รีวิวเก็บตก OPPO Find N5 หลังใช้งานมาแล้ว 1 เดือน สมาร์ทโฟนจอพับที่ถูกพูดถึงและเป็นที่ฮือฮาตั้งแต่ช่วงเปิดตัว ด้วยการกำหนดมาตรฐานใหม่จนสะเทือนวงการสมาร์ทโฟนจอพับ กับความบางที่ไม่เคยมีเจ้าไหนๆ ทำถึงมาก่อน วันนี้ Droidsans จะมาพรีวิวให้ดูกันว่าหลังเปิดตัวมาแล้ว 1 เดือน OPPO Find N5 จะเป็นสมาร์ทโฟนจอพับที่ตอบโจทย์การใช้งานมากน้อยแค่ไหน!

OPPO Find N5 น่าสนใจยังไงบ้าง?

อย่างที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ครับ OPPO Find N5 ถือเป็นสมาร์ทโฟนจอพับใหญ่รุ่นแรก ที่มีความบางเมื่อกางหน้าจอเพียงแค่ 4.21 มม. ทำให้ขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความตัวนี้อยู่ OPPO Find N5 ก็ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนจอพับที่มีความบางที่สุดในโลก และยังไม่มีใครสามารถมาโค่นแชมป์เจ้าตัวลงไปได้

ยิ่งไปกว่านั้นกับสเปคที่ OPPO ใส่ลงมาให้สมาร์ทโฟนจอพับรุ่นนี้ ก็ไม่ได้น้อยเหมือนกับความบางของตัวเครื่องเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชุดกล้องหลัง 3 ตัวที่พัฒนาร่วมกับ Hasselblad พร้อมกับเซนเซอร์ระดับเรือธงอย่าง Sony LYT-700 ขุมพลังการประมวลผลด้วย Snapdragon 8 Elite (7-core) จับคู่กับแบตเตอรี่ความจุ 5,600mAh รองรับเทคโนโลยีการชาร์จเร็ว 80W และการชาร์จไร้สาย 50W อะแดปเตอร์ สายชาร์จ และเคสป้องกันตัวเครื่องแถมให้ในกล่องตั้งแต่แรก

แค่สเปคเบื้องต้นของ OPPO Find 5 เพียงแค่นี้ก็ทำให้รู้สึกได้แล้วครับว่า สมาร์ทโฟนจอพับรุ่นนี้มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย ลำดับต่อไปเดี๋ยวเราจะไปดูกันดีกว่าว่าหากต้องนำไป “ใช้งานในชีวิตประจำวัน” สมาร์ทโฟนจอพับเครื่องนี้จะตอบโจทย์เหมือนกับความรู้สึกแรกที่ตอนได้เห็นมั้ย (ช่วงท้ายมีของแถมเป็นการพรีวิว OPPO Watch X2 มาให้ได้อ่านกันด้วยนะ)

น้ำหนักบางเบา ดีไซน์บางเฉียบ

OPPO Find N5 เป็นสมาร์ทโฟนจอพับแบบ Book-style ที่มีความบางเมื่อกางหน้าจออยู่ที่ 4.21 มม. และความหนาของตัวเครื่องเมื่อทำการพับตัวเครื่องประกบกัน 8.93 มม. จับคู่กับหน้าจอภายนอกขนาดใหญ่ 6.62 นิ้ว พาแนลเป็น LTPO AMOLED ความละเอียด FHD+ (2,616 x 1,140 พิกเซล) ความสว่างหน้าจอสูงสุด 2,450 นิต รองรับอัตรารีเฟรชเรทอยู่ที่ 1-120Hz พร้อมกับความสามารถในการแสดงผลแบบ HDR Vivid, HDR10+ และ Dolby Vision เสริมความแข็งแรงด้วยวัสดุหน้าจอ Ultra-Thin Nanocrystal Glass ซึ่งให้ความทนทานเพิ่มขึ้นถึง 20% หากเทียบกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Find N3

