
    • ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 10 เท่า
    • รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 60 fps
  • กล้องหน้า Center Stage 18MP (f/1.9) ระบบออโต้โฟกัสด้วย Focus Pixels
    • รองรับการบันทึกวิดีโอ Dolby Vision ระดับ 4K ที่ 60 fps
  • ชิปเซลลูลาร์ C1X รองรับเครือข่าย 5G (sub-6 GHz) แบบ eSIM เท่านั้น
  • ชิป N1 :
    • รองรับ Wi-Fi 7
    • รองรับ Bluetooth 6
    • NFC
    • รุ่น Ultra Wideband
  • แบตเตอรี่ : เล่นวิดีโอสูงสุด 27 ชั่วโมง
  • การชาร์จ : แบบสายสูงสุด 20W แบบไร้สาย MagSafe สูงสุด 20W ชาร์จแบบไร้สาย Qi2 สูงสุด 20W
  • วัสดุ : ไทเทเนียม
  • มาตรฐานทนน้ำทนฝุ่น IP68
  • ขนาด : 156.2 x 74.7 x 5.64 มม.
  • น้ำหนัก : 165 กรัม
  • ราคาเปิดตัว
    • ความจุ 256GB ราคา 39,900 บาท
    • ความจุ 512GB ราคา 47,900 บาท
    • ความจุ 1TB ราคา 55,900 บาท