หลังจากที่ Jabra ได้เปิดตัว Jabra Elite Sport หูฟังบลูทูธพร้อมฟีเจอร์สุดล้ำที่จะช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดย Jabra Elite Sport เป็นหูฟัง Earbuds แบบไร้สายจริงๆ เพราะไม่มีสายอะไรเลย มีแค่ตัวหูฟัง 2 ข้างเท่านั้นเอง นอกจากนี้ยังได้รับมาตรฐานกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP67 ทำให้สามารถทนแรงดันน้ำลึก 1 ม. ได้นาน 30 นาที (แต่ไม่ได้หมายความว่ามันเหมาะจะเอาไปใส่ว่ายน้ำเล่นนะจ๊ะ) ทำให้หูฟังตัวนี้สามารถกันเหงื่อระหว่างออกกำลังได้สบายๆ แถมยังเอามาล้างหลังจากออกกำลังเสร็จแล้วได้อีก ฟีเจอร์สุดล้ำอีกอย่างนึงก็คือ Jabra Elite Sport มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจผ่านทางใบหูได้ด้วย! มันใช้งานแบบไหน เดี๋ยวเรามาดูกัน

แกะกล่อง  

เปิดกล่องออกมาก็จะเจอกับหูฟัง Jabra Elite Sport พร้อมกับเคสเก็บหูฟังที่ใช้เป็นที่ชาร์จหูฟังในตัวด้วย ซึ่งหูฟัง Jabra Elite Sport สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 3 ชม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และตัวเคสสามารถชาร์จหูฟังได้อีก 2 ครั้ง รวมทั้งหมด 9 ชม.

เปิดไปอีกชั้นนึงก็จะเจอกับ Ear Wing และจุกหูฟังขนาดต่างๆ ให้เลือกว่าขนาดไหนที่เหมาะกับหูของเราที่สุด

วัสดุและการออกแบบ

Jabra Elite Sport ทำจากพลาสติกเคลือบยางที่มีงานประกอบแน่นหนาดีมากเนื่องจากมันกันน้ำได้ มีน้ำหนักเบา การดีไซน์ที่ดูลุยๆ และมีสีดำสนิททั้งตัว

การสวมใส่ 

การใส่ Jabra Elite Sport ต้องอาศัยความเคยชินนิดนึง เพราะสำหรับผู้ที่ใช้ครั้งแรกอาจจะงง ว่ามันใส่แบบไหนถึงจะล็อคกับหูได้แน่น ไม่หล่นหายเวลาออกกำลัง ทำได้ด้วยการเสียบจุกเข้าไปในรูหูก่อน จากนั้นก็ลองหมุนไปเรื่อยๆ ว่ามันจะไปล็อคตรงส่วนไหน ถ้าหาจุดได้แล้ว ลองใส่อีก 2 – 3 ครั้งก็ชินแล้วล่ะ (ตัวหูฟังสามารถใช้งานข้างเดียวได้ คือด้านขวาเท่านั้น ถ้าเราดึงหูข้างขวาออกระหว่างใช้งาน หูข้างซ้ายจะหยุดการทำงานทันที)

ปุ่มต่างๆของ Jabra Elite Sport

ปุ่ม + ใช้สำหรับเพิ่มเสียง กดค้างจะเป็นการเปลี่ยนเพลงไปข้างหน้า

ปุ่ม – ใช้สำหรับลดเสียง กดค้างจะเปลี่ยนเพลงไปข้างหลัง

ปุ่ม . ใช้กดเพื่อเข้าแอป Jabra Sport Life ในมือถือ

ปุ่ม ๐ ใช้กดเพื่อรับสาย-วางสาย, เล่น-หยุดเพลง, กดสองทีเพื่อเปิด-ปิดโหมด *HearThrough, กดค้างเพื่อปิด-เปิด หูฟัง

* โหมด HearThrough คือโหมดฟังเสียงรอบข้างผ่านไมค์ตอนฟังเพลง เพื่อความปลอดภัยเวลาออกกำลังกายนอกบ้าน

การใช้งานครั้งแรก

กดปุ่ม ๐ ที่หูฟังขวาประมาณ 3 วินาที เพื่อเปิด แต่ในกรณีที่ใช้ครั้งแรกให้กดค้างไว้ประมาณ 5 วินาที เพื่อเข้าสู่โหมดจับคู่กับโทรศัพท์ โดยจะมีไฟสีฟ้ากระพริบเป็นระยะๆ