พร้อมกันนั้นเมื่อเรากางหน้าจอออก ก็จะได้พื้นที่หน้าจอใช้งานขนาดใหญ่ 8.12 นิ้ว LTPO AMOLED ความละเอียด QXGA+ (2,480 x 2,248 พิกเซล) รองรับอัตรารีเฟรชเรท 1-120Hz เร่งความสว่างได้สูงสุด 2,100 นิต วัสดุหน้าจอเป็นกระจก UTG มีความทนทานและความยืดหยุ่นสูง พร้อมครอบทับด้วยฟิล์มดูดซับแรงกระแทกสองชั้น สามารถนำมาใช้งานแบบหลายหน้าจอ (Multitasking) ได้แบบลื่นๆ ด้วยพลังของ ColorOS 15 ที่การออกแบบ UX / UI ไม่ได้ทำมาเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่เพื่อให้ผู้ใช้แบบเราๆ สามารถทำงานหรือใช้งานกันได้แบบสะดวกสบายนั่นเอง

ความรู้สึกที่ได้จับถือ OPPO Find N5 มาตลอดช่วงที่ผ่านมา สามารถพูดได้เลยว่าความเบาบางทีเป็นจุดเด่นหลักนั้น “สมคำโฆษณา” มากๆ ความรู้สึกในการจับถือบางเบาจนพกไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ สะดวกมาก ให้อารมณ์เหมือนการถือสมาร์ทโฟนปกติเครื่องหนึ่ง เพราะถ้าเทียบกันแล้วน้ำหนักของ OPPO Find N5 ก็ต่างจาก iPhone 16 Pro Max แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง กับน้ำหนักประมาณ 229 กรัม

และหากเราสังเกตดูเพิ่มเติมจะเห็นถึงรายละเอียดเล็กๆ ในความบางของ Find N5 ที่ทำการปรับความหนาของ “พอร์ต USB-C” ให้บางลงเล็กน้อยแต่ก็ยังสามารถใช้งานกับสาย USB-C ได้ตามปกติเหมือนเดิม บวกกับการรองรับมาตรฐานการทนน้ำระดับ IPX6 IPX8 และ IPX9 ไม่ว่าจะเป็นน้ำกระเซ็น หรือการฉีดน้ำแรงดันสูงก็ทนได้ (ป้องกันการจมน้ำลึก 1.5 เมตร สูงสุด 30 นาที) เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้ไปอีกขั้นหนึ่ง

บานพับ Titanium Alloy Flexion Hinge เพื่อการใช้งานที่ทนทานโดยเฉพาะ

อีกหนึ่งสิ่งถ้าพูดถึงสมาร์ทโฟนจอพับแล้วล่ะก็ ผู้อ่านหลายๆ คนรวมถึงตัวผู้เขียนเองก็แอบกังวลอยู่ในใจลึกๆ นั่นก็คือ “หน้าจอจะสามารถทนกับการพับไปมาได้ขนาดไหน” เพราะถ้าจะจ่ายเงินเพื่อซื้อสมาร์ทโฟนจอพับไปใช้งานแล้ว ก็คงไม่แปลกครับที่อยากมั่นใจว่า ตัวบานพับของเครื่องนั้นแข็งแรงพอจะให้ตัวเครื่องอยู่กับเราไปได้เรื่อยๆ

สำหรับบานพับของ OPPO Find N5 มาพร้อมบานพับที่มีชื่อเรียกว่า Titanium Flexion Hinge ที่ได้รับการออกแบบใหม่ และใช้วัสดุเป็นไทเทเนียมซึ่งทำให้บานพับมีขนาดเล็กลง 26% และแข็งแรงทนทานเพิ่มขึ้น 36% เฟรมตัวเครื่องโดยรอบใช้อะลูมิเนียมเกรดเดียวกับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศ (Aerospace-grade Titanium) เพิมความแข็งแรงให้ตัวเครื่องไปอีก 30%

ผลลัพธ์โดยตรงแบบเห็นได้ชัดเจนจากการได้บานพับที่ออกแบบใหม่ Titanium Flexion Hinge และสเปควัสดุหน้าจอแบบจัดเต็ม นอกเหนือจากความแข็งแรงแล้ว รอยพับบนหน้าจอก็น้อยลงด้วย ไม่ว่าจะมองมุมตรง มุมข้างหรือมุมทแยง ก็แทบจะไม่เห็นรอยพับเลยหากไม่ตั้งใจเพ่งมองในมุมที่แสงตกกระทบพอดี

ระบบกล้อง Hasselblad จัดเต็มความละเอียด 50 ล้านพิกเซล 

ถึงจะเป็นสมาร์ทโฟนจอพับก็ไม่อ่อนข้อในเรื่องนี้ เพราะการทำงานที่ดีและลื่นไหลต้องมาพร้อมกับชุดกล้องระดับโปร เพื่อช่วยให้ทุก การถ่ายภาพออกมาสวยเป๊ะ OPPO Find N5 มากับชุดกล้องหลังบนโมดูลทรงกลมที่มีการจัดวางชุดเซนเซอร์คล้ายกับที่เคยบน OPPO Find X8 Series พร้อมไฟแฟลชมุมขวาล่างและโลโก้ Hasselblad ตรงกลาง

สเปคกล้องของ OPPO Find N5

  • กล้องหลัก : Sony LYT-700 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8) ขนาดเซนเซอร์ 1/1.56 นิ้ว PDAF และกันสั่น 2-axis OIS
  • กล้องเทเลโฟโต้ปริทรรศน์ : Samsung JN5 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/2.6) ขนาดเซนเซอร์ 1/2.75 นิ้ว (ระยะซูมออปติคัล 3x) PDAF และกันสั่น 2-axis OIS
  • กล้องอัลตร้าไวด์ : ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.2) ขนาดเซนเซอร์ 1/4.0 นิ้ว (มุมกว้าง 116 องศา) ออโต้โฟกัส และกันสั่น 2-axis OIS
  • กล้องหน้า (จอด้านใน) : 8MP (f/2.4)
  • กล้องหน้า (จอด้านนอก) : 8MP (f/2.4)

สำหรับรายละเอียดภาพที่ได้จาก OPPO Find N5 เรียกได้ว่าเก็บรายละเอียดของภาพได้ดี และคมชัด ทั้งในส่วนที่สว่างและส่วนมืดของภาพสำหรับการถ่ายภาพในทุกๆ สภาพแสง ให้คาแรคเตอร์สีสันแบบสมจริง โดยตัวเซนเซอร์หลักเองก็ถูกใช้สำหรับการซูมแบบ 2x In-sensor Zoom ที่ให้คุณภาพเทียบเท่าการซูมแบบออปติคัลด้วย

ส่วนของกล้องซูมกับระยะซูมออปติคัล 3x ด้วยความที่ให้ความละเอียดมาถึง 50 ล้านพิกเซล และใช้ชุดเลนส์แบบ Periscope จึงช่วยให้รูปที่ถ่ายมานั้นถ้าต้องซูมไกลๆ ในแง่ของความละเอียดและสีสัน ถือว่าเก็บรายละเอียดของภาพออกมาโอเคมากๆ สำหรับสมาร์ทโฟนจอพับ เพราะมีฟีเจอร์อย่าง AI Telescopic Zoom เข้ามาช่วยเพิ่มความคมชัดของภาพถ่ายเมื่อซูมในระยะไกลตั้งแต่ 60x เป็นต้นไป

สุดท้ายคือกล้องอัลตราไวด์ 8 ล้านพิกเซล คุณภาพโดยรวมถือว่าคุณภาพไฟล์รูปที่ได้มามีความคมชัดที่โอเคเลยครับ หากเป็นการถ่ายในที่ทีมีแสงมากหรือไม่ได้ถ่ายย้อนแสง เพราะหลักๆ เซนเซอร์อัลตราไวด์ความละเอียด 8 ล้านพพิกเซลของ OPPO Find N5 จะยังมีข้อจำกัดกับการการถ่ายในสภาวะที่มีแสงน้อยเมื่อเอาไปเทียบกับเซนเซอร์ตัวอื่น