จริงๆ ถ้าจับคู่กับโทรศัพท์ได้แล้ว ก็สามารถใช้งาน Jabra Elite Sport ในการฟังเพลง หรือโทรศัพท์ได้เลย แต่จุดประสงค์ของ Jabra Elite Sport คือใช้เพื่อการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้นเราก็ต้องไปโหลดแอป Jabra Life Sport มาใส่ในเครื่องซะ…เพื่อความสมบูรณ์แบบในการใช้งาน (ซื้อมาตั้งแพง จะเอามาฟังเพลงอย่างเดียวเหรอ)

เริ่มต้นการใช้งาน Jabra Sport Life 

โดยการเปิดแอป Jabra Sport Life ในครั้งแรก ตัวหูฟังจะใช้เวลาประมาณ 10 วินาที ก่อนที่จะตรวจเจออัตราการเต้นของหัวใจแล้วเราจะได้ยินเสียงหญิงโหดพูดใส่หูว่า “Heart rate detected” การวัดอัตราการเต้นของหัวใจของ Jabra Elite Sport นั้น จะเป็นการวัดผ่านใบหูซึ่งมีความแม่นยำมากกว่าการวัดจากข้อมือเหมือน Fitness tracker ทั่วๆไป เนื่องจากใบหูมีผิวหนังที่บางกว่า และมีของเหลวน้อยกว่าบริเวณข้อมือ

Jabra Sport Life (Android) (iOS)

ในหน้าจอแรกเราจะพบกับตัวเลือก 4 ตัวเลือก ดังนี้

1. Training plan

เป็นตัวเลือกในการวางแผนการออกกำลังโดยมีให้เลือก 6 ระดับ

Maintain เป็นการออกกำลังแบบให้อยู่ตัว อาทิตย์ละ 3 วัน

Improve very gently เป็นการออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป อาทิตย์ละ 3 วัน

Improve gently เป็นการออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป อาทิตย์ละ 4 วัน

Improve steadily เป็นการออกกำลังกายแบบที่เริ่มจะอยู่ตัวแล้ว อาทิตย์ละ 4 วัน

Improve intensely เป็นการออกกำลังกายแบบจริงจัง อาทิตย์ละ 5 วัน

Improve very intensely เป็นการออกกำลังกายแบบจริงจังมาก อาทิตย์ละ 6 วัน

2. การออกกำลังกายแบบ Cardio Training โดยมีการออกกำลังให้เลือก 9 อย่าง

  1. วิ่ง
  2. ปั่นจักรยาน
  3. เดิน
  4. เดินป่า
  5. สกี
  6. สเก็ต
  7. วิ่งบนลู่วิ่ง
  8. เดินบนลู่วิ่ง
  9. ปั่นจักรยานบนเครื่องปั่น

เมื่อเลือกแล้วก็สามารถตั้งค่าว่าใน Workout ว่าต้องการทำอะไรบ้าง เช่น

  • Just track me เก็บข้อมูลผลการออกกำลังเท่านั้น
  • Set a goal ตั้งเป้าหมายที่ต้องการ เช่น ระยะทาง, ระยะเวลา, ระดับแคลเลอรี่ที่เผาผลาญ
  • Set a target ตั้งเป้าหมายในการออกกำลัง เช่น จังหวะในการออกกำลัง, เป้าหมายของจำนวนก้าว, เป้าหมายของอัตราการเต้นของหัวใจ
  • Training intereval ตั้งเวลาในการออกกำลัง

จากนั้นก็ตั้งค่าการฝึกใน Training settings เช่นการเล่นเพลง, หน้าจอระหว่างออกกำลัง, เสียงเตือน, GPS

3. การออกกำลังกายแบบ Cross-training ซึ่งในการออกกำลังแบบนี้จะมีหลายประเภทมาก เช่น วิดพื้น, ซิทอัพ, ออกกำลังขา, ออกกำลังไหล่, ออกกำลังร่างกายส่วนบน ฯลฯ

ซึ่ง Cross-training นั้น สามารถปรับแต่งการออกกำลังตามที่เราต้องการได้ เช่นการออกกำลังขา จะมีการแบ่งการออกกำลังออกเป็นประเภทย่อยๆ อีก ว่าต้องทำท่านี้กี่เซ็ทในกี่นาที จากนั้นพักกี่นาที แล้วต่อด้วยอีกท่านึง ประมาณนี้

4. การทดสอบร่างกายก่อนออกกำลัง V02max test ก่อนที่เราจะวางแผนการออกกำลังกายนั้น เราควรรับการทดสอบ V02max test ก่อน เพื่อที่จะได้รู้ว่าระดับความฟิตของร่างกายเราอยู่ในระดับไหน จะได้ไม่เป็นการหักโหมเกินไป เดี๋ยวจะเป็นลมเป็นแล้งเอา โดยการทดสอบดังกล่าวจะให้เราวิ่งเป็นเวลา 15 นาที เพื่อวัดระดับการเต้นของหัวใจและระยะทางที่วิ่ง (ต้องเปิด GPS ด้วยนะ)