ทรงพลังและลื่นไหลด้วยชิป Snapdragon 8 Elite ตอบโจทย์สาย Multitasking ที่แท้ทรู

OPPO Find N5 ขับเคลื่อนขุมพลังการประมวลผลด้วยชิปเซตอย่าง Snapdragon 8 Elite (7-core) ที่ถึงแม้จะมีคอร์น้อยกว่า และประสิทธิภาพน้อยกว่าเวอร์ชัน 8-core แต่ถือว่าต่างกันน้อยมากๆ ครับ ไม่ได้เห็นถึงความแตกต่างแบบชัดเจนหรือมีนัยยะสำคัญ ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องของความเร็ว และความลื่นไหลกับการใช้งานทุกรูปแบบที่ถูก Optimize มาแล้ว หากอิงจากผลคะแนนการทดสอบจะแบ่งได้ออกเป็นตามนี้

  • AnTuTu Benchmark : 1,786,777 คะแนน
  • Geekbench 6 : 2,791 คะแนน (Single-core) 7,659 คะแนน (Multi-core)

ส่วนของการทดสอบการเล่นเกมยอดฮิตไม่ว่าจะเป็น RoV, PUBG Mobile และ Genshin Impact เรียกได้ว่าพลังประมลผลของ Snapdragon 8 Elite เหลือล้นมากๆ ครับ เล่นเกมได้แบบลื่นไหล สามารถควบคุมเฟรมเรตและความร้อนได้ดีเลยในเกมพื้นฐานทั่วไป ข้อพิจารณาหลักๆ อาจจะเป็นในเรื่องของการจัดการความร้อนที่อาจยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ หากเป็นการใช้งาน Performance ขั้นสูง ตัวเครื่องเกิดความร้อนได้ค่อนข้างง่าย

RoV : สามารถปรับตั้งค่ากราฟิกได้แบบสูงสุด และเฟรมเรตที่นิ่งแบบเกาะๆ ระดับ 59-60 FPS ถึงแม้จะเป็นช่วงที่มีการปะทะหรือปล่อยเอฟเฟคใส่กันหนักๆ และข้อได้เปรียบอีกหนึ่งอย่างของการเล่นเกม MOBA บนหน้าจอขนาดใหญ่ก็คือ จะได้ประสบการณ์ในการเล่นแบบเต็มตาสะใจ (แต่คอนเทนต์บางส่วนอาจจะโดนครอปหายไปถ้าเล่นแบบกางหน้าจอ)

PUBG Mobile : รองรับการปรับกราฟิกสูงสุดในระดับ Ultra HD พร้อมเฟรมเรต Ultra (60 FPS) แต่ถ้าต้องการเล่นด้วยเฟรมเรทลื่นๆ แบบสูงสุด ก็สามารถปรับกราฟิกลงมาอยู่ที่ Smooth จะทำให้เราสามารถดันเฟรมเรตไปได้ถึง Ultra Extreme (120 FPS) ก็จะช่วยลดอาการกระตุกระหว่างการหมุนมุมกล้องเร็วๆ เพื่อการเล่นที่ลื่นไหล

Genshin Impact : สำหรับเกมที่ใช้ทรัพยากรค่อนข้างเยอะจะเริ่มเห็นอาการบางอย่าง ในการเล่นกับกราฟิกระดับสูง และเฟรมเรท 60 FPS อาจจะเจออาการเฟรมเรตตกลงมาประมาณ 43-46 FPS เพราะถ้าเล่นไปสักพักแล้วตัวเครื่องจะเริ่มมีความร้อนสะสม ถ้าต้องการเล่นให้ลื่นๆ และสมูทมากที่สุด แนะนำให้ปรับกราฟิกลงมาระดับ Medium พร้อมเฟรมเรทระดับ 60FPS จะดีกว่า เพื่อไม่ให้เครื่องร้อนจนเกินไป

หนึ่งในความเจ๋งที่น่าสนใจของ OPPO Find N5 ในการเล่นเกมก็คือความสามารถในการปรับอัตราส่วนหน้าจออัตโนมัติ เมื่อผู้ใช้พับหรือกางหน้าจอ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราพับครึ่งจอเพื่อเล่นเกม ก็จะได้มุมมองที่กว้างเป็นพิเศษ และเมื่อกางจอออกอัตราส่วนของภาพก็จะปรับไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งให้โดยอัตโนมัติ

และถึงแม้ว่าตัวเครื่องจะบางเป็นพิเศษ แต่ OPPO Find N5 ก็ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 5,600 mAh เพียงพอสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวันถึงแม้ตัวเครื่องจะบางแค่ 4.21 มม. แถมยังรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 80W SuperVOOC และชาร์จไร้สาย 50W AirVOOC

ในส่วนของซอฟต์แวร์ OPPO Find N5 มาพร้อมกับ ColorOS 15 บนพื้นฐานของ Android 15 ถูกออกแบบมาเพื่อการทำงาน Multitasking ของแท้ โดยเราจะสามารถเปิดใช้งานแอปพลิเคชันได้พร้อมกันสูงสุดถึง 3 แอปพลิเคชัน ในรูปแบบของหน้าต่างเต็มหน้าจอที่สามารถแตะเพื่อสลับการใช้งานระหว่างแอปต่างๆ ได้ง่ายมาก หรือจะเป็นการปรับขนาดของหน้าต่างแอปพลิเคชันแต่ละอันที่เปิดค้างไว้ ก็สามารถทำได้แบบไม่มีข้อจำกัด

อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Find N5 ก็คือ O+ Connect ซึ่งแต่ก่อนเราจะใช้สำหรับแชร์ไฟล์หากันระหว่าง OPPO กับ iPhone ตอนนี้สามารถใช้เพื่อเชื่อมต่อกับ MacBook ได้แล้วด้วยนะ ทำให้สามารถทำหน้าที่เป็นรีโมทควบคุม MacBook เปิดโฟลเดอร์ เรียกดูไฟล์ หรือตรวจสอบการแจ้งเตือนบน MacBook ได้โดยตรงจากหน้าจอมือถือ

สเปค OPPO Find N5

  • จอภายนอก
    • LTPO AMOLED ขนาด 6.62 นิ้ว
      • ความละเอียด FHD+ (2,616 x 1,140 พิกเซล)
      • อัตรารีเฟรชสูงสุด 1-120Hz
      • ความสว่างทั่วไป 600 นิต
      • ความสว่างสูงสุด 2,450 นิต
      • ความลึกสี 10-bit / HDR Vivid / HDR10+ / Dolby Vision
  • จอภายใน
    • LTPO AMOLED ขนาด 8.12 นิ้ว
      • ความละเอียด QXGA+ (2,480 x 2,248 พิกเซล)
      • อัตรารีเฟรชสูงสุด 1-120Hz
      • ความสว่างทั่วไป 600 นิต
      • ความสว่างสูงสุด 2,450 นิต
      • ความลึกสี 10-bit / HDR Vivid / HDR10+ / Dolby Vision
  • ชิปเซต : Snapdragon 8 Elite
  • หน่วยความจำ (LPDDR5X) : 16GB
  • พื้นที่จัดเก็บข้อมูล (UFS 4.0) : 512GB
  • กล้องหลัง
    • กล้องหลัก : Sony LYT-700 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8) เซนเซอร์ 1/1.56 นิ้ว PDAF และกันสั่น 2-axis OIS
    • กล้องเทเลโฟโต้ปริทรรศน์ : Samsung JN5 ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/2.6) เซนเซอร์ 1/2.75 นิ้ว (ระยะซูมออปติคัล 3x) PDAF และกันสั่น 2-axis OIS
    • กล้องอัลตร้าไวด์ : ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.2) เซนเซอร์ 1/4.0 นิ้ว (มุมกว้าง 116 องศา) ออโต้โฟกัส และกันสั่น 2-axis OIS
  • กล้องหน้า
    • จอภายนอก 8MP (f/2.4)
    • จอภายใน 8MP (f/2.4)
  • เครือข่าย 5G
  • การเชื่อมต่อ
    • Wi-Fi 7
    • Bluetooth 5.4
    • USB 3.1 Gen 2
  • แบตเตอรี่ 5,600mAh
    • ชาร์จไว 80W
    • ชาร์จไร้สาย 50W
  • ระบบปฏิบัติการ ColorOS 15 บนพื้นฐาน Android 15
  • ทนน้ำ IPX6 / X8 / X9
  • ขนาดตัวเครื่อง
    • ตอนพับ 160.87 x 74.42 x 8.93 มม.
    • ตอนกาง 160.87 x 146.58 x 4.21 มม.
  • น้ำหนัก 229 กรัม