โดยหลังจากการออกกำลังกายเสร็จในแต่ละครั้งเราสามารถเข้าไปเช็คความพร้อมของร่างกายในการออกกำลังกายครั้งต่อไป ใน My body (กดเลือกจาก menu เป็นเครื่องหมาย 3 ขีด ที่หน้าจอหลัก) และเลือก Recovery

และใน Menu นั้น เรายังสามารถเข้าไปดูประวัติในการออกกำลังที่ผ่านมา (History) และสิ่งที่เราทำสำเร็จไปแล้ว (Achievement)…เนื่องจากยังทำอะไรไม่สำเร็จซักอย่าง เลยไม่มีมาโชว์จ้า T-T

และใน Settings เราสามารถเข้าไปตั้งค่า อายุ ส่วนสูง น้ำหนัก เพศ เพื่อความแม่นยำในการติดตามการออกกำลังกาย, ตั้งค่าการแชร์ผลการออกกำลังกายผ่าน Social และการตั้งค่าต่างๆของหูฟัง

การใช้งานสนทนาทางโทรศัพท์

เสียงที่ได้ถือว่าคมชัดใช้ได้ในระดับนึง แต่ไม่ได้มีระบบตัดเสียงรอบข้างจนเงียบกริบเหมือนกับหูฟังบลูทูธที่ใช้สำหรับคุยโทรศัพท์โดยเฉพาะ

สรุปการใช้งาน

Jabra Elite Sport เหมาะมากสำหรับผู้ที่ต้องการหูฟังสำหรับออกกำลังกายโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีความแม่นยำในการตรวจจับการเคลื่อนไหวมากทีเดียว ทดสอบจากการวิดพื้นและซิทอัพ ที่สามารถนับได้ถูกต้องทุกครั้ง และในส่วนของฟีเจอร์ HearThrough ที่ถือว่ามีประโยชน์มากสำหรับการวิ่ง หรือปั่นจักรยาน เพราะจะทำให้เราได้ยินเสียงรอบข้างด้วย เพิ่มความปลอดภัยในการออกกำลังนอกบ้านได้อีกระดับนึง

*จุดสังเกตอย่างนึงเมื่อเวลาเราเปิดใช้ HearThrough ตอนขี่จักรยานเร็วๆ และมีลมแรง จะทำให้ไม่ได้ยินเสียงเพลงเลย มีแต่เสียงลมเข้ามาล้วนๆ จนต้องปิดโหมดนี้ไปแล้วใช้หูฟังแค่ข้างเดียวในการฟังเพลง

ส่วนเรื่องการฟังเพลง เสียงของ Jabra Elite Sport นั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียวสำหรับหูฟังบลูทูธ ที่สำคัญถ้าเลือกจุกหูฟังที่มีขนาดเหมาะกับหูของเราแล้ว จะพบว่าเวลาฟังเพลงนั้น เบสมาเป็นลูกๆ ฟังสนุกเลย เสียงกลางก็มา แต่เสียงแหลมจะบางไปหน่อย

ส่วนใครจะซื้อมาเพื่อเน้นการฟังเพลงอย่างเดียว หรือไว้ใช้ฟังเพลงเวลาเดินทางไกลหลายๆ ชม. ก็ต้องลองเอาไปคิดดูว่าการต้องชาร์จแบตเตอรี่ในเคสทุกๆ 3 ชม. จะทำให้หมดอรรถรสในการฟังเพลงรึเปล่า และการใช้ฟังเพลงอย่างเดียวก็จะทำให้ไม่ได้ใช้ฟังค์ชั่นต่างๆ อย่างครบถ้วนไม่คุ้มค่าตัว

นอกจากนี้ Jabra Elite Sport ยังมีการรับประกันการเสียหายจากเหงื่อถึง 3 ปี! เพราะฉะนั้นใครที่ซื้อไปใช้แล้วก็ออกกำลังกันให้เหงื่อท่วมได้เต็มที่โดยไม่ต้องกลัวพังกันเลย เพราะจากที่ Jabra กล้ารับประกันถึง 3 ปี แสดงว่า Jabra Elite Sport ต้องทนจริงๆ ถึงได้กล้ารับประกันขนาดนี้ ใครสนใจก็ไปหาซื้อกันได้ ในราคา 9,700 บาทครับ