OPPO Find N5 เป็นจอพับที่คุ้มค่ากับการใช้งานมากขนาดไหน?

จากภาพรวมและการใช้งานที่ได้สัมผัสมานั้น เรียกได้เลยว่า OPPO Find N5 คือสมาร์ทโฟนจอพับที่บางที่สุด และทำถึงที่สุดในครึ่งปีแรก 2025 สามารถมอบประสบการณ์การใช้งานที่ใกล้เคียงกับสมาร์ทโฟนเรือธงดีๆ เครื่องหนึ่งได้เลย ทั้งในเรื่องของความสะดวกสบายในการพกพา และการจับถือใช้งาน หากใครที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนจอพับที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของความแรง และตอบโจทย์สำหรับการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน OPPO Find N5 ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจครับ หรือถ้ายังไม่มั่นใจอาจจะไปลองเล่นเครื่องจริงที่หน้า OPPO Shop ดูก่อนก็ได้ ว่าเมื่อได้ลองสัมผัสดูแล้วรู้สึกว่าเข้ามือ หรือชื่นชอบมากน้อยแค่ไหน

ราคาและการวางจำหน่าย

OPPO Find N5 วางจำหน่ายในประเทศไทยหนึ่งตัวเลือกความจุเท่านั้นคือ RAM 16GB + 512GB ในราคา 69,999 บาท มีให้เลือกทั้งหมด 2 สีด้วยกัน

  • สีขาว (Misty White) 
  • สีดำ (Cosmic Black)

(แถม) รีวิว OPPO Watch X2 สมาร์ทวอทช์ดีไซน์หรู ฟีเจอร์ครบ

พูดถึง OPPO Find N5 แต่จะไม่พูดถึงสมาร์ทวอชอย่าง OPPO Watch X2 ก็คงไม่ได้ สมาร์ทวอชระดับเรือธงที่มาพร้อมกับดีไซน์เรียบหรูดูพรีเมียม ตัวเรือนทำจาก ไทเทเนียมอัลลอยด์ (Titanium Alloy) ให้ทั้งความสวยงามไปพร้อมๆ กับความแข็งแรงและน้ำหนักเบา ขอบเรือนมีเม็ดมะยมที่ใช้หมุนเพื่อเลื่อนดูเมนูและข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายๆ หน้าปัดนาฬิกาทำจากวัสดุกระจกแซฟไฟร์คริสตัล (Sapphire Crystal Glass) ทนทานต่อรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี

หน้าจอแสดงผลของ OPPO Watch X2 มีขนาดอยู่ที่ 1.55 นิ้ว พาแนลหน้าจอ LTPO AMOLED ความสว่างสูงสุด 2,200 นิต ให้การแสดงผลสีสันสดใสคมชัด ใช้งานกลางแจ้งได้สบาย ผ่านการทดสอบมาตรฐานทางทหาร MIL-STD-810H มีความทนทานสูง ทนได้หมดกับทุกสภาพอากาศหรือการตกกระแทก

ส่วนระยะเวลาการใช้งาน OPPO Watch X2 ใช้แบตเตอรี่ OPPO Silicon-carbon ที่สามารถใช้งานได้ติดต่อกันสูงสุดถึง 5 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง หรือเพิ่มได้เต็มลิมิตถึง 16 วันกับโหมดประหยัดพลังงาน พร้อมรองรับเทคโนโลยีชาร์จไวที่ชาร์จแค่ 10 นาที ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานตลอดทั้งวัน

การเชื่อมต่อ OPPO Watch X2

OPPO Watch X2 จะสามารถเชื่อมต่อ และทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า OHealth โดยที่เราสามารถใช้เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพต่างๆ ตามที่ต้องการ เช่น จำนวนก้าวเดิน, อัตราการเต้นของหัวใจ, คุณภาพการนอนหลับ รวมไปถึงการปรับแต่งหน้าปัดนาฬิกา (Watch Faces) หรือตั้งค่านาฬิกาผ่าน OHealth ได้โดยตรงเช่นกัน พร้อมกันนั้นด้วยระบบปฏิบัติการ Wear OS ทำให้เราสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาใช้เพิ่มเติมได้จาก Google Play Store เช่น Google Maps, Spotify และแอปอื่นๆ อีกมากมาย

ส่วนการควบคุมนาฬิกาก็สามารถทำได้ทั้งผ่านปุ่มข้างตัวเรือน หรือหน้าปัดนาฬิกา

  • ปัดหน้าจอลงจากด้านบน : เปิดเมนู Quick Settings
  • ปัดหน้าจอขึ้นจากด้านล่าง : แสดงการแจ้งเตือน
  • ปัดหน้าจอไปทางซ้าย : ทางลัดสำหรับเลื่อนดู Tiles หรือ Widgets ที่แสดงข้อมูลต่างๆ เช่น จำนวนก้าว, ข้อมูลการนอนหลับ
  • กดเม็ดมะยม : เปิดหน้าต่างรวมแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ติดตั้งเอาไว้ และหมุนเม็ดมะยมเพื่อเลื่อนดูเมนูหรือซูมเข้า-ออกได้
  • กดเม็ดมะยมค้าง 1 วินาที : เปิดใช้งาน Google Assistant
  • กดปุ่มด้านล่าง : เข้าสู่โหมดออกกำลังกาย

ส่วนฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของ OPPO Watch X2 ก็มีมาให้เลือกใช้งานแบบเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็น 60S Health Check ตรวจวัดสุขภาพเบื้องต้นใน 60 วินาที โดยการวางนิ้วที่ปุ่มล่างตรงขอบตัวเรือน โดยที่นาฬิกาจะทำการวัดทั้ง อัตราการเต้นของหัวใจ ระดับออกซิเจนในเลือด สุขภาพหลอดเลือด ระดับความเครียด และอุณหภูมิข้อมือ ไปจนถึงฟีเจอร์ตรวจจับคุณภาพการนอน และติดตามการกรน ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลออกมาแสดงผลบน OHealth เป็นกราฟได้ละเอียดมากๆ

และใครที่ต้องการใช้งานสมาร์ทวอชเพื่อการออกกำลังกายด้วยล่ะก็ OPPO Watch X2 ยังจัดหนักจัดเต็มโหมดออกกำลังกายระดับโปรมาให้มากกว่า 100 แบบ ครอบคลุมตั้งแต่กีฬายอดนิยม เช่น วิ่ง (ทั้งในร่มและกลางแจ้ง), ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ (พร้อมมาตรฐานกันน้ำ 5ATM)

โดยตลอดการออกกำลังกาย นาฬิกาจะทำการวัดและติดตามข้อมูลที่สำคัญ พร้อมสรุปออกมาให้แบบละเอียด เช่น ระยะทาง, ความเร็วเฉลี่ย, อัตราการเต้นของหัวใจแบบเรียลไทม์, แคลอรี่ที่เผาผลาญ และกีฬาบางประเภท เช่น การวิ่งหรือปั่นจักรยาน ตัวนาฬิกาก็จะมี GPS ในตัวสำหรับการบันทึกเส้นทางด้วย

ราคาและการวางจำหน่าย

OPPO Watch X2 วางจำหน่ายในราคา 13,999 บาท มีให้เลือก 2 สีด้วยกัน โดยจะมีความแตกต่างกันที่วัสดุที่ใช้ของตัวสาย

  • สีดำ Lava Black (สายซิลิโคน) 
  • สีน้ำเงิน Summit Blue (สายหนัง